บทที่ 182 คำเชิญและคำปฏิเสธ
หลินเป่ยเฉินรับคำในลำคอว่า “ขอรับ”
หัวใจของเขารู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย
หลิงฉือกล่าวต่อไปว่า “ที่เจ้าฆ่าพวกมัน ข้าไม่รู้เลยว่ามีผู้คนมากมายแค่ไหนที่กำลังขอบคุณเจ้าอยู่ เพราะหากพวกมันยังมีชีวิตรอด ก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องมีคนบริสุทธิ์ตกตายในมือของพวกมันอีกเท่าไหร่…นี่แหละคือประโยชน์ของการใช้กระบี่ เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอีกครั้ง
ความรู้สึกผิดในจิตใจของเด็กหนุ่มจางหายไป
เขาเข้าใจความเป็นจริงแล้ว
เรื่องราวหลายอย่างถ้าออกมาจากปากบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ มันก็จะเป็นเพียงความเหลวไหลเพ้อเจ้อเท่านั้น
แต่เมื่อออกมาจากปากของหลิงฉือ ทุกถ้อยคำก็ดูน่าเชื่อถือและกระแทกกระเทือนจิตใจอย่างยิ่ง
นั่นเป็นเพราะว่านายทหารหนุ่มไม่ได้กำลังปลอบใจหลินเป่ยเฉิน
แต่เขากำลังนำเสนอแนวคิดของตนเอง
แนวคิดที่ทำให้กลับมาตั้งหลักชีวิตได้มั่นคงอีกครั้ง
ดังนั้น ทุกคำที่หลิงฉือพูดออกมาจึงก้องกังวานอยู่ในหัวใจของหลินเป่ยเฉิน
“เสี่ยวเอ้อร์ ขอสุราด้วย”
เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นมากมาย
ในไม่ช้า ไหสุราก็ถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะอาหาร
หลินเป่ยเฉินนำสุราเทใส่ถ้วยสองถ้วย
จากนั้นจึงได้ส่งหนึ่งถ้วยไปให้แก่หลิงฉือ อีกหนึ่งถ้วยถือไว้อยู่กับมือของตนเอง พูดว่า “แม่ทัพหลิง เชิญดื่ม”
หลิงฉือตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หลังเข้าร่วมกองทัพ ข้าไม่เคยดื่มสุราอีกเลย”
แทนที่จะรู้สึกหน้าแตกเพราะถูกปฏิเสธ หลินเป่ยเฉินกลับหัวเราะฮาฮากล่าวว่า “ดียิ่ง ในเมื่อท่านไม่ดื่ม ข้าก็ประหยัดเงินได้มากโข”
หลังดื่มสุราสามถ้วยรวด หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิมหลายเท่า
สุราในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้หมักขึ้นจากผลไม้ชั้นดี มีรสชาติหอมหวาน ให้ความรู้สึกร้อนวูบวาบเล็กน้อย ไม่ได้แผดเผาแสบคอเหมือนสุราบนโลกมนุษย์
สำหรับคนที่แทบจะไม่เคยดื่มสุราเลยเมื่ออยู่บนโลกมนุษย์อย่างหลินเป่ยเฉิน เมื่อเขาได้ลองลิ้มรสสุราแห่งโลกจอมยุทธ์เข้าไป เด็กหนุ่มก็ต้องยอมรับเลยว่าเขาหลงรักมันเสียแล้ว และแทบจะกลายเป็นคนที่ติดสุราไปโดยไม่รู้ตัว
แล้วหลินเป่ยเฉินก็นั่งร่ำสุราอยู่อย่างนั้น เหมือนเป็นคนไม่สนใจโลก
หลิงฉือนั่งอยู่ในความเงียบ จ้องมองหลินเป่ยเฉินดื่มสุราด้วยความตั้งอกตั้งใจ สีหน้าของแม่ทัพหนุ่มราบเรียบราวกับผืนน้ำที่ปราศจากคลื่นลม
เมื่อหลินเป่ยเฉินดื่มจนได้ที่แล้ว เขาก็ถามว่าออกมาในที่สุดว่า “ไม่ทราบแม่ทัพหลิงมาที่นี่คราวนี้ ใช่ว่ามาเพราะเรื่องข่าวลือระหว่างข้าน้อยกับคุณหนูหลิงเฉินใช่ไหมขอรับ?”
หลิงฉือตอบว่า “มันไม่ใช่ข่าวลือ”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาทันที “หา?”
หลิงฉืออธิบายว่า “ข้าถามน้องสาวข้าแล้ว นางยอมรับว่าชอบเจ้าจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้น…” หลินเป่ยเฉินต้องดื่มสุราย้อมใจอีกหลายอึก ก่อนพูดว่า “ข้าน้อยรบกวนท่านแม่ทัพ ฝากถามอะไรคุณหนูหน่อยสิขอรับ”
“เจ้าอยากถามอะไร?” หลิงฉือถามกลับมา
“ช่วยถามนางแทนข้าทีว่า ข้าต้องทำอย่างไร นางถึงจะตัดใจไปจากข้าได้เสียที?” หลินเป่ยเฉินกล่าว
ในที่สุด สีหน้าเรียบเฉยของหลิงฉือก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเล็กน้อย “น้องสาวของข้าหน้าตาไม่งดงามหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยกถ้วยสุราขึ้นดื่ม ก่อนตอบ “งดงามมาก”
“หรือว่าครอบครัวของเรายังไม่สูงส่งมากพอ?” หลิงฉือถาม
หลินเป่ยเฉินตอบ “สูงส่งพอ”
หลิงฉือพยายามหาคำตอบต่อไป “หรือว่านางไม่มีความสามารถ?”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นางมีความสามารถมากกว่าข้าน้อยหลายเท่า”
“แล้วอย่างนั้นเจ้าปฏิเสธนางทำไม?”
หลิงฉือถามด้วยความสงสัย
หลินเป่ยเฉินตอบหน้าตาเฉยว่า “เพราะข้าน้อยมีคนรักอยู่แล้วหลายสิบคน”
หลิงฉือพูดอะไรไม่ออก
หลังจากนั่งเงียบกันอยู่อีกครึ่งค่อนวัน สุดท้ายแม่ทัพหนุ่มก็กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ความจริงแล้ว ที่ข้ามาหาเจ้า ก็เพื่อจะมาดูว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร เหตุไฉนน้องสาวข้าถึงลืมเจ้าไม่ลง และข้าก็อยากจะดูด้วยว่า บุตรชายของท่านขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ ผู้สร้างชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกลไปทั่วจักรวรรดิเป่ยไห่และจักรวรรดิจี้กวง จะสามารถกลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่เหมือนในข่าวลือได้จริงหรือไม่”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “บัดนี้ท่านคงผิดหวังมากแล้ว”
หลิงฉือส่ายหน้าตอบกลับมาว่า “เจ้าน่าทึ่งยิ่งกว่าในข่าวลือ เจ้ามีฝีมือดีกว่าที่ข้าคิด”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ความเคลือบแคลงสงสัยก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของแม่ทัพหนุ่ม เขาระบายลมหายใจออกมายาวแรง แล้วกล่าวต่อว่า
“ในฐานะที่เป็นนายทหาร ข้าไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องสัญชาตญาณสักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าความรู้สึกแปลกๆ เหล่านั้นในใจข้ามาจากไหน บางครั้งมันก็เกิดขึ้นแบบอธิบายไม่ได้ แต่เมื่อข้าได้มาเห็นหน้าเจ้า ในส่วนลึกของหัวใจข้าก็มีเสียงร้องบอกออกมาว่า ไข่มุกงามเม็ดต่อไปประจำจักรวรรดิของพวกเรา จะต้องเป็นเจ้าอย่างแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินยังคงหัวเราะอยู่ในลำคอเสมือนไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ “นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผล ที่ทำให้ท่านตัดสินใจมานั่งพูดคุยกับข้าน้อยใช่ไหมขอรับ?”
หลิงฉือพยักหน้า กล่าวว่า “มิผิด ข้ารู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากตัวเจ้า และข้าก็รู้สึกว่ามีที่ๆ หนึ่งที่เหมาะสมกับเจ้ามาก ดังนั้น ข้าจึงอยากมาเชิญเจ้าด้วยตัวของข้าเอง”
“เชิญไปไหนหรือขอรับ?” หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว
หลิงฉือตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เชิญเจ้าให้เข้าร่วมกองทัพ”
“กองทัพ?” หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ “ท่านแม่ทัพอยากให้ข้าน้อยไปเป็นทหารหรือขอรับ?”
หลิงฉือพยักหน้า “ถูกต้อง ที่ข้าเดินทางกลับมณฑลเฟิงอวี่ครั้งนี้ การแวะมาเยี่ยมเยือนพ่อแม่เป็นแค่ผลพลอยได้ แต่ภารกิจที่แท้จริงของข้านั้น คือการมาเฟ้นหาตัวนายทหารฝีมือดีรุ่นต่อไปต่างหาก”
“นายทหาร?” หลินเป่ยเฉินยังคงไม่หลุดออกจากความตกตะลึง “จะให้ไปประจำพื้นที่แดนเหนือใช่ไหมขอรับ?”
หลิงฉือตอบว่า “ถูกต้อง”
“แล้วท่านก็อยากให้ข้าน้อยไปเป็นทหาร?” หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาชี้หน้าตัวเอง
หลิงฉือผงกศีรษะ รับคำว่า “ถูกต้อง”
หลินเป่ยเฉินพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเหมือนได้ฟังเรื่องขบขันก็ไม่ปาน
สุดท้าย เด็กหนุ่มก็ก้มหน้าก้มตาดื่มสุราอีกหลายถ้วย หลังสะอึกอยู่หลายครั้ง หลินเป่ยเฉินก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมว่า “ท่านแม่ทัพคิดว่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่สุดในปฐพี ผู้มีนิสัยเสเพลรักความสบาย แถมจิตใจไม่มั่นคง ในสมองมีแต่เรื่องลามกจกเปรตอย่างข้าน้อย จะยินดีเสียสละความสุขสบายทั้งหมด เพื่อไปเสี่ยงอันตรายที่แดนเหนือหรือขอรับ?”
“แล้วเจ้าไม่อยากไปหรือ?” หลิงฉือถามกลับมา น้ำเสียงเข้มขรึมไม่แพ้กัน
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ในดวงตาเป็นประกายเคร่งเครียดจริงจังมากกว่าเคยขณะพูด “กราบเรียนท่านแม่ทัพตามตรง ข้าน้อยเพิ่งจะรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวรรดิแห่งนี้ได้ไม่นาน ดังนั้น ข้าน้อยจึงไม่เคยคิดเรื่องการเป็นทหารไปออกรบที่แดนเหนือมาก่อน เพราะว่า…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็ยกมือขึ้น ทำท่าวาดไม้กางเขนบนหน้าอกตัวเอง และกล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “ข้าน้อยกลัวตายขอรับ”
“คนที่ยอมรับว่าตนเองกลัวตาย ก็นับว่าเป็นคนที่กล้าหาญคนหนึ่งเช่นกัน” ในดวงตาของหลิงฉือปรากฏว่าขบขันขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่มีความเหยียดยามหรือดูถูกดูแคลนอยู่ในนั้นเลย แม่ทัพหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชมด้วยซ้ำไปว่า “แต่ยิ่งเจ้ากลัวตายมากเท่าไหร่ เจ้าก็สมควรไปเป็นทหารแนวหน้ามากเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปว่า “เพราะการไปเป็นทหารแนวหน้า ข้าน้อยจะได้พบเห็นคนตายเป็นเรื่องปกติ จนสุดท้ายก็ไม่กลัวตายอีกต่อไปใช่ไหมขอรับ?”
หลิงฉือส่ายหน้า
แม่ทัพหนุ่มลุกขึ้นยืนและค่อยๆ ก้าวเดินออกจากโต๊ะอาหาร เมื่อเดินไปถึงประตูห้อง เขาก็หยุดชะงัก และหันกลับมามองหลินเป่ยเฉิน พูดว่า “นั่นเป็นเพราะ… มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เจ้าคิด”
หลินเป่ยเฉินไม่พูดอะไร
หลิงฉือหันหลังกลับไปเปิดประตู กำลังจะเดินออกจากห้อง
หลินเป่ยเฉินพลันตะโกนเรียกขึ้นว่า “ช้าก่อนขอรับ”
หลิงฉือชะงักกึก ถามโดยไม่ได้เหลียวหน้ามองกลับมา “เปลี่ยนใจแล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะแหะๆ ตอบกลับไปว่า “ไม่เปลี่ยนใจขอรับ…แต่ช่วงนี้ข้าน้อยไม่ค่อยมีเงิน ไหนๆ แม่ทัพหลิงก็มาจากตระกูลร่ำรวย ตระกูลของข้าเองก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อน ดังนั้นอาหารการกินที่ข้าน้อยสั่งมาในวันนี้จึงจัดหนักจัดเต็ม อ้อ จริงด้วยสิ เมื่อสักครู่ข้าน้อยเพิ่งสั่งให้ทางโรงเตี๊ยมห่ออาหารกลับบ้าน พอดีข้าน้อยกะจะเก็บเอาไปรับประทานต่อที่สถานศึกษาน่ะขอรับ เอาเป็นว่าค่าอาหารและเครื่องดื่มมื้อนี้ เราแบ่งจ่ายคนละครึ่งดีไหมขอรับ?”
มุมปากของแม่ทัพหนุ่มกระตุกระริก
“เจ้านี่มันคนเสเพลอันดับ 1 ประจำเมืองหยุนเมิ่งจริงๆ”
พูดจบ หลิงฉือก็เดินจากไป
เสียงที่เคร่งเครียดจริงจังของหลินเป่ยเฉินดังไล่หลังออกมาจากห้องอาหารว่า “หมายความว่ายังไงขอรับ กลับมาพูดให้ชัดเจนก่อน สรุปว่าจะช่วยข้าน้อยจ่ายค่าอาหารหรือไม่?”
ได้ยินดังนั้น หลิงฉือจึงรีบเร่งฝีเท้าออกมาเร็วมากกว่าเดิม
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็เดินหน้าตาห่อเหี่ยวออกมาจากห้องอาหาร
“เออ จ่ายเองก็ได้วะ ไม่น่าสั่งมาเยอะเลยเรา…”
หลังจากนั้น เด็กรับใช้ภายในโรงเตี๊ยมก็เข้ามาจัดการห่ออาหารและเครื่องดื่มทั้งหมด ให้เด็กหนุ่มเดินหิ้วกลับสถานศึกษากระบี่ที่สาม
ณ ขอบฟ้าไกล พระอาทิตย์สีเลือดกำลังจะตกดิน
หมู่มวลวิหคส่งเสียงร้องอย่างไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย สร้างความมีชีวิตชีวาให้แก่ฤดูร้อนของเมืองหยุนเมิ่งคึกคักอักโข
เงาของหลินเป่ยเฉินทอดยาวตรงไปยังประตูทางเข้าสถานศึกษา