บทที่ 179 ทุกคนตกตะลึง
หลังจากจัดการเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็เดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ เตรียมตัวมุ่งหน้าไปหาฉู่เหินที่ถ้ำหมื่นพิษ แต่ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากก็ดังขึ้นด้านนอก
“ยังมีคนรอดชีวิตอยู่อีกเหรอเนี่ย?”
เด็กหนุ่มรีบถอยหลังกลับเข้าไปที่เดิม
เขายกดาบขึ้นมา
ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังบัลลังก์หิน
คอยดูสถานการณ์ก่อนก็แล้วกัน
น่าเสียดายที่เขาใช้ยาพิษหมดแล้ว
มิเช่นนั้น เขาจะรอให้พวกมันเดินเข้ามา แล้วค่อยปล่อยพิษเล่นงาน รับรองว่าตายไม่มีรอด
ระหว่างที่หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความเสียดายอยู่นั้นเอง กลุ่มคนสิบกว่าชีวิตก็กรูเข้ามาในห้องโถงใหญ่ พร้อมกับส่งเสียงตะโกนโวยวาย
“พวกเราทุกคนระวังตัว ที่นี่มียาพิษ…เอ๊ะ?”
ได้ยินเสียงร้องอุทานด้วยความประหลาดใจดังขึ้น
นั่นเป็นเสียงอุทานเมื่อคนพูดสังเกตเห็นซากศพของหัวหน้าใหญ่บนขั้นบันไดหน้าบัลลังก์หิน
“ทุกคนตายกันหมดแล้วหรือ?”
“คนของสมาคมนักล่าอสูรตายหมดแล้วจริงๆ”
“มีใครเห็นหลินเป่ยเฉินบ้างไหม?”
หลายเสียงดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินที่แอบอยู่หลังบัลลังก์หินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เพราะหนึ่งในกลุ่มคนที่บุกเข้ามาในห้องโถงใหญ่นี้ มีเสียงหนึ่งที่เขาจำได้ดีว่าเป็นเสียงของเยว่หงเซียง ผู้เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากเมืองหยุนเมิ่งนั่นเอง
สุดท้ายความช่วยเหลือก็มาถึงแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะทำตัวเหมือนตำรวจในภาพยนตร์ฮ่องกง ที่มักจะมาปรากฏตัวตอนจบเรื่องแล้วก็ตาม
นั่นหมายความว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้ว
เด็กหนุ่มส่งเสียงกระแอมไอก่อนจะเดินออกไปจากหลังบัลลังก์หิน
“นั่นใครน่ะ?”
ในจังหวะสำคัญนั้น ทุกคนกำลังตื่นตัวเต็มที่
“ทุกท่านไม่ต้องตกใจ ข้าน้อยไม่ใช่ตัวเลวร้าย แต่เป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าหาญและหล่อเหลาคนหนึ่งเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแฉ่ง ประสานมือคำนับทุกคน “ผู้การเฉิน เราเจอกันอีกแล้วนะขอรับ”
ในห้องโถงใหญ่ขณะนี้ ผู้ที่ยืนอยู่หน้าสุดไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากเฉินเจี้ยนหนาน หัวหน้านายทหารประจำหน่วยรบเมฆา
เขามีนายทหารมาด้วยอีกหกคน
นอกจากนั้นก็ยังมี หลิงไท่ซวี อาจารย์ใหญ่ประจำสถานศึกษากระบี่ที่สาม และเยว่หงเซียง ผู้ที่ขณะนี้คาดผ้าคลุมหน้าสีดำสนิทผืนหนึ่ง
“ศิษย์พี่หลิน!”
เมื่อเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน เยว่หงเซียงก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ
หลินเป่ยเฉินยิ้มแก้มฉีก อ้าแขนกว้าง
แต่เมื่อเยว่หงเซียงวิ่งมาถึงตรงหน้าเด็กหนุ่ม นางก็ควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง เด็กสาวหยุดชะงักยืนอยู่กับที่ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ปิดบังความดีใจไว้ไม่มิด “ดีจังเลย ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องไม่เป็นอะไร…”
หลินเป่ยเฉินลดแขนลงมาด้วยความอับอาย
ทำไมไม่เห็นเป็นอย่างที่คิดเลยแฮะ
สถานการณ์แบบนี้ เยว่หงเซียงต้องกระโดดเข้ามาสวมกอดเขาด้วยความดีใจแล้วไม่ใช่หรือ?
“เจ้าหนุ่มตัวเหม็น อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นคนสังหารผู้คนทั้งหมดในเมืองนี้?”
หลิงไท่ซวีพลิ้วกายมายืนอยู่ตรงหน้าเขาและจ้องมองหลินเป่ยเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ก่อนหน้านี้ พวกเขาได้พบตัวอู๋หงหลบซ่อนอยู่พร้อมด้วยเด็กชายที่น่าสงสารกับผู้เคราะห์ร้ายอีกหลายสิบคนในสังเวียนต่อสู้ จากปากคำของอู๋หง พวกเขาจึงได้ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสังเวียนต่อสู้แล้ว
แต่ทุกคนก็ไม่อยากเชื่ออยู่ดี
ก็มือกระบี่รุ่นเยาว์จากสถานศึกษากระบี่บ้านนอกคนหนึ่ง จะฆ่าตัววายร้ายที่มีประสบการณ์ช่ำชองเหล่านี้ได้อย่างไร?
กลุ่มผู้มาช่วยเหลือเห็นสภาพภายในสังเวียนต่อสู้
พวกเขาได้พบกับนายท่านห้า ผู้มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ นอนตายกลายเป็นศพไร้หัว หัวใจโดนแทงไม่เหลือชิ้นดี
ด้วยวิธีการที่อำมหิตถึงเพียงนี้ แม้แต่นายทหารจากหน่วยนักรบเมฆา ก็ยังอดขนลุกขนชันไม่ได้
อำมหิต
ป่าเถื่อน
ต้องเป็นมนุษย์ที่จิตใจชั่วร้ายขนาดไหน ถึงทำเรื่องเหล่านี้ได้ลงคอ?
เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงตกตะลึง
ไม่ใช่แค่นั้น ในระหว่างทางมาที่นี่ พวกเขาพบว่าสมาชิกของสมาคมนักล่าอสูรประจำชายแดนเหนือถูกสังหารหมดสิ้น
ส่วนใหญ่มีลักษณะการตายคล้ายคลึงกัน
ถูกตัดหัว
ถูกแทงหัวใจ
และมีจำนวนไม่น้อยที่ถูกวางยาพิษ
แม้แต่นายทหารของหน่วยรบเมฆาก็โดนพิษเล่นงานเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว นั่นเองพวกเขาถึงได้รู้ว่าเมืองบนยอดเขาแห่งนี้ไม่ได้เป็นเมืองร้างแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยยาพิษอีกด้วย
คนที่วางยาพิษได้ทั้งเมือง ย่อมมีสถานะไม่ธรรมดา
ใครเลยจะนึกว่าทั้งหมดนี้ เป็นฝีมือของหลินเป่ยเฉิน?
นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
หลังจากพูดคุยกันสั้นๆ ทุกคนก็รวมตัวกันอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย เฉินเจี้ยนหนานกับหลิงไท่ซวีและนายทหารอีกจำนวนหนึ่งก็รับประทานยาแก้พิษเข้าปาก ก่อนจะเดินสำรวจภายในคฤหาสน์ทุกซอกทุกมุม
เมื่อเห็นประตูบานใหญ่เป็นสีดำจากพลุไฟที่เผาไหม้ หลายคนก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกแล้ว
ทุกคนรู้สึกสงสารสมาคมนักล่าอสูรขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
นับว่าตัววายร้ายเหล่านั้นต้องตายอย่างทรมานนัก
แน่นอนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา คนที่พวกเขาเป็นห่วงมากที่สุดก็คือหลินเป่ยเฉิน
โดยเฉพาะหลังจากได้รับฟังเรื่องราวจากปากอู๋หง นางบอกเล่าว่าหลินเป่ยเฉินตั้งใจจะโค่นล้มสมาคมนักล่าอสูรด้วยตัวคนเดียว ดังนั้น นอกจากอาจารย์จากสถานศึกษาจะเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาแล้ว แม้แต่นายทหารจากหน่วยรบเมฆาก็อดเป็นห่วงไม่ได้เช่นกัน
เด็กหนุ่มคนนี้ต้องมั่นใจในตัวเองขนาดไหนกัน?
มียอดฝีมือมากมายต้องมาทิ้งชีวิตเอาไว้ที่ชายแดนแห่งนี้
แม้แต่คน ‘เบื่องบน’ ก็ไม่กล้ายื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว
แล้วเด็กหนุ่มที่ศึกษากระบี่อยู่ชั้นปีที่ 2 คนหนึ่ง จะสามารถโค่นล้มสมาคมนักล่าอสูรได้อย่างไร?
แต่ดูผลที่ออกมานี่สิ…
เมื่อเห็นบรรดานายใหญ่ของสมาคมนักล่าอสูรต้องทอดร่างนอนทิ้งกายไร้ชีวิต ในขณะที่หลินเป่ยเฉินเดินย่องตรงออกมาจากหลังบัลลังก์หินได้อย่างปลอดภัย เมื่อทุกคนระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้ว คำถามหนึ่งเดียวก็เกิดขึ้นทันทีว่า
หลินเป่ยเฉินสามารถสังหารนักล่าอสูรเหล่านี้ได้อย่างไร?
คำถามของหลิงไท่ซวีจึงเป็นสิ่งที่แทนใจทุกคน
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็ตอบออกมาอย่างระมัดระวังว่า “ที่ข้าน้อยสังหารพวกมัน คงไม่ผิดกฎหมายหรอกใช่ไหมขอรับ?”
เฉินเจี้ยนหนานตอบว่า “บุคคลเหล่านี้เป็นอาชญากรที่กฎหมายต้องการตัว พวกมันมีคำสั่งจับตายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การที่เจ้าฆ่าพวกมัน จึงไม่ถือว่าผิดกฎหมาย”
หลินเป่ยเฉินมีดวงตาเป็นประกายวิบวาวขณะถามต่อ “เป็นอาชญากร? แล้วอย่างนี้มีค่าหัวไหมขอรับ?”
“…” เฉินเจี้ยนหนานรู้สึกไม่อยากตอบคำถามอีกแล้ว
“ตอนนี้ยังไม่มีค่าหัว” นายทหารอีกคนหนึ่งจึงตอบแทน
เมื่อมองดูชุดเกราะและพลังลมปราณที่แผ่ออกมา ก็คาดการณ์ได้ว่านายทหารท่านนี้ น่าจะมีลำดับชั้นไม่ต่ำกว่าเฉินเจี้ยนหนาน
“อ้อ อย่างนั้นก็ช่างมันเถอะขอรับ” หลินเป่ยเฉินไม่ได้มีท่าทีสนอกสนใจอีกแล้ว “คนกลุ่มนี้เป็นเพียงขยะสังคม สมควรตายเป็นหมื่นครั้งด้วยซ้ำ ข้าน้อยส่งพวกมันลงไปเจอกันในนรก ถือว่าเป็นการทำบุญก็แล้วกัน”
คนชั่วไม่สมควรมีชีวิตรอด
กลุ่มผู้มาช่วยเหลือมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกันไป
“เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”
หลิงไท่ซวีถามออกมาอีกครั้ง
“เฮ้อ เรื่องมันยาวขอรับ ตอนแรกข้าน้อยมาที่นี่เพื่อช่วยอาจารย์ฉู่…” หลินเป่ยเฉินกำลังจะเริ่มต้นบอกเล่าวีรกรรมของตัวเอง โดยไม่ลืมแต่งเติมเสริมความเท่ลงไป แต่เมื่อพูดถึงฉู่เหิน เด็กหนุ่มถึงนึกขึ้นมาได้ “จริงด้วยขอรับ ตอนนี้อาจารย์ฉู่พักรักษาตัวอยู่ในถ้ำหมื่นพิษ อาจารย์ยังไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง พวกเรารีบไปหาเขาก่อนดีกว่า เดี๋ยวระหว่างทาง ข้าน้อยจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังเอง”
เมื่อทุกคนได้ยินว่าฉู่เหินยังมีชีวิตอยู่ ต่างก็พากันส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจ
ระหว่างทางไปถ้ำหมื่นพิษ หลินเป่ยเฉินวาดไม้วาดมือ บอกเล่าเรื่องราวอย่างออกรสออกชาติ
พวกของหลิงไท่ซวีมีสีหน้างงงันไม่อยากเชื่อ
ทุกอย่างฟังดูง่ายดายเกินไป
แม้แต่เยว่หงเซียงก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ตนเองเป็นห่วงหลินเป่ยเฉินมากเกินจำเป็นเสียแล้ว
“อ่านคัมภีร์รายละเอียดหมื่นพิษเพียงครั้งเดียว เจ้าก็รู้วิธีใช้ยาพิษพวกนั้นหมดเลยหรือ?”
หลิงไท่ซวีถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ
“ใช่แล้วขอรับ อันที่จริงข้าน้อยก็ไม่อยากจะพูด แต่ว่าข้าน้อยนี่แหละอัจฉริยะตัวจริง”
หลินเป่ยเฉินตอบรับกลับไปหน้าตาเฉย
ทุกคนพูดอะไรไม่ออก
ทุกคนรู้ดีว่าเด็กหนุ่มคนนี้เคยเป็นพวกสมองผิดปกติ
แต่บัดนี้…เขาคู่ควรกับคำว่าอัจฉริยะจริงๆ
หรือคำกล่าวที่ว่าคนบ้ากับอัจฉริยะ มีเพียงเส้นบางๆ กั้นอยู่เท่านั้น มันจะเป็นความจริง?