บทที่ 186 ฝึกใช้ขา
ในขณะที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้นเอง ก็มีไฟล์ถูกส่งเข้ามาในแอปวีแชท
โชคดีที่ครั้งนี้ไฟล์มีขนาดแค่ 500 MB เท่านั้น และไฟล์เอกสารก็มีชื่อระบุชัดเจนว่า
‘คัมภีร์แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือ’
หลินเป่ยเฉินลังเลเล็กน้อยก็กดดาวน์โหลดไฟล์
การโอนถ่ายข้อมูลใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินลองเปิดดู ก็ได้พบว่ามันเป็นคัมภีร์ที่ระบุถึงวิธีการสร้างแขนเทียมและขาเทียมเล่มหนึ่ง
ในคัมภีร์จะแบ่งแยกออกเป็น 4 ส่วน
ประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นการสร้างแขนซ้ายและแขนขวา กับการสร้างขาซ้ายและขาขวา
รายละเอียดทุกอย่างระบุเอาไว้ชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิความร้อนในการหลอมเหล็ก วัสดุที่ควรใช้สำหรับการนำมาทำแขนกล รวมถึงค่ายอาคมที่ควรสร้างขึ้นมาตอนประกอบแขน
หลินเป่ยเฉินพลิกคัมภีร์ไปจนถึงหน้าสุดท้าย มันเต็มไปด้วยข้อความและสัญลักษณ์มากมาย ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอ่านกระดาษข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ของโลกมนุษย์อยู่อย่างไรอย่างนั้น
“เอาวะ เดี๋ยวเอาไปให้อาจารย์ฉู่ดูเขาก็คงเข้าใจเองนั่นแหละ”
เด็กหนุ่มตัดสินใจเก็บคัมภีร์เอาไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์
หลังจากนั้น เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็พิมพ์ข้อความส่งมาอีกว่า “นอกจากคัมภีร์เล่มนี้แล้ว ข้าก็ได้จัดส่งหญ้าดาราน้อยไปให้เจ้าด้วย ลองตรวจสอบดูในแอปก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินพิมพ์ข้อความกลับไปว่า “ขอบใจมาก”
หลังจากนั้น เขาก็กดเข้าไปในแอปจิงตงมอลล์
ในแท็บสินค้าที่ต้องได้รับ มีข้อมูลการขนส่งระบุเอาไว้ว่า พัสดุที่ชื่อ ‘หญ้าดาราน้อย’ จากร้านค้าของเทพีกระบี่หิมะไร้นาม จะถูกจัดส่งมาถึงมือเขาภายในเวลา 10 วัน
น่าสนใจดีไม่น้อยนี่นา
คนที่อยู่บนดินแดนทวยเทพ สามารถส่งของลงมาที่โลกจอมยุทธ์แห่งนี้ได้ด้วยหรือ?
แล้วจะมีบริการเดลิเวอรี่มาส่งพัสดุถึงหน้าบ้านหรือเปล่านะ?
หรือว่าเมื่อถึงกำหนดการจัดส่ง พัสดุชิ้นนั้นก็จะวาร์ปมาอยู่ในมือของเขาเอง?
หลินเป่ยเฉินตั้งหน้าตั้งตารอการมาถึงของพัสดุด้วยความตื่นเต้น
ระหว่างที่ขบคิดเรื่องนี้ เขาก็เดินมาถึงสถานที่พักฟื้นของผู้บาดเจ็บโดยไม่รู้ตัว
สถานที่พักฟื้นของวิหารเทพกระบี่เป็นบ้านเรือนขนาดใหญ่ที่สร้างเชื่อมต่อกันด้วยระเบียงสามด้าน ตรงกลางเป็นลานกว้าง มีรูปปั้นเทพีกระบี่สีขาวบริสุทธิ์ สวมใส่ชุดนักรบและหมวกเหล็ก ถือกระบี่ตั้งตระหง่านด้วยความสูงกว่า 30 เซี๊ยะเศษ เพียงมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่านี่คืองานแกะสลักชั้นเลิศ มีลักษณะเหมือนจริงและดูศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
บริเวณระเบียงทางเดินของบ้านพักผู้บาดเจ็บ มีนักบวชเดินขวักไขว่ ส่วนประชาชนบุคคลทั่วไป จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่ด้วยตัวเองเด็ดขาด
ถัดไปทางด้านหลังของบ้านพักผู้บาดเจ็บ ก็จะเป็นจุดชมวิว
จุดชมวิวเป็นแท่นหินที่ต่อเติมยื่นออกไปจากริมหน้าผา เมื่อเดินไปยืนอยู่บนแท่นหินนั้น ก็จะสามารถมองเห็นได้ทั้งตัวเมืองหยุนเมิ่ง รวมถึงสามารถมองเห็นเกลียวคลื่นของท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกด้วยเช่นกัน
จุดชมวิวนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า ‘ผาคืนกระบี่’ เนื่องจากมีตำนานเล่าขานกันว่านักบวชที่ต่อสู้กับมารร้ายจากโลกภายนอก เมื่อได้รับชมภูมิทัศน์อันสวยงามของจุดชมวิวแห่งนี้ เขาก็ถูกมนต์เสน่ห์ของเมืองหยุนเมิ่งสะกดตราตรึงจนถึงขั้นเก็บกระบี่คืนฟัก ไม่อยากชักออกมาสู้รบอีกแล้ว
ระเบียงบ้านผู้บาดเจ็บทางขวามือเชื่อมต่อกับลานขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้มีนามว่า ‘ลานสวนพุทรา’ แต่มันเป็นพุทราวิเศษ จะออกผลทุกๆ 3 ปีเท่านั้น เมื่อได้รับประทานเข้าไปแล้ว ระดับพลังในร่างกายก็จะสมบูรณ์แข็งแรง เปรียบเสมือนได้รับประทานยาอายุวัฒนะชนิดหนึ่ง
เหตุผลที่ต้นพุทราเหล่านี้แตกต่างจากต้นพุทราทั่วไปก็คือ มันเป็นผลไม้วิเศษที่ได้เมล็ดมาจากดินแดนทวยเทพ ซ้ำยังได้รับความศักดิ์สิทธิ์จากวิหารเทพกระบี่ จนทำให้สารอาหารที่อยู่ในผลพุทราเปรียบเสมือนผลไม้ทิพย์ บรรดานักบวชภายในวิหารจะนำผลพุทรามาคั้นน้ำก่อนจะนำไปปรุงยาสูตรลับเฉพาะตัว เพื่อนำมารักษาบรรดาจอมยุทธ์ผู้บาดเจ็บ
ไม่ว่าใครที่เดินเข้ามาในลานสวนพุทรา ก็จะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นในพริบตา
หากจอมยุทธ์ท่านใดได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินกว่าที่หมอยาในตัวเมืองจะรักษาไหว พวกเขาก็จะถูกส่งตัวมาให้บรรดานักบวชในวิหารเทพกระบี่รักษาต่อ เมื่อผู้บาดเจ็บมาถึงมือของนักบวชเหล่านั้น อาการของพวกเขาก็จะดีวันดีคืนราวปาฏิหาริย์
แน่นอนว่าการรักษาย่อมมีค่าใช้จ่าย
วิหารเทพกระบี่แตกต่างจากวิหารบูชาเทพเจ้าอื่นๆ ในโลกนี้ หลินเป่ยเฉินสังเกตพบว่ามันมีความเป็นวัดวาอารามของโลกมนุษย์มากที่สุดแล้ว เด็กหนุ่มพบว่าบริเวณผาคืนกระบี่มีของสักการะบูชาวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด เช่นเดียวกับที่ลานสวนพุทรา ซึ่งเป็นการรับประกันได้ดีว่ามีผู้คนที่ได้รับการรักษาหายดีไปจากที่นี่มากมายเพียงใด…
แม้แต่บรรดานักบวชในวิหาร ก็ยังมีแบ่งแยกเป็นแบบนักบวชเต็มเวลาและนักบวชนอกเวลา
ที่สำคัญคือนักบวชหญิงได้รับอนุญาตให้แต่งงานได้
แต่เมื่อพวกนางแต่งงานแล้ว ก็จะต้องถอนตัวออกจากวิหาร และกลับไปใช้ชีวิตเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง
ว่ากันว่าวิหารเทพกระบี่ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถูกก่อสร้างมากที่สุดในดินแดนตงเต้า และเทพีกระบี่ก็เป็นเทพเจ้าที่มีผู้คนกราบไหว้เยอะมากที่สุด
ภายใต้การนำทางของนักบวชหญิงเยว่เว่ยหยาง หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงเดินผ่านเข้าไปในลานสวนพุทรา
เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้ามาแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ได้ยินเสียงใครบางคนกำลังใช้วิชาตัวเบาลอยแว่วมาในอากาศ
เด็กหนุ่มทอดสายตามองไปข้างหน้า และเขาก็ได้เห็นฉู่เหินผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีฟ้า กำลังหมุนตัวตีลังกาอยู่ใต้ร่มเงาของต้นพุทราต้นหนึ่ง เมื่อไม่มีสองเเขนคอยเป็นจุดถ่วงสมดุลให้แก่ร่างกาย ชายชราจึงเซถลาหลายครั้งกว่าจะตั้งหลักได้มั่นคง
ฮันปู้ฟู่กับพานเว่ยหมินยืนปรบมือคอยให้กำลังใจอยู่ที่ด้านข้าง
ไป๋ชินหยุนไม่ได้อยู่ที่นี่
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
นี่ไม่ใช่ภาพที่เขาจินตนาการเอาไว้เลย
เด็กหนุ่มคิดว่าฉู่เหินได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น บัดนี้ควรนอนแบบอยู่บนเตียงคนป่วยในสภาพที่ใกล้ตาย และบางครั้ง หลินเป่ยเฉินก็แอบคิดด้วยซ้ำว่าอาจารย์ฉู่น่าจะแกล้งเจ็บเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เพื่อเป็นการออดอ้อนบรรดานักบวชสาวๆ เหล่านั้น…
แต่ที่ไหนได้ ตอนนี้อาจารย์ฉู่กลับออกมาฝึกใช้ขาให้คล่องแคล่วแล้ว
“อ้าว พวกเจ้าสองคนมาแล้วหรือ”
ฉู่เหินดีดตัวตีลังกาอีกครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวกลับลงมาบนพื้น เขาเซถลาอีกเล็กน้อยก็ยืนนิ่งและหันมาพยักหน้าทักทายเยว่หงเซียง แต่เมื่อหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน ชายชราก็ทำหน้าดุทันที “นี่เจ้าโดดเรียนอีกแล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
ตาแก่คนนี้จะพูดกับผู้ที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้ให้ดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง?
“ข้าตั้งใจว่าเมื่อมาเยี่ยมอาจารย์เสร็จแล้ว ก็จะกลับไปเข้าเรียนน่ะขอรับ”
เขาไม่อยากทำให้ฉู่เหินต้องหัวเสีย จึงรีบตอบกลับไปแสร้งทำตัวเป็นเด็กดี
มองดูสภาพภายนอก ฉู่เหินก็เหมือนกับคนปกติธรรมดาทั่วไป นับว่าจิตใจของเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าทั้งหมดนี้คือการแสดง ความรู้สึกในใจของชายชราจริงๆ แล้ว คงจะต้องทุกข์ทรมานอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
หลินเป่ยเฉินเคยดูมานักต่อนักแล้วทั้งในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์บนโลกมนุษย์
ดังนั้น เขารู้ตัวดีว่าตนเองควรทำอย่างไร
“หืม?” ฉู่เหินขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ “เดี๋ยวนี้เจ้ากลายเป็นเด็กดีแล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ข้าเป็นเด็กดีเชื่อฟังอาจารย์ตลอดอยู่แล้วนะขอรับ ข้าพยายามทำตัวเป็นบุคคลต้นแบบ ให้ศิษย์น้องได้ปฏิบัติตามอยู่แล้ว”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าเป็นเด็กดี” แขนเสื้อทั้งสองข้างของฉู่เหินปลิวไสวตามแรงลม ขณะที่เขาพูดต่อว่า “ข้าขอให้เจ้าเป็นเด็กดีแบบนี้ตลอดไปก็แล้วกัน เพราะหลังจากนี้ อาจารย์คนนี้คงไม่ได้อยู่คอยควบคุมเจ้าอีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น จึงถามว่า “ทำไมล่ะขอรับ? อาการบาดเจ็บของอาจารย์มันสาหัสเกินไปหรืออย่างไร?”
ฉู่เหินสลัดแขนเสื้อที่ว่างเปล่าให้หลินเป่ยเฉินดู แล้วพูดว่า “เจ้าช่วยข้าทั้งที ทำไมไม่ช่วยให้ครบทั้งตัว เห็นไหมว่าตอนนี้ข้ารอดชีวิตมาได้ ก็ต้องกลายเป็นบุคคลไร้แขน ทำอะไรไม่ได้ นอกจากกระโดดไปมาเท่านั้น”
ฮันปู้ฟู่รีบกล่าวเสริมว่า “อาจารย์ฉู่กำลังจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าคณะอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 2 ของสถานศึกษาแล้วน่ะ”
เด็กหนุ่มผู้เป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ของศิษย์ชั้นปีที่ 3 ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเขาได้รับการพักฟื้นเรียบร้อย ร่างกายก็กลับมาแข็งแรงดังเดิม มีแต่เพียงใบหน้าที่ซีดเซียวไปหน่อยเท่านั้นเอง
ฉู่เหินพยักหน้าและกล่าวว่า “แขนขาดอย่างนี้ จะไปเป็นหัวหน้าคณะอาจารย์ได้อย่างไร อย่าว่าแต่ไปต่อสู้กับใครหน้าไหน กว่าที่ข้าจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายปีเพื่อฝึกการใช้งานขาให้คล่องแคล่ว และบุคคลพิกลพิการอย่างข้า ไม่เหมาะสมที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในสถานศึกษาอีกต่อไป”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน หลินเป่ยเฉินอาจจะพยายามโน้มน้าวใจให้อาจารย์ฉู่ลองคิดใหม่
แต่ตอนนี้เขามีของดีอยู่ในมือ จึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร
“ลูกศิษย์คำนับอาจารย์พาน” หลินเป่ยเฉินพลันหันไปประสานมือทำความเคารพพานเว่ยหมิน
ชายชรามีผ้าพันแผลพันอยู่เต็มร่างกาย บนผ้าพันแผลมีรอยหยดเลือดไหลซึมออกมาเจือจางหลายจุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาการบาดเจ็บจากคืนเกิดเหตุครั้งนั้นรุนแรงมากเพียงใด ถือเป็นโชคดีของอาจารย์พานมากแล้วที่เขาไม่เสียชีวิตหรือต้องพิการอย่างฉู่เหิน เมื่อได้รับการรักษาเพียงไม่กี่วัน พานเว่ยหมินก็กลับมาเป็นปกติแทบจะทุกอย่างแล้ว
พานเว่ยหมินมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาชื่นชม “ลูกศิษย์หลิน ความดีความชอบที่เจ้าปราบปรามกลุ่มโจรร้ายในหุบเขาชายแดนเหนือครั้งนี้ ทำให้สถานศึกษากระบี่ที่สามได้รับเกียรติอย่างที่คิดไม่ถึงมาก่อน เจ้ารู้หรือไม่ว่าปีหน้าสถาบันของเราสามารถส่งตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้เป็นห้าคนแล้ว ข้าในฐานะตัวแทนอาจารย์ทุกคนต้องขอขอบคุณเจ้าจริงๆ”
“เราสามารถเพิ่มตัวแทนได้ด้วยหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องราวนี้เป็นครั้งแรก
ฉู่เหินพยักหน้าและเป็นฝ่ายให้คำตอบว่า “ถ้าไม่สามารถเพิ่มตัวแทนจากการวัดคะแนนความสามารถโดยรวมของลูกศิษย์ในสถาบัน ก็มีแต่ต้องสร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงให้แก่ทางราชการเท่านั้น และด้วยความที่เจ้าโค่นล้มสมาคมนักล่าอสูรประจำพื้นที่ชายแดนเหนือได้สำเร็จ มันก็ทำให้สถาบันของเราได้เพิ่มตัวแทนอีกหนึ่งคนตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป”
“แล้วทางราชการไม่มีเงินรางวัลพิเศษให้บ้างหรือขอรับ?” หลินเป่ยเฉินดวงตาเป็นประกายแวววาว “หรือทางสถาบันจะมีเงินรางวัลพิเศษให้ข้าบ้างไหม?”
พานเว่ยหมินกับฉู่เหินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
หลังจากพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็ใช้วงแหวนวารีรักษาอาการบาดเจ็บที่ตกค้างอยู่ของพานเว่ยหมินกับฮันปู้ฟู่
อาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเหล่านั้น ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็เยียวยาหายดี
ทั้งสองคนเคยเห็นการรักษาด้วยวงแหวนวารีของหลินเป่ยเฉินมาแล้ว จึงไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด
แต่เยว่เว่ยหยางที่ยืนอยู่ด้านข้างเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก บัดนี้ สีหน้าจึงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“ดีกว่ารักษาด้วยตัวยาจากวิหารอีกหรือนี่?”
นางคิดกับตัวเอง นี่คือเรื่องราวที่ไม่ธรรมดาแล้ว นางต้องรายงานให้ท่านนักพรตหญิงชินรับทราบ
ดังนั้น เยว่เว่ยหยางจึงหาข้ออ้างหมุนตัวเดินจากมา
หลินเป่ยเฉินกลับมานึกถึงคำภีร์แขนกลเทพเจ้าดาวเหนืออีกครั้ง เขาจึงดาวน์โหลดมันออกมาจากแอปเก็บไฟล์ออนไลน์ แล้วคัมภีร์เล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
“เจ้าไปเอาคัมภีร์เล่มนี้…มาจากที่ไหน?”
ฉู่เหินอุทานด้วยความตกตะลึงเมื่อเด็กหนุ่มเปิดคัมภีร์ให้เขาอ่าน