บทที่ 1 อยากกลับบ้าน!!!
8888 ปีแสงผ่านมาจนถึงตอนนี้
ณ มลฑลเฟิงอวี่ จักรวรรดิทะเลเหนือ ดินแดนตงเต้า
สถานศึกษากระบี่ที่สามของมณฑลนี้ ตั้งอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง
สายลมเบาบางพัดผ่านและแสงแดดอบอุ่นที่ทอประกาย ทุกสิ่งดูเหมือนกำลังงอกงามขึ้นอย่างช้า ๆ
มันเป็นช่วงต้นฤดูร้อนซึ่งถือเป็นช่วงปีที่ทุกอย่างดูน่าอภิรมย์ไปเสียหมด โดยเฉพาะอากาศที่กำลังสบายในเมืองหยุนเมิ่งแห่งนี้
แสงแดดสีทองสาดส่องสะท้อนผ่านแก้วน้ำที่ตั้งอยู่ในห้องเรียนแสนโอ่อ่า
ในห้อง 9 ชั้นปีที่ 2 หลินเป่ยเฉินผู้ที่นั่งอยู่โต๊ะแถวหน้าสุดของห้องเรียน อาบไปด้วยประกายสีทองอบอุ่นของดวงอาทิตย์
เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุ 14 ปี เกิดมาพร้อมใบหน้าอันเป็นทุนทรัพย์ ที่แต้มด้วยคิ้วหนาได้รูปและดวงตาสดใส ในเครื่องหน้าอันสมบูรณ์แบบของเขานั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความกล้าหาญ ยังไม่รวมถึงผมดกดำขัดกับพวงแก้มสีชมพูระเรื่อ มือของเขาเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว และในขณะที่ดวงตากำลังจับพิเคราะห์มือทั้งสองข้างนั้นอยู่ เขาก็ขยับนิ้วมือด้วยท่วงท่าราวกับการเคลื่อนไหวของกลีบดอกไม้
ตั้งแต่ตอนเริ่มเปิดเรียนใหม่ ๆ จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงทำท่าทางการ พินิจมือคู่นั้น อยู่เสมอ และเขาก็แทบไม่ขยับร่างกายส่วนอื่นเลยนอกจากมือทั้งสองข้าง
และด้วยความที่เขานั่งอยู่แถวหน้าสุดของห้องเรียน นับว่ากล้ามากทีเดียวที่ปล่อยใจให้ล่องลอยออกมาอย่างชัดเจนขนาดนั้น
นั่นนับว่าอุกอาจไม่น้อย
ถ้าเกิดเป็นคนอื่นทำเช่นนี้บ้างละก็ อาจารย์ติงซานฉือผู้เคยเป็นทหารผ่านศึกอยู่ทัพหน้าที่กำลังสอนอยู่หน้าห้องในตอนนี้ ท่านผู้เฒ่าแกก็คงจะต้องได้สั่งสอนเขาให้หลาบจำด้วยกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตอันเป็นที่เลื่องลือของเขาเป็นแน่
แต่นี่ไม่ใช่คนอื่น นี่คือหลินเป่ยเฉิน
“ใจเย็นไว้ เย็นไว้น่า”
“เขานะสิที่ปัญญาอ่อน ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย”
“ไม่ต้องไปสนใจไอ้โง่หลงตัวเองแบบนั้นหรอก”
อาจารย์อาวุโสติงซานฉือ ชายชรานั้นเป็นที่เลื่องลือในเรื่องความโหด ไม่ว่าจะศิษย์หรืออาจารย์คนอื่น ๆ ของสถานศึกษากระบี่ที่สามแห่งนี้ต่างก็รู้กันดีทั้งนั้น ชายแก่กำลังบ่นงึมงำในหัว พยายามข่มใจและบอกตัวเองให้เลิกสนใจท่าทีของไอ้เจ้าแกะดำประจำเมืองและสอนต่ออย่างใจเย็นที่สุด
ในขณะที่ศิษย์คนอื่นต่างยิ้มน้อย ๆ อย่างขบขันเมื่อเห็นอาจารย์ขาโหดพยายามข่มอารมณ์โกรธจนเลือดขึ้นหน้า หากแต่ก็ไม่มีใครกล้าขำออกมาแม้ในใจจะรู้สึกขบขันจนแทบกลั้นไม่ไหวก็ตาม
แต่สิ่งที่อาจารย์และเพื่อนร่วมห้องของหลินเป่ยเฉินไม่เคยรู้ก็คือ เขานั้นไม่ใช่คนมีปัญหาทางด้านสมองที่วัน ๆ เอาแต่จ้องมือสองข้างของตัวเองเสียหน่อย
เขากำลังจ้องโทรศัพท์มือถืออยู่ต่างหาก
และมันก็เป็นมือถือสมาร์ทโฟนเสียด้วย แค่ไม่มีใครมองเห็นนอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น
“โกหกน่า!”
หลินเป่ยเฉินได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ
นี่เขาทำอะไรผิดกันนะ
เขาก็แค่พยายามช่วยไอ้โรคจิตคนนั้นที่เกือบจะโดนรถบรรทุกชนตายเพราะเดินฝ่าไฟแดงต่างหากเล่า และชายคนนั้นก็ดันบอกว่าตัวเองน่ะ เป็นยมทูต ก่อนจะยัดเยียดไอ้โทรศัพท์ประหลาด ๆ ไม่มียี่ห้อนี่ให้เขา พอรู้ตัวอีกทีวิญญาณเขาก็ทะลุมาอยู่มิติไหนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้!
ซึ่งเขาก็ได้มาโผล่ในที่แปลก ๆ ในดินแดนที่มีนามว่า ‘ดินแดนตงเต้า’ และกลายมาเป็นลูกชายของขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ นามว่า ‘หลินจิ้นหนาน’ ผู้เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดผู้ฝึกยุทธ์แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่
หรือก็คือเจ้าแกะดำที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จักกันดีในเมืองหยุนเมิ่งแห่งนี้
อย่างกับว่าเขาจะไปคุยกับใครได้งั้นแหละ
นี่มันก็ผ่านมาสามวันแล้วหลังจากเด็กหนุ่มมาที่นี่ ทว่าหลินเป่ยเฉินก็ยังคงทำใจรับความจริงพวกนี้ไม่ได้
เขาอยากกลับบ้านเหลือเกิน
ศิลปะการต่อสู้เป็นศาสตร์ที่นับว่าสูงส่งที่สุดของที่แห่งนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นสามารถยกแม้แต่ภูเขาได้ด้วยมือเปล่า ทั้งยังแหวกผืนน้ำในมหาสมุทรออกเป็นสองฟาก หรือจะโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า และรุดหน้าเจาะผืนดินที่แข็งที่สุดก็ทำได้ พวกเขานั้นเป็นผู้มีอำนาจและสามารถทำได้ทุกสิ่งอีกทั้งยังมีชีวิตที่ยืนยาวราวกับเทพเจ้า
แต่ทว่า หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจอะไรพวกนี้แม้แต่น้อย
ไม่ว่าเขาจะได้ไอ้พลังพิเศษจำพวกเหนือธรรมชาติมาหรือไม่ ต่อให้เขามีก็เถอะ ในฐานะเกมเมอร์เนิร์ด ๆ ที่เคยเป็นในโลกก่อนหน้า เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีความอดทนฝึกฝนอะไรพวกนี้ได้นานนักหรอก
การจะเป็นคนแข็งแกร่ง มันต้องผ่านการฝึกฝนร้อยฝนพันฝน ทั้งในวันที่อากาศหนาวเย็นจนแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง หรือในวันที่ร้อนจนแทบเป็นลม แถมเด็กหนุ่มยังต้องไปเอาชีวิตรอดจากการเข้าร่วมการประลองนองเลือดอะไรพวกนั้นอีก
มันช่างดูห่างไกลจากชีวิตที่แสนสบายพวกนั้นเหลือเกิน ทั้งห้องแอร์เย็น ๆ ไวไฟไวปรู๊ดปร๊าด การแอบส่องสเตตัสชาวบ้านในเฟซบุ๊ก และช่วงเวลาที่ได้หาวิดีโอดูเรื่อยเปื่อยในยูทูบ
คงมีแต่พวกมาโซเท่านั้นแหละที่อยากเอาชีวิตมาทิ้งไว้ในที่แบบนี้เพื่อความแข็งแกร่งอะไรนั่นน่ะ
คนธรรมดาทั่วไปก็คงอยากจะอยู่บ้านทั้งวัน นอนซุกในผ้าห่มและเปิดแอร์เย็น ๆ ถ้าเบื่อก็เปิดเครื่องเล่นเกม เล่นกับหมากับแมว หรือหาอะไรไม่น่าเบื่อทำ หิวก็สั่งเดลิเวอรี่มากินที่บ้าน เปิดดูคลิปขำ ๆ และปล่อยตัวเองให้เป็นคนลอยชายไปวัน ๆ
ไหนจะยังมีครอบครัวที่อบอุ่นกับเพื่อน ๆ ในโลกใบเดิมอีก
เพราะงั้น
“ไอ้พวกนักท่องมิติหัวขวดเอ๊ย!”
เขาไม่ได้ขอสักหน่อย!
อยากกลับบ้านโว้ย!
หลังจากวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนถึงเหตุและผลของการข้ามมิติแล้ว หลินเป่ยเฉินก็สรุปทุกอย่างออกมาได้ว่าความเป็นไปได้เดียวที่เหลืออยู่ในการกลับบ้านก็คงจะเป็นไอ้เจ้าโทรศัพท์มือถือประหลาดเครื่องนี้นี่แหละ
“ถ้าแกพามาที่นี่ได้ แกก็ต้องพากลับบ้านได้สิ ใช่มะ?”
หลังจากคิดได้เช่นนั้น หลินเป่ยเฉินก็เริ่มศึกษาไอ้เจ้าโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย
หลังพยายามอย่างหนัก เขาก็พบว่าไอ้เจ้าเครื่องนี้มันช่างประหลาดเสียเหลือเกิน
อย่างแรก มันสามารถ ‘เก็บ’ ไว้ในร่างกายของเขาได้
ไม่ว่าตอนไหนที่เด็กหนุ่มอยากจะให้มันโผล่ออกมา โทรศัพท์เครื่องนี้ก็จะโผล่ขึ้นมาบนมือเขาในทันที และพอเขาไม่ต้องการใช้มันแล้ว มันก็จะหายไปในทันใด
นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
โทรศัพท์ปกติจะทำอะไรแบบนี้ได้ยังไง
และอย่างที่สอง คือไม่มีใครนอกจากเขาที่สามารถมองเห็นโทรศัพท์เครื่องนี้ได้ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ในสถานการณ์แบบไหนก็ตาม
เช่นตอนนี้ เขากำลังถือโทรศัพท์อยู่ในมือและพยายามศึกษาฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ อย่างจริงจัง แต่ในสายตาของอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้น มันเหมือนเด็กหนุ่มกำลังจ้องมองมือเปล่า ๆ สองข้างของตัวเองราวกับคนเสียสติ
ทั้ง ๆ ที่ความจริง เขากำลังดูโทรศัพท์มือถือระบบหน้าจอสัมผัส ที่ใส่อยู่ในเคสโลหะสีเงินต่างหาก!
ในขณะนี้ แบตเตอรี่ของมันเหลือเพียง 21% สัญญาณขึ้นเป็น 4G แต่มีเพียงขีดเดียวเท่านั้น
และสำหรับการติดต่อ…
หลินเป่ยเฉินพยายามจะโทรหาเบอร์ 110, 120, 119, 10086 และเบอร์ติดต่อของคนรู้จักทั้งหมดเท่าที่เขาจะจำได้
สิ่งเดียวที่เขาได้ยินจากปลายสายก็คือ
“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
บนหน้าจอหลักมีเพียง 3 ไอคอนเท่านั้น คือรายชื่อติดต่อ ข้อความ และแอปสโตร์
ในเมื่อโทรหาใครก็ไม่ได้ ถ้างั้นอย่าหวังว่าข้อความจะส่งไปถึงใครได้เลย
ตอนนี้ ความหวังเดียวของหลินเป่ยเฉินคือแอปสโตร์เท่านั้น
หลังพยายามแตะเข้าไปในแอปสโตร์เป็นพัน ๆ ครั้ง เขาก็เจอเพียงแต่ข้อความเดิม ๆ เด้งขึ้นมาว่า
ขออภัย แอปสโตร์ยังไม่เปิดให้บริการ
ในนั้นไม่มีแอปพลิเคชันสักแอปเดียว
แล้วแบบนี้มันจะเรียกว่าแอปสโตร์ได้ยังไงเล่า
นี่เขาต้องมาเจอกับเรื่องบ้าบอแบบนี้จริง ๆ งั้นเหรอ!
หลินเป่ยเฉินนั้นโมโหเสียจนอยากจะกลืนไอ้โทรศัพท์เครื่องนี้ลงท้องไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
และในพริบตานั้นเอง…
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
เสียงกระดิ่งเลิกเรียนดังขึ้น
“เอาล่ะ ที่ข้าเพิ่งอธิบายไปก็คือเรื่องทักษะการหลอมรวมพลังลมปราณแบบสมบูรณ์ ตอนนี้พวกเจ้ามีเวลาพักช่วงเวลาหนึ่งก้านธูป แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาเรียนกันต่อ”
อาจารย์ติงซานฉือหยิบแก้วน้ำของเขาขึ้นมาจิบเพื่อดับกระหาย
“และอย่างที่พวกเจ้าน่าจะรู้กันดี การสอบกลางภาคของสถาบันเราจะเริ่มขึ้นในอีก 3 วันข้างหน้า พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเครียดไปหรอก…จริงไหม? และสำหรับในคาบต่อไป อาจารย์ได้เลือกบทเรียนที่จะสอนพวกเจ้าไว้แล้ว มันเป็นวิชาลับประจำตัวอาจารย์เอง และนั่นก็คือวิชา ‘กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาต’ ขอให้พวกเจ้าตั้งใจกันหน่อยก็แล้วกัน” อาจารย์ประกาศขึ้น ก่อนเหลือบตามองมายังหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
ชายชราส่ายหัวเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ ในขณะที่มองไปยังเด็กหนุ่มหลงตัวเองคนนั้น
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าต้องตั้งใจเรียนคาบหน้าด้วยล่ะ กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตเป็นกระบวนท่าที่เหมาะที่สุดกับเด็กหัวช้าแบบเจ้า อย่าได้นั่งใจลอยให้อาจารย์เห็นอีกเป็นอันขาด”
อาจารย์ติงอดจะเตือนหลินเป่ยเฉินอีกหนหนึ่งไม่ได้ หากแต่เด็กหนุ่มก็ยังคงนิ่งเฉยและไม่ตอบอะไรสักคำ
ให้ตายเถอะ!
ไม่มีอะไรจะทำให้คนไร้ประโยชน์แบบนี้ เป็นโล้เป็นพายขึ้นมาได้เลยหรือไงนะ
อาจารย์ติงหันหลังกลับและเดินออกไปจากห้องเรียน
หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจคำเตือนของชายชราแม้แต่น้อย
เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้อยู่แล้ว
และเด็กหนุ่มก็ไม่มีความรู้สึกอะไรที่เชื่อมถึงตัวตนใหม่นี้เลยด้วย
ตอนนี้ทั้งหมดที่คิดได้ก็คือ เขาจะต้องหาทางกลับไปยังโลกเดิมให้จงได้
ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสอบกลางภาคอะไรนั่น ทั้งการฝ่าฟันอุปสรรค อนาคต ทักษะการหลอมรวมลมปราณ หรือกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาต
เด็กหนุ่มยังคงหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาโทรศัพท์ประหลาดเครื่องนั้นเงียบ ๆ คนเดียวต่อไป