บทที่ 17 100 คะแนนเต็ม
และด้วยวิธีนี้ ทำให้สถานศึกษาสามารถคัดเลือกเด็กที่มีความสามารถที่สุดได้
สถานศึกษาวิชากระบี่ที่สาม ได้จัดพิธีเปิดการสอบกลางภาคในช่วงเช้า
หลิงไท่ซวี ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่มักไม่ปรากฏตัวให้เห็นบ่อยนัก ในที่สุดก็ปรากฏตัวให้เห็นในพิธีการ แต่ในตลอดพิธี อาจารย์ใหญ่ผู้แสนมีชื่อเสียในด้านการร่ำสุรานั้นกลับนั่งหลับตาบนเก้าอี้ เคล้ามาด้วยเสียงกรนแผ่ว ๆ และกลิ่นสุราที่ลอยมาจากทิศที่เขานั่งอยู่
ก่อนการสอบจะเริ่มต้นขึ้น อาจารย์ผู้เป็นหัวหน้าของชั้นปีทั้ง 3 ต่างพากันขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์เพื่อมอบกำลังใจให้เหล่าศิษย์ของพวกเขา
และหลังจากสุนทรพจน์อันน่าประทับใจ การสอบก็จะถูกแยกออกตามชั้นเรียนของเหล่าศิษย์ทั้งหลาย
ในการสอบวันแรก เป็นการสอบด้านทฤษฎี
โดยวิชาในคาบเช้า จะเป็นการสอบวิชาประวัติศาสตร์จักรวรรดิเป่ยไห่
การสอบครั้งนี้ เหล่าศิษย์ชั้นปีที่ 2 ทั้งสิ้น 410 คน ต้องรวมตัวกันในห้องสอบขนาดใหญ่
หมายเลขที่นั่งนั้นไม่ได้ถูกเรียงตามห้องเรียน บรรดาศิษย์ทั้ง 10 ห้องต่างก็นั่งกันคนละทิศละทาง
หลินเป่ยเฉินได้ที่นั่งหมายเลข 109
และเมื่อเด็กหนุ่มหาที่นั่งหมายเลข 109 เจอ เขาก็พบว่าที่นั่งด้านซ้ายมือของตนคือมู่ซินเยว่ และด้านขวามือของเขาคืออู๋เสี่ยวฟาง
“ฮะฮ่า ช่างบังเอิญอะไรแบบนี้ หลินเป่ยเฉิน”
อู๋เสี่ยวฟางมองมายังหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาเย้ยหยัน
“เจ้าเป็นใครเนี่ย นี่เรารู้จักกันดีขนาดนั้นเลยหรือไง” หลินเป่ยเฉินกล่าว
อู๋เสี่ยวฟางถึงกับนิ่งอึ้ง
นี่เจ้าคนชั้นต่ำที่เพิ่งยืมเงินเขาไปเมื่อวานนี้ ถึงขนาดกล้าแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกันเลยงั้นหรือ?
“รอดูแล้วกัน”
อู๋เสี่ยวฟางมองอย่างเย็นชาก่อนจะกล่าวต่อว่า “เมื่อเจ้าได้กลายมาเป็นทาสของข้า วันนั้นมันจะเป็นวันที่เจ้าจะได้รู้ ว่าข้าน่ะโหดร้ายได้มากแค่ไหน”
หลินเป่ยเฉินชูนิ้วกลางขึ้นมา
“ไปตายซะ”
“แค่รอดูก็พอ”
และไม่เกินอึดใจ การทดสอบก็เริ่มต้นขึ้น
หลินเป่ยเฉินเติมพลังลมปราณของเข้าไปยังโต๊ะหินสีขาวเบื้องหน้า
คลื่นพลังงานสีฟ้าถูกดูดซึมเข้าไปในโต๊ะหิน และม่านพลังขนาดย่อมปรากฏขึ้นรอบตัวเขาในวินาทีต่อมา เพื่อปิดกั้นวิสัยทัศน์และเสียงต่าง ๆ รอบข้างอย่างสมบูรณ์
นี่เป็นวิธีการป้องกันการโกงข้อสอบของสถาบันแห่งนี้
ม่านพลังเหล่านี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวันของผู้คน
และบนโต๊ะของเขา กระดาษข้อสอบสีขาวก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ
มันดูคล้ายกับเครื่องแท็บเล็ตของโลกมนุษย์ไม่มีผิด
ประวัติศาสตร์แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่นั้นประกอบไปด้วยคำถามทั้งสิ้น 5 ประเภทด้วยกัน ได้แก่คำถามแบบเลือกตอบ คำถามเลือกถูกผิด คำถามแบบเติมแผนที่ คำถามทดสอบความเข้าใจเนื้อหา และสุดท้ายคือคำถามทดสอบการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
หลินเป่ยเฉินเหลือบไปมองกระดาษข้อสอบพวกนั้นและได้ข้อสรุปทันทีว่า เขาไม่สามารถตอบคำถามพวกนั้นเลยสักข้อเดียว
แต่มันไม่สำคัญหรอก
เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาและคลิกเข้าไปยังแอปพลิเคชันประวัติศาสตร์จักรวรรดิเป่ยไห่ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ของเขา
ก่อนการทดสอบจะเริ่มต้นขึ้น เขาได้ถ่ายภาพคัมภีร์บทเรียนทั้งหมดจากชั้นเรียนปี 1 จนถึงปัจจุบันลงในโทรศัพท์ และแน่นอนว่าความสามารถของโทรศัพท์นั่น ได้เปลี่ยนเนื้อหาในบทเรียนให้กลายเป็นแอปพลิเคชันในแอปสโตร์ด้วยเนื้อที่จัดเก็บไม่ถึง 10 MB เสียด้วยซ้ำ วิชานี้มีจุดประสงค์เพื่อการทดสอบความจำของเหล่าศิษย์ที่มีต่อบทเรียน แต่เห็นได้ชัดเลยว่านั่นไม่มีปัญหาอะไรกับการประเมินผลของโทรศัพท์แม้แต่น้อย
เขาใช้ฟังก์ชันสแกนภาพที่มีอยู่ในแอปพลิเคชัน เพื่อสแกนกระดาษข้อสอบแต่ละหน้า
และในเวลาเพียงไม่ถึง 3 ชั่วลมหายใจ แอปพลิเคชันนั้นก็ประมวลผลคำตอบมาให้เสร็จสิ้น
สิ่งที่หลินเป่ยเฉินต้องทำก็เพียงแค่ลอกมันลงไปเท่านั้นเอง
เขาใช้เวลาเพียง 10 ลมหายใจเท่านั้นในการทำข้อสอบทั้งหมด
ว่าแล้วหลินเป่ยเฉินก็พลันกดปุ่มบนโต๊ะเพื่อส่งกระดาษข้อสอบโดยไม่ลังเล
“ปี๊บ!”
และเมื่อการส่งข้อสอบเสร็จสิ้น สัญลักษณ์ที่เป็นเครื่องหมายเพื่อใช้ก่อม่านพลังรอบ ๆ ตัวเขาก็หายไป
ฉู่เหินผู้เป็นหัวหน้าอาจารย์ของชั้นปีที่ 2 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการคุมสอบครั้งนี้ และเมื่อชายชราเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็ถึงกับตะลึงงัน พร้อมกับประกายแห่งความประหลาดใจที่สว่างวาบขึ้นมาในดวงตา
นี่ส่งข้อสอบเป็นคนแรกเลยงั้นหรือ?
และเมื่อเขาเหลือบมองไปยังที่นั่งหมายเลข 109 ก็พบว่าผู้ที่นั่งอยู่นั้นคือหลินเป่ยเฉิน
เป็นเจ้าหมอนี่ได้อย่างไร?
แววตาประหลาดใจในดวงตาของฉู่เหินดับมอดลงไปในพริบตา
สงสัยเจ้าเด็กคนนี้คงตอบมาแบบส่งเดชเป็นแน่แท้
เจ้าแกะดำเคยทำแบบนี้มาแล้ว เพราะฉะนั้น อาจารย์หลาย ๆ คนจึงไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้นัก
ฉู่เหินละสายตาออกจากเขาอย่างไม่ใส่ใจ
ผู้คุมสอบอีกหลายคนก็ดูจะไม่สนใจในผลการสอบของหลินเป่ยเฉินเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นและเดินจากออกจากห้องสอบไปหน้าตาเฉย
และเวลาก็ผ่านไปชั่ว 2 ก้านธูปหมด
“ปี๊บ!”
เสียงของการส่งข้อสอบดังขึ้นอีกครั้ง
สัญลักษณ์ต้องห้ามของผู้เข้าสอบโต๊ะ 110 นั้นหายไป เมื่ออู๋เสี่ยวฟางทำข้อสอบเสร็จเรียบร้อย
“ฮะฮ่า! แบบทดสอบวิชาประวัติศาสตร์จักรวรรดิเป่ยไห่นี่ชักจะเริ่มน่าสนใจแล้วล่ะสิ ข้อสอบเติมแผนที่เกี่ยวกับเส้นแบ่งเขตแดนของจักรวรรดิจี้กวง หากข้าไม่ได้เคยเห็นแผนที่นั่นมาก่อน ข้าก็คงตอบข้อสอบนั่นไม่ได้ และข้อสอบวัดความเข้าใจในเนื้อหานั่นน่ะ มีโจทย์หลอกอยู่เพียบเลย ถ้าไม่ใช่ข้า ก็คงมองไม่ออกหรอก”
อู๋เสี่ยวฟางคิดในใจ และอดไม่ได้ที่จะมั่นใจเสียจนเกินเหตุ
เขาพึงพอใจกับความสามารถที่ตนเองมีเสียจริง
ฉู่เหินผู้เป็นหัวหน้าอาจารย์ของชั้นปีเดินตรงมาหาเขาพร้อมด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวฟาง เจ้าส่งข้อสอบได้รวดเร็วมาก แบบนี้คิดว่าจะได้คะแนนถึง 90 ไหม” เขานั้นชื่นชมและมองศิษย์ผู้มากความสามารถคนนี้ในแง่ดีอย่างสุดซึ้ง
อู๋เสี่ยวฟางกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “แน่นอนว่าข้าต้องได้ถึง 95 คะแนน หรือไม่ก็สูงกว่านั้นอย่างแน่นอน แต่หากข้ามีโชคอีกสักหน่อย ข้าก็คงได้ถึง 100 คะแนนเป็นแน่”
“ดีมาก” ฉู่เหินเอ่ยด้วยความพอใจ “ข้าล่ะชื่นชมความมั่นใจของเจ้าจริง ๆ ข้าหวังว่าเจ้าและศิษย์ชั้นยอดทั้งหลายจะกลายเป็นผู้แข่งขันในการประลองความสามารถประจำเมืองนะ”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ฉู่ แล้วนี่…เจ้าหลินเป่ยเฉินได้ส่งกระดาษคำตอบหรือยัง ?”
อู๋เสี่ยวฟางหันไปมองที่นั่งว่างเปล่าด้านซ้ายและรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“พุทโธ่เอ๋ย ไม่ต้องไปคาดหวังอะไรกับเจ้าโง่เง่านั่นหรอก ปล่อยเขาไปเถอะ” ฉู่เหินยิ้มแล้วกล่าวต่อว่า “ในเมื่อเจ้าส่งข้อสอบเรียบร้อยแล้ว จงไปเตรียมตัวสำหรับการสอบถัดไปซะเถอะ ข้าคาดหวังในตัวเจ้าอย่างมากเลยนะ”
“ได้เลยท่านอาจารย์ ขอบคุณท่านมาก ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเป็นอันขาด” อู๋เสี่ยวฟางเอ่ย
หลังจากนั้น เขาก็เดินออกไปจากห้องสอบ
ฉู่เหินพยักหน้าด้วยความพอใจ
และเมื่อเวลาผ่านไป เหล่าศิษย์ต่างก็พากันทยอยส่งข้อสอบ
ก่อนที่การสอบจะจบลงในครึ่งชั่วยามต่อมา
“โอ๊ย ให้ตายเถอะ ใครเป็นคนออกข้อสอบเนี่ย ทำไมมันถึงยากขนาดนี้”
“ข้าล่ะไปไม่เป็นกับข้อสอบเติมแผนที่เลย”
“แถมข้อสอบวัดความเข้าใจก็ยังมีแต่โจทย์หลอกเต็มไปหมด”
“ฮ่า ๆ ข้ากลับว่ามันง่ายมาก ดูท่าอย่างน้อย ๆ ข้าคงได้มาซัก 80 คะแนนเป็นอย่างต่ำ!”
นอกห้องสอบนั้น บรรดาศิษย์จำนวนมากต่างก็พากันตื่นเต้นดีใจ บ้างก็เศร้าเสียใจหลังจากแลกเปลี่ยนคำตอบของตนกับเพื่อน ๆ
และในตอนนี้ อาจารย์ทั้ง 20 ท่านก็กำลังง่วนอยู่กับการตรวจข้อสอบ
จากข้อตกลงร่วมของสถานศึกษาในเมืองหยุนเมิ่งนี้ เมื่อข้อสอบได้ถูกส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ข้อสอบจะต้องถูกตรวจทันทีและจะต้องมีการประกาศคะแนนก่อนการสอบถัดไปจะมาถึง
ครึ่งชั่วยามถัดมา
ข้อสอบทั้งหมดได้ถูกให้คะแนนเป็นที่เรียบร้อย
“เหมือนว่าข้อสอบในปีนี้จะดูยากเกินไปหน่อยนะ ผลการสอบของพวกศิษย์กลุ่มข้าออกมาไม่ค่อยดีเลย คะแนนสูงสุดอยู่ที่ 79 เท่านั้นเอง”
“คะแนนสูงสุดในกลุ่มของข้าอยู่ที่ 88 แต่พวกศิษย์คนอื่น ๆ น่ะนะ…เฮ้อ อย่าให้พูดเลยดีกว่า”
“ช้าก่อน! นี่มันอะไรกัน! มีศิษย์ที่ได้ 11 คะแนนด้วยงั้นหรือ อาจเป็นเจ้าหลินเป่ยเฉินก็ได้ เพราะเจ้านั่นส่งข้อสอบไวเหลือเกิน”
“โธ่…ต่อให้เจ้านั่นจะได้ 0 คะแนน ข้าก็ไม่แปลกใจหรอก”
“กลุ่มของข้ามีศิษย์ที่ได้ถึง 92 คะแนนด้วย ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดีทีเดียว!”
“ไม่เอาน่า…เปิดชื่อออกเลย นั่นต้องเป็นของอู๋เสี่ยวฟาง มู่ซินเยว่ ไม่ก็อู่สี่อยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินคะแนนที่สูงขนาดนั้น บรรดาอาจารย์ต่างก็ตื่นใจกับชื่อผู้ทำข้อสอบ
และตอนนั้นเอง…
“เดี๋ยวนะ? นะ…นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน”
เสียงประหลาดใจดังต้องหูอาจารย์ทุกคนในห้อง เพราะเสียงนั่นดังออกมาจากปากอาจารย์อาวุโสผู้ที่ปกติแล้วมักจะสงบนิ่งในทุกสถานการณ์ แต่ในตอนนี้ เขากลับตื่นตกใจและงุนงงอย่างถึงที่สุด
“อาจารย์โหว เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
คณบดีฉู่ถามด้วยความแปลกใจ
อาจารย์โหวตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นเครือ “มีศิษย์ได้ 100 คะแนนเต็มด้วย”
คำพูดของเขาฟังดูตื่นตกใจจนอาจารย์ท่านอื่นนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้แล้ว
“อะไรนะ?”
“คะแนนเต็มงั้นหรือ?”
“ไม่…เป็นไปไม่ได้น่าที่จะมีศิษย์ได้คะแนนเต็ม…ในข้อสอบนี้น่ะ”
“ใครกัน?”
และในตอนนั้นเอง บรรดาอาจารย์ต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกกันถ้วนหน้า