บทที่ 173 ท่านยังดีไม่พอ
“ท่านเป็นนักบวชมาจากวิหารหรือ?”
อู๋หงถามออกมาโดยไม่รู้ตัว
เนื่องจากมีแต่นักบวชผู้ศรัทธาในเทพเจ้าอย่างแท้จริงเท่านั้น ถึงจะได้รับพรสวรรค์วิเศษ ให้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของคนอื่นได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
หลินเป่ยเฉินเลิกผ้าคลุมศีรษะออก แล้วถามว่า “บุรุษหน้าตาหล่อเหลาอย่างข้า ไม่ทราบว่าท่านพี่อู๋หงลืมเลือนได้อย่างไร?”
อู๋หงเมื่อเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเด็กหนุ่ม ก็ยืนอึ้งตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
แล้วนางก็ตัวสั่นเทา ร้องอุทานด้วยความดีใจสุดขีดว่า “ทะ…ท่านนี่เอง แต่ว่าท่าน…”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดเกินจริง อู๋หงไม่คิดเลยว่าผู้ที่มาช่วยเหลือพวกนางจะกลายเป็นเขาไปได้
ในค่ำคืนนั้น นางเห็นกับตาว่าเสี่ยวหลิงใช้มีดสั้นปักเข้าไปที่หน้าอกของเขา เด็กหนุ่มเสียชีวิตไปแล้ว
คนของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟโทษตัวเองเสมอมา
แต่เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินยังสามารถรอดชีวิตมาได้ อู๋หงก็ดีใจจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไรอีกแล้ว
เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นสีหน้าของจอมยุทธ์หญิงร่างกายกำยำ เขาก็ยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิมว่า การที่มือสังหารปลอมตัวเป็นเสี่ยวหลิง เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของคนในสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ ตามที่โจวเฉิงได้บอกเอาไว้จริงๆ
ไม่มีใครในสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟรู้ตัว
ถึงฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่เรื่องนี้จะต้องมีเบื้องหลังซ่อนอยู่แน่นอน
“ยมทูตเป็นคนส่งข้ามาที่โลกใบนี้ แล้วข้าจะตายง่ายๆ ได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินว่า
เขาไม่ได้คุยโว
ก็คนที่ส่งเขามายังโลกใบนี้พร้อมกับโทรศัพท์มือถือ ก็คือเจ้ายมทูตตัวแสบนั่นจริงๆ นี่นา
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว หลินเป่ยเฉินก็ฉุกใจสงสัยขึ้นมาว่า ที่เขารอดตายมาได้ในครั้งนี้ จะเป็นฝีมือของยมทูตผู้นั้นด้วยหรือเปล่านะ?
“ดีจังเลย คุณชายหลินยังมีชีวิตอยู่ หากคุณหนูซือเหนียงรู้ นางจะต้องดีใจมากแน่ๆ…”
อู๋หงพูด น้ำเสียงตื่นเต้น
แต่เมื่อเอ่ยชื่อเฟิงซือเหนียงออกมา หัวใจของจอมยุทธ์หญิงร่างกายกำยำก็สั่นสะท้าน ก่อนที่นางจะร้องครางด้วยความเศร้า
หญิงสาวผู้เป็นสมาชิกของสำนักล่าอสูรกุหลาบไปพบจุดจบที่น่าอนาถเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “ท่านรีบพาเด็กคนนี้ไปหาที่ซ่อนตัวก่อนเถิด รอให้ข้าจัดการหัวหน้าของพวกมันคนอื่นๆ ให้เรียบร้อยก่อน แล้วเราจะหาทางออกไปจากที่นี่กัน”
“ว่าไงนะ?”
อู๋หงนึกว่าตนเองหูฝาด “ท่านคนเดียวเนี่ยนะ คิดจะทำลายล้างสมาคมนักล่าอสูร?”
“ทำไมเล่า?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม อวดฟันขาววับ “สมาชิกของพวกมันทุกคน จะต้องลงนรกกันไปให้หมด”
“แต่ว่า…ท่านมีเพียงตัวคนเดียว” อู๋หงพูด “ท่านเอาชนะพวกเขาไม่ได้หรอก”
“มีตัวคนเดียวแล้วมันเสียหายตรงไหน?” หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มแจ่มใส ยกมือขึ้นยิงลูกดอกเหล็กออกจากแขนเสื้อ พุ่งเข้าไปสังหารนักล่าอสูรคนหนึ่งที่แกล้งตายและกำลังแอบคลานหลบหนี
“ถึงตัวคนเดียว” หลินเป่ยเฉินพึมพำ “แต่ข้าเอาชนะพวกมันได้แน่นอน”
หลังจากนั้น อู๋หงก็ได้เห็นสิ่งที่นางไม่อยากเชื่อ
หลินเป่ยเฉินถือกระบี่เดินเข้าไปไล่แทงหัวใจซากศพนักล่าอสูรที่อยู่ประจำสังเวียนต่อสู้ครบหมดทุกคน
เมื่อแทงหัวใจแล้ว
เด็กหนุ่มก็จัดการตัดศีรษะศพออกเป็นลำดับต่อมา
ไม่เหลือร่องรอยที่สามารถบอกได้เลยว่า เขาเพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บสาหัสกลับมาแท้ๆ
วิธีการสังหารของเขาช่างโหดเหี้ยมอำมหิต หลินเป่ยเฉินฆ่าคนเหมือนหั่นผักผ่าแตงโม สีหน้าเย็นชาปราศจากความรู้สึก
“แปลกแฮะ…เหมือนตอนที่เราเล่นเกม แล้วล่าพวกมอนสเตอร์ไม่มีผิด”
หลินเป่ยเฉินใช้กระบี่ตัดหัวคนพร้อมรำพึงกับตัวเองไปด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน อาคารหินทั้งหลังก็ถูกย้อมไปด้วยเลือดแดงฉาน
บรรยากาศราวกับคุกใต้ดิน
อู๋หงยกมือขึ้นปิดตาเด็กชายตัวน้อย
ต่อให้นางจะเคยผ่านการสู้รบมาหลายครั้งหลายหน แต่อู๋หงก็ยังต้องตกตะลึงกับความอำมหิตของหลินเป่ยเฉินอยู่ดี
หลังจากที่เด็กหนุ่มกระชับกระบี่ในมือ เขาก็เดินตรงเข้าไปหาซากศพของนายท่านห้าอีกครั้ง
“เกือบลืมเก็บของรางวัลแล้วเชียว”
หลินเป่ยเฉินคุกเข่าลงและเริ่มค้นศพบุรุษหนุ่มผมดำ
“คนชั่วแบบนี้น่ะ แค่ตายยังไม่พอหรอก ข้าวของทุกอย่างที่เป็นของมัน ต้องเอามาเป็นของเราให้หมด สิ่งที่เคยอยู่ในมือคนผิด เมื่อเปลี่ยนมือมาอยู่กับฝ่ายธรรมะ ย่อมสามารถสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้แน่นอน นี่แหละคือการล้างบาปที่แท้จริง” หลินเป่ยเฉินพูดงึมงำกับตัวเอง
เมื่อค้นตัวนายท่านห้าเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็ได้เหรียญทองมาทั้งหมด 89 เหรียญ ส่วนของกระจุกกระจิกอื่นๆ รวมถึงพวกอาวุธและเคล็ดวิชาฝึกวิทยายุทธ์ ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย
“ใครสั่งใครสอนให้แกเอางูมาเป็นสัตว์เลี้ยงวะเนี่ย” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความไม่พอใจ
ปรากฏว่านายท่านห้าไม่ได้พกอะไรที่น่าสนใจติดตัวไว้เลย
คัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ ก็มีแต่คัมภีร์ระดับ 1 ดาวทั้งนั้น
ไม่มีคัมภีร์ระดับ 2 ดาวสักเล่ม
ไม่คุ้มค่าเหนื่อยเลยเว้ย
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็จัดการค้นหาตามส่วนลับของร่างกาย
อู๋หงยืนทำหน้ากระอักกระอ่วนใจอยู่ตรงนั้น
ไม่คิดสงสัยอีกแล้วว่าทำไมผู้คนในเมืองหยุนเมิ่ง ถึงเคยเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเศษขยะไร้ค่า
จากสิ่งที่นางเห็นขณะนี้ หลินเป่ยเฉินไม่คิดรักษาภาพลักษณ์ตัวเองเลยสักนิด
คนปกติที่ไหนกันจะทำเรื่องราวแบบนี้ได้ลงคอ?
จะบอกว่านักล่าอสูรกลุ่มนี้ถูกหลินเป่ยเฉินปล้นทรัพย์ก็คงไม่ผิด
อู๋หงอดรู้สึกสงสารนักล่าอสูรกลุ่มนี้ขึ้นมาไม่ได้
การมีเรื่องกับหลินเป่ยเฉิน คือสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของชายฉกรรจ์กลุ่มนี้
แต่พวกมันก็สมควรตายกันทุกคน
นักล่าอสูรกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยตัววายร้ายหลากหลายชนิดของเขตชายแดนเหนือ พวกมันก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากมาย ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีเลือดเปื้อนมือทั้งสิ้น ดังนั้นการให้อภัยเดียวที่พวกมันควรได้รับ ก็มีแต่การให้อภัยในรูปแบบความตายเท่านั้น
“เป็นนักล่าอสูรภาษาอะไรวะเนี่ย กระจอกชิบ”
หลินเป่ยเฉินแทบจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาด้วยความสงสารนักล่าอสูรกลุ่มนี้
เขาไม่เคยเห็นกองโจรที่ไหนจะยากจนข้นแค้นเท่านี้มาก่อน
เงินที่เขาค้นเจอจากตัวศพลูกสมุนนายท่านห้า รวมกันทุกศพก็พบเพียง 10 เหรียญทองคำเท่านั้น
เมื่อรวมเข้ากับเงินที่ได้จากตัวนายท่านห้า หลินเป่ยเฉินก็ได้เงินติดมือมาทั้งสิ้น 99 เหรียญทอง
ยังไม่ถึง 100 เหรียญด้วยซ้ำ
ส่วนพวกคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ ถึงจะเป็นคัมภีร์หายากก็จริง แต่มันเป็นเพียงคัมภีร์ระดับ 1 ดาว เอาไปขายก็ไม่ได้ เอาไว้ฝึกก็ไม่มีประโยชน์
2 เค่อต่อมา การตรวจค้นซากศพก็เสร็จสิ้น
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ เมื่อหันมาเห็นว่าอู๋หงกำลังจ้องมองที่ตัวเองเขม็ง เด็กหนุ่มก็รีบเก็บเหรียญทองในมือ พูดออกมาทันที “เหรียญทองพวกนี้เป็นของข้าทั้งหมด…ข้าไม่แบ่งให้ใครหรอกนะ”
ถ้าเป็นเรื่องเงินทองแล้ว ตอนนี้เขาต้องช่วยตัวเองก่อนเท่านั้น
หลังถูกเทพีกระบี่หิมะไร้นามหลอกให้โอนเงินไปถึง 4,000 เหรียญทองคำ ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินจึงต้องกลับมามีสถานะเป็นผู้ร้อนเงินอีกครั้ง
อู๋หงหัวเราะออกมาเล็กน้อยและส่ายศีรษะปฏิเสธว่านางไม่ได้ต้องการเงินของเขา
หลินเป่ยเฉินตรวจดูเวลา เมื่อพบว่าถึงกำหนดที่ยาพิษในบ่อน้ำควรออกฤทธิ์แล้ว เขาก็เดินออกไปด้านนอกอาคารหินพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าพูดจริงนะ ท่านรีบพาเด็กคนนี้ไปหาที่ซ่อนตัวเถิด ข้าคงไม่มีเวลามาคอยช่วยเหลืออีกแล้ว”
“ให้ข้าไปกับท่านด้วยเถิดนะ” อู๋หงพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “ข้าจะช่วยท่านเอง”
“ท่านอยู่ดูแลเด็กคนนี้ต่อไปดีกว่า เขายังดูแลตัวเองไม่ได้ ส่วนท่านยังดีไม่พอ สติปัญญาโง่เขลามากเกินไป ขืนติดตามข้ามา ก็มีแต่จะเป็นภาระข้าเปล่าๆ เท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินเดินออกจากอาคารหินไป โดยไม่เหลียวหน้ามองกลับมาสักนิด
อู๋หงพลันใบหน้าแดงก่ำ
นางยังดีไม่พออย่างนั้นหรือ?
นั่นก็อาจเป็นความจริง นางยอมรับ
แต่อย่างน้อย นางก็เป็นผู้หญิง
หลินเป่ยเฉินกลับพูดออกมาอย่างไม่ถนอมน้ำใจเลยสักนิด…หรือเป็นเพราะเขาเห็นว่านางไม่ได้มีหน้าตางดงามร่างกายอรชนอ้อนแอ้นเหมือนสตรีทั่วไป เขาถึงไม่ได้สนใจนางเลยเช่นนี้
มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ
…
หลินเป่ยเฉินเดินออกมาจากอาคารหิน และได้พบว่ามีนักล่าอสูรกลุ่มหนึ่งกำลังเดินโซเซสวนทางมา ชายฉกรรจ์เหล่านั้นต่างก็มีเลือดไหลทะลักออกปากออกจมูก
“ช่วยด้วย…”
“ในน้ำมียาพิษ”
บรรดานักล่าอสูรร้องเสียงแหบแห้ง
หลินเป่ยเฉินชักกระบี่ออกมา จัดการสังหารนักล่าอสูรเหล่านั้น ล้มลงไปตกตายบนพื้นดิน
เด็กหนุ่มวิ่งทะยานไปตามท้องถนน ไม่ว่าพบเจอผู้ใด เขาก็จะสังหารไม่เหลือสิ้น
ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินไปที่ไหน ที่นั่นก็จะต้องมีศพคนตาย
ตามท้องถนนในตัวเมืองบัดนี้ เต็มไปด้วยซากศพของนักล่าอสูรที่ถูกยาพิษเล่นงาน บางคนพิษกำเริบกะทันหัน ถึงกับคลานออกมาตายคาธรณีประตูบ้านตัวเอง
หลินเป่ยเฉินจุดไฟเผาอาคารต่างๆ ในตัวเมือง
แต่ด้วยความที่อาคารส่วนใหญ่ก่อสร้างมาจากก้อนหิน เปลวไฟจึงสร้างความเสียหายได้ไม่มาก แต่มันก็ทำให้เกิดควันไฟหนาแน่น ทำให้เมืองบนยอดเขาแห่งนี้ กลายเป็นเมืองในหมอกไปในพริบตา
“พวกมือปราบบุกเข้ามาแล้ว”
“พวกเรารีบหนี พวกมือปราบบุกเข้ามาแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยกมือป้องปากตะโกนพร้อมกับใช้แอปฉายภาพจำลอง 4 มิติ แสดงภาพของกองทัพมือปราบปรากฏขึ้นบนถนนในตัวเมือง
หลังจากนั้น สถานที่ซึ่งจัดได้ว่าเป็นรังใหญ่ของสมาคมนักล่าอสูรประจำชายแดนเหนือ ก็ตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวายโกลาหล
“พวกเราไม่ต้องตื่นตกใจ ทุกคนจงอยู่ในความสงบ”
พลัน ใครคนหนึ่งระเบิดเสียงคำรามออกมา
แล้วเงาร่างของผู้มีพลังระดับปรมาจารย์ผู้หนึ่ง ก็กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคาอาคารหิน เขาออกคำสั่งให้บรรดานักล่าอสูรไม่ต้องตื่นตกใจ เมื่อกวาดสายตามองรอบบริเวณ ดวงตาของเขาก็หยุดจ้องมองหลินเป่ยเฉิน จากนั้นจึงได้ชักกระบี่ออกมา และพลิ้วกายลงมาจากหลังคาตึก…
กระบวนท่าทุกอย่างถูกคำนวณเป็นอย่างดี
คมกระบี่สาดประกายสีรุ้ง
นับว่าชายผู้นี้มีพลังแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย