บทที่ 195 นอนร่วมเตียงกันมาแล้ว
สุดท้าย หลิวฉีไห่และคณะอาจารย์ก็ต้องหมุนตัวเดินจากไป
เช่นเดียวกับบรรดาลูกศิษย์ประจำชั้นปีที่ 3 ที่ก้มหน้าก้มตาแยกย้ายไปคนละทิศละทาง
ทุกคนยังคงตกตะลึงไม่หายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ศิษย์พี่ฮัน หลังจากนี้ท่านอาจมีปัญหาก็ได้นะ” ความขุ่นมัวบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉินสลายหายไปแล้ว เขาหันหน้ากลับมาพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “สิ่งที่ท่านพูดไปเมื่อสักครู่นี้ ทำให้อาจารย์หลิวตกใจไม่ใช่น้อย ดูเหมือนท่านจะทำให้อาจารย์หัวใจสลาย ศิษย์พี่อาจจะไม่ใช่ลูกศิษย์คนโปรดของอาจารย์อีกต่อไป…”
ฮันปู้ฟู่ตอบกลับมาว่า “เดี๋ยวข้าจะไปขอโทษอาจารย์หลิวทีหลังเอง แต่ข้าเชื่อว่าอาจารย์ต้องเข้าใจการตัดสินใจครั้งนี้ของข้า อาจารย์ท่านเป็นมือกระบี่ตัวจริง ไม่มาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องราวแค่นี้หรอก”
เยว่หงเซียงเดินเข้ามาประสานมือคำนับเด็กหนุ่มรุ่นพี่ “ศิษย์พี่ฮัน ต้องขอบคุณท่านแล้วที่ออกหน้าช่วยเหลือ”
ฮันปู้ฟู่ยิ้มแย้มด้วยความขมขื่น “เจ้าขอบคุณศิษย์น้องหลินดีกว่า ข้าเพียงพูดไม่กี่คำเท่านั้น และข้าก็เป็นคนหนึ่งที่ควรต้องขอโทษเจ้า ในฐานะหัวหน้าศิษย์ชั้นปีที่ 3 ข้าไม่ได้อบรมสั่งสอนเพื่อนร่วมชั้นปีให้ดีมากพอ หลังจากนี้ ข้าจะกำชับให้พวกเขาทำตัวให้ดีขึ้น”
ฮันปู้ฟู่เป็นหัวหน้าลูกศิษย์ประจำชั้นปีที่สาม ดังนั้น มันจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องควบคุมดูแลเพื่อนร่วมรุ่นให้อยู่ในระเบียบวินัย
“จะขอบคุณก็ขอบคุณกันไปเถอะ มัวพูดมากกันอยู่ได้” ไป๋ชินหยุนเดินยิ้มร่าเข้ามาหาอีกคน “พวกเรา 4 คนร่วมหัวจมท้ายผจญภัยในหุบเขาชายแดนเหนือมาแล้ว นี่ถือว่าเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตให้พวกเราเป็นเพื่อนกันโดยแท้จริง ในเมื่อพวกเราเป็นมิตรสหายกันแล้ว ก็อย่าได้ทำตัวมากพิธีนักเลย”
ฮันปู้ฟู่หัวเราะฮ่าฮ่าและกล่าวว่า “ศิษย์น้องไป๋ ไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะสามารถพูดอะไรที่มันน่าประทับใจเช่นนี้ได้ด้วย”
ไป๋ชินหยุนทำหน้าบึ้งทันที “ท่านหมายความว่าอย่างไร? จะบอกว่าก่อนหน้านี้ ข้าพูดจาไม่มีสาระอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินกล่าวแทรกขึ้นว่า “เอาเถอะ ถือเสียว่าพวกเราเป็นเพื่อนเป็นเพื่อนตาย อยู่ด้วยกันตายด้วยกัน แค่อย่านอนเตียงเดียวกันก็พอแล้ว”
เยว่หงเซียงหัวเราะคิกคัก
ไป๋ชินหยุนยกมือกอดอกและพูดว่า “ทำไมล่ะ? ตอนที่อยู่ในหุบเขาชายแดนเหนือ พวกเรานอนอยู่ในกระโจมเดียวกัน ก็ไม่ต่างจากนอนเตียงเดียวกันแล้วไม่ใช่หรือ?”
เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้ง 3 คนกลอกตามองบน
ถ้าไม่รู้จะพูดอะไร ก็อยู่เงียบๆ ไม่ได้หรือไง
“อ้อ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ข้าเพิ่งนึกได้ว่าตนเองมีของขวัญมามอบให้แก่ศิษย์พี่เยว่” ไป๋ชินหยุนยกมือตบอกตนเอง เกิดประกายแสงสว่างวูบวาบ ก่อนที่เด็กสาวจะหยิบถุงใส่ของขนาดเล็กออกมายื่นส่งให้เยว่หงเซียง พร้อมกับกล่าวว่า “ศิษย์พี่รีบเปิดดูสิ ท่านจะต้องชอบมันแน่นอน”
เยว่หงเซียงรับถุงใส่ของนั้นไปเปิดดู
ของที่อยู่ด้านในคือหน้ากาก
ไม่ใช่สิ
หากกล่าวให้ถูกต้องก็คือ มันเป็นหน้ากากที่มีอยู่แค่ครึ่งเดียว
นี่คือหน้ากากเงินที่ถูกจัดทำอย่างปราณีต มีความยืดหยุ่นอ่อนตัว บางเบาราวกับผ้าไหม ซ้ำยังมีการแกะสลักลวดลายสวยงามลงบนพื้นผิวอีกด้วย
“อาจารย์ฟ่านทำ ‘หน้ากากโฉมงาม’ ออกมาวางขายเป็นสินค้าใหม่ประจำฤดูกาล ข้าคัดเลือกหน้ากากใบนี้มาให้ศิษย์พี่เยว่ด้วยมือของตัวเองเลยเชียวนะ” ไป๋ชินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงของผู้มีชัย “เป็นอย่างไรบ้าง ท่านชอบมันหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินอดชื่นชมไม่ได้ว่า “เจ้าเติบโตขึ้นไม่น้อยเลยนะเนี่ย”
ฮันปู้ฟู่เห็นดังนั้น ก็รีบเก็บหน้ากากไม้ที่กำลังจะนำออกมามอบให้แก่เยว่หงเซียงกลับเข้าที่เดิมทันที
“แต่ว่า…มันแพงมากเกินไป” เยว่หงเซียงส่ายหน้าปฏิเสธและส่งหน้ากากคืนกลับไปให้แก่เด็กสาวรุ่นน้อง “เท่าที่ข้ารู้ หน้ากากโฉมงามของอาจารย์ฟ่านมีราคาหลายเหรียญทองคำ…ข้ารับเอาไว้ไม่ได้หรอก”
ไป๋ชินหยุนตอบกลับด้วยความกระตือรือร้น “พวกเราเคยนอนร่วมเตียงกันมาแล้ว หน้ากากที่มีราคาเพียง 5 เหรียญทองคำจะถือว่าแพงเกินไปได้อย่างไร ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอกน่ะ สำหรับข้าแล้ว เงินจำนวนเพียงเท่านี้ถือว่าไม่มีค่าเลยสักนิด”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็หูผึ่งขึ้นทันที “เดี๋ยวก่อนนะศิษย์น้องไป๋ ข้าขอถามเจ้าหน่อยสิ…ครอบครัวของเจ้าร่ำรวยมากหรือ?”
ไป๋ชินหยุนทำท่าใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย ก็พูดด้วยน้ำเสียงถ่อมตัว “คงเรียกว่าร่ำรวยไม่ได้หรอกกระมัง เพียงแต่ว่าตั้งแต่เด็กจนโต ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน อีกอย่าง ท่านแม่ของข้าก็มีเงินให้ข้าใช้เดือนละ 1,000 เหรียญทองคำ แต่ถ้าเดือนไหนไม่พอ ข้าก็ยังสามารถเบิกเงินที่ฝากเอาไว้มาใช้ได้ตลอดเวลา…”
ยัยเด็กคนนี้มีแม่ให้เงินมาโรงเรียนเดือนละ 1,000 เหรียญทองคำเลยหรือ?
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่ออยู่ในใจของตัวเอง
ทำไมเขาถึงไม่เคยถามคำถามนี้มาก่อนนะ
เงินเบี้ยเลี้ยงที่เด็กสาวได้จากมารดา มีมูลค่าเท่ากับเงินจำนวน 10 ล้านหยวนในโลกมนุษย์ หากไม่เรียกว่าร่ำรวยแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก?
นี่มันบ่อเงินบ่อทองของเขาชัดๆ
หลินเป่ยเฉินอยากจะลงโทษตัวเองด้วยการตบหน้าสักหลายฉาด
ทำไมเขาถึงได้มีตาหามีแววไม่ขนาดนี้
มีตัวเงินตัวทองมาป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกายตั้งนาน ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวเลย
ก่อนหน้านี้ ตอนที่ไป๋ชินหยุนพยายามมาชักชวนเขาไปเป็นคู่ซ้อมกระบี่ หลินเป่ยเฉินนึกเสียใจมากที่ได้ปฏิเสธนางไปหลายครั้ง
แต่ตอนนี้น่ะหรือ ถ้าไม่ติดว่าต้องรักษาภาพลักษณ์อันสูงส่ง หลินเป่ยเฉินอยากจะหมอบกราบแทบเท้าไป๋ชินหยุนและถามนางว่า “ศิษย์น้องไป๋ อยากให้ศิษย์พี่คนนี้ทำอะไรบ้างหรือขอรับ?”
ทว่า เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
“ต่อให้เจ้าไม่ได้มาจากตระกูลร่ำรวยอะไร” หลินเป่ยเฉินพยายามเก็บอาการเอาไว้ให้ได้มากที่สุด “แต่ข้าก็ไม่รังเกียจเจ้าหรอกนะ ข้าขอประกาศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปว่า ไป๋ชินหยุนถือเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของหลินเป่ยเฉิน เราจะร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน เรื่องของเจ้าคือเรื่องของข้า ศัตรูของเจ้าคือศัตรูของข้า…”
พูดออกไปแล้ว หลินเป่ยเฉินก็แอบเติมอีกประโยคอยู่ในใจว่า เงินของเจ้าก็เป็นเงินของข้าด้วยเช่นกัน อุ๊วะอะฮิอะฮิ กริ๊บกริ๊ว
ไป๋ชินหยุนขมวดคิ้วกอดอกอยู่นาน สุดท้ายก็พูดออกมาว่า “ถึงจะรู้สึกแปลกๆ ไปหน่อย แต่ข้าจะถือว่าท่านเป็นเพื่อนของข้าคนหนึ่งก็แล้วกัน”
ฮันปู้ฟู่ยกมือปิดหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
บางครั้งเขาก็นึกอิจฉาหลินเป่ยเฉินกับไป๋ชินหยุนเสียเหลือเกิน
เด็กหนุ่มและเด็กสาวสองคนนี้มีชีวิตที่เหนือจริงมากเกินไป
ราวกับว่าอยากทำอะไรก็ทำได้
อยากจะพลิกลิ้นเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็ทำได้เช่นกัน
ส่วนตัวเขา เวลาที่จะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เวลาที่จะพูดอะไรออกมาสักคำ ก็ต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบ มิฉะนั้นแล้ว ชีวิตก็จะเกิดความวุ่นวายตามมาไม่รู้จบ
แต่ถือเป็นโชคดี ที่เขาได้กลายเป็นเพื่อนกับหลินเป่ยเฉินและไป๋ชินหยุน
เยว่หงเซียงรับหน้ากากไปถือด้วยความระมัดระวัง ดูเหมือนนางจะชอบมันมาก แต่สุดท้ายก็ยังปฏิเสธอยู่ดี
เยว่หงเซียงรู้สึกว่าตนเองกำลังเอาเปรียบมิตรสหายมากเกินไป
นางไม่อยากใช้ความน่าสงสารตักตวงผลประโยชน์จากผู้อื่น
ไป๋ชินหยุนหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี “ไม่เป็นไร สำหรับเงินค่าหน้ากากใบนี้ เดี๋ยวข้าจะหักเอาจากค่าฝึกกระบี่ของศิษย์พี่หลินเอง เขาแค่ต้องมาฝึกกับข้า 5 วัน ก็ได้ค่าหน้ากากของท่านแล้ว อิอิ แต่ถ้าศิษย์พี่เยว่ยังรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมอีกล่ะก็ ท่านจะมาเป็นคู่ซ้อมกระบี่กับข้าด้วยอีกคนก็ย่อมได้!”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตพูดอะไรไม่ออก
นั่นมันหน้ากากของเยว่หงเซียง แล้วไป๋ชินหยุนมีสิทธิ์อะไรมาหักเงินจากค่าฝึกกระบี่ของเขา?
ฮันปู้ฟู่ดวงตาเป็นประกายวิบวับ กล่าวว่า “เป็นความคิดที่ดีมาก อีก 3 วันต่อจากนี้ ก็จะถึงกำหนดเข้าแข่งขันคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบ 20 คนสุดท้ายแล้ว คำถามและบททดสอบทุกอย่างยังคงถูกเก็บเป็นความลับ ข้ารู้เพียงอย่างเดียวว่าทุกอย่างจะเกี่ยวข้องกับกระบี่ เพราะฉะนั้น พวกเรามาฝึกกระบี่ด้วยกันเถอะ ถือว่าเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันไปในตัว”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างไม่อยากเชื่อ เดิมทีเขาก็อยากจะโอบกอดไป๋ชินหยุนเอาไว้ให้แน่นมากที่สุดอยู่แล้ว เพื่อที่ในอนาคตจะได้ยืมเงินนางโดยไม่มีปัญหา เมื่อได้ยินข้อเสนอของฮันปู้ฟู่ หลินเป่ยเฉินก็ตบมือสนับสนุนทันที “ข้าเห็นด้วยกับศิษย์พี่ฮันเต็มที่ขอรับ”
สุดท้าย เยว่หงเซียงก็ยินยอมรับหน้ากากไว้ และกล่าวว่า “พี่หลินออกหน้าช่วยเหลือข้าขนาดนี้ ยังจะต้องเสียเงินเสียทองให้ข้าอีกหรือ ข้าทนไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เอาเป็นว่านับตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันสุดท้ายที่ข้าร่ำเรียนอยู่ในสถานศึกษาแห่งนี้ ข้าจะเป็นคู่ซ้อมกระบี่ให้แก่ศิษย์น้องไป๋เอง”
เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินคำประกาศของเยว่หงเซียง เขาก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยกมือปาดเหงื่อที่ผุดพราวอยู่เต็มหน้าผากเงียบๆ
“ตกลงเจ้าค่ะ” ไป๋ชินหยุนตอบรับด้วยความยินดี
เยว่หงเซียงสวมใส่หน้ากากลงไปบนใบหน้า มันสามารถปิดทับรอยแผลเป็นได้อย่างพอดิบพอดี หน้ากากเงินครอบคลุมใบหน้าครึ่งซีกซ้ายทั้งดวงตา จมูกและพื้นที่ข้างแก้ม…
เดิมที หน้ากากชนิดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างความสวยงามให้แก่เหล่าสตรีภายในเมือง ดังนั้น มันจึงถูกแกะสลักขึ้นด้วยความสวยงามและประณีตบรรจง
เมื่อเยว่หงเซียงสวมลงไปนอกจากจะสามารถปิดทับรอยแผลเป็นได้แล้ว หน้ากากใบนี้ยังสามารถเพิ่มความสวยงามให้แก่เด็กสาวได้อีกหลายเท่า มันทำให้เยว่หงเซียงดูเป็นคนที่ลึกลับและสง่างามมากขึ้นกว่าเดิม
หลินเป่ยเฉินยืนเบิกตาโตจ้องมองด้วยความตกตะลึง
ยิ่งสวมใส่หน้ากาก เยว่หงเซียงก็ยิ่งสวยงามมากขึ้น
มีแต่เพียงฮันปู้ฟู่เท่านั้นที่ยืนมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
Related