บทที่ 208 เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร
ไป๋ชินหยุนมองหน้าเด็กสาวผู้อวดดีแล้วยิ้มอ่อน “ข้าน่ะไม่ทำอะไรเจ้าหรอก แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้านี่สิ…”
นางยกมือชี้มาที่หลินเป่ยเฉิน ก่อนอธิบายว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร? เขาคือผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็นคนเสเพลอันดับหนึ่งประจำเมือง มีนิสัยต่ำทรามจิตใจโหดร้ายอำมหิต ไม่ทราบเลยว่าต้องมีสาวงามถูกทำลายในเงื้อมมือเขามากี่คนแล้ว มิหนำซ้ำ สมองของเขายังผิดปกติ มักทำเรื่องที่คนปกติไม่ทำกัน และไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้…หุหุ ข้าว่าเจ้ายังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็สามารถขโมยพรหมจรรย์ของเจ้าได้แล้วล่ะ…”
สีหน้าของเด็กสาวผู้อวดดีแปรเปลี่ยนไปทันที
นางหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
และพบว่าเด็กหนุ่มกำลังจ้องมองอยู่ที่ช่วงเอวของนางตาเป็นมัน
“ข้า…ไม่ยุ่งกับพวกเจ้าแล้ว”
เจิ้งซูไคตะโกนทิ้งท้ายก่อนจะหันหลังกลับและวิ่งหนีไปทันที
คนปกตินางไม่กลัวหรอก
นางกลัวคนสติไม่สมประกอบต่างหาก
แถมยังเป็นคนสติไม่สมประกอบที่บ้ากามอีกด้วย
หากต้องสูญเสียพรหมจรรย์ให้แก่บุคคลที่เลวทรามเช่นนี้ แล้วนางจะสามารถมีชีวิตอยู่รอดในเมืองหยุนเมิ่งต่อไปได้อย่างไร?
“ฮ่าฮ่า”
ไป๋ชินหยุนตบไม้ตบมือหัวเราะด้วยความชอบใจ “ดูสิ วิ่งหนีไปเลย”
แต่เมื่อนางหันหน้ากลับมาก็พบว่าหลินเป่ยเฉินกำลังจ้องมองมาที่ตนเองด้วยสายตาอาฆาตแค้น เด็กสาวรู้สึกผิดขึ้นมาในทันใดจึงต้องอธิบายว่า “ข้าไม่ได้เจตนาจะใส่ร้ายท่านนะ แต่เมื่อสักครู่นี้ ข้ามีเจตนาช่วยเหลือศิษย์พี่เยว่ไม่ให้ถูกนางตัวดีผู้นั้นรังแกอีก…เอ่อ ข้าไม่ได้มีเจตนาว่าท่านเป็นบุคคที่มีนิสัยต่ำทราม แม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็เถอะ แต่ว่าข้า…”
ถ้าไม่รู้จะพูดอะไร ก็จงอยู่เงียบๆ เสียดีกว่านะ
หลินเป่ยเฉินกำลังจะยกมือเขกกะโหลกไป๋ชินหยุน แต่ในทันใดนั้น เสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นก็ดังขึ้นจากระยะไกล
“ประกาศผลสอบแล้ว!”
“คะแนนสอบออกมาแล้ว”
ในขณะนี้ แท่งหินสีเงินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางสถานศึกษากระบี่หลวงปรากฏแสงสว่างวูบวาบ แล้วตัวหนังสือที่เป็นรายชื่อผู้เข้าร่วมการแข่งขันก็ปรากฏขึ้นมา
กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวเดินเข้าไปดูด้วยความตื่นเต้น
ชื่อที่อยู่ลำดับแรกสุดก็คือหลินเป่ยเฉิน
เขาทำได้ 100 คะแนนเต็ม!
แต่ไม่ใช่เขาแค่คนเดียวที่ทำสำเร็จ
ไม่ว่าจะเป็นหลิงเฉิน เยว่เว่ยหยาง หลินอี้หรือว่าซูเสี่ยวหยานต่างก็ได้คะแนนเต็มหมดทั้งสิ้น
แต่เนื่องจากเด็กหนุ่มเป็นผู้ที่ส่งกระดาษข้อสอบเร็วที่สุด ชื่อของเขาจึงมาเป็นลำดับแรก
เกิดเสียงอุทานด้วยความฮือฮา
สายตาจำนวนมากจับจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความไม่พอใจ
“โห ศิษย์พี่หลิน ท่านใช้เวลาแค่ก้านธูปเดียวก็ทำข้อสอบเสร็จแล้วหรือนี่ ทำไมถึงได้เก่งกาจเช่นนี้”
ไป๋ชินหยุนอุทานด้วยความเหลือเชื่อ
นั่นยิ่งทำให้หลินเป่ยเฉินตกเป็นเป้าสายตาด้วยความไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม
ทำไมไป๋ชินหยุนจะต้องนึกชื่นชมเขาเอาตอนนี้ด้วยนะ?
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความเหนื่อยใจ
แต่แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ประเด็น
เมื่อมีผู้ทำข้อสอบวิชาประวัติศาสตร์ร่วมสมัยได้คะแนนเต็มถึง 5 คน ก็หมายความว่าเงินรางวัลจะแบ่งเฉลี่ยกันที่คนละ 2 เหรียญทองคำไม่ใช่หรือ?
หลินเป่ยเฉินไม่สบอารมณ์ที่ต้องแบ่งเงินรางวัลให้คนอื่น
เขาเลื่อนสายตาดูลำดับถัดลงมา
มีผู้เข้าแข่งขันที่ทำข้อสอบได้ 99 คะแนนอยู่หลายสิบคน
เฉาพั่วเถียนคือหนึ่งในนั้น
ส่วนคนที่ทำคะแนนได้น้อยที่สุดก็คือเจิ้งซูไค นางทำไปได้เพียง 89 คะแนนเท่านั้น
“แหม แหม แหม เจิ้งซูไค? ทำไมชื่อนี้ถึงได้คุ้นหูข้าชอบกลนะ? อยากรู้จริงๆ ว่านางมาจากสถานศึกษากระบี่ที่ไหนกัน?” ไป๋ชินหยุนเจตนาพูดออกมาเสียงดัง
“นางมาจากสถานศึกษากระบี่ที่หก”
“น่าสนใจดีนี่นา ไม่คิดเลยว่าผู้ที่หัวเราะเหยียดหยามคนอื่น กลับต้องเป็นคนกินบ๊วยเสียแล้ว ฮ่าฮ่า”
“นี่ไงถึงได้มีคำโบราณว่า คนเราก่อนจะไปว่ากล่าวผู้ใด ควรตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองซะบ้าง!”
กลุ่มผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่นๆ ให้ความร่วมมือกับไป๋ชินหยุนเป็นอย่างดี
เจิ้งซูไคมีสีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง แทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว
ตอนแรก นางรู้สึกว่าตนเองทำข้อสอบได้ดีมาก และตอนที่ส่งข้อสอบก็ยังรู้สึกมั่นใจ แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตนเองจะเป็นผู้ที่ทำคะแนนอยู่อันดับสุดท้ายของการแข่งขันอย่างนี้ ในชีวิตของเจิ้งซูไค นางไม่เคยเจอเรื่องที่น่าอับอายขนาดนี้มาก่อน
แต่ไม่มีใครสงสารนางสักคนเดียว
เยว่หงเซียงผู้มีผิวพรรณขาวเนียนและสวมใส่หน้ากากเสริมสร้างความงามสง่า สามารถสร้างความประทับใจให้แก่เด็กหนุ่มได้จำนวนหลายสิบคน ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นว่าเจิ้งซูไคกระทำการหยามศักดิ์ศรีเยว่หงเซียง บัดนี้พวกเขาจึงทำหน้าที่แก้แค้นแทนนางเอง
เพราะไม่ใช่ผู้เข้าแข่งขันทุกคนที่จะมีจิตใจร้ายกาจไปเสียทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับกลุ่มผู้เข้าแข่งขันทั้ง 72 คน พวกเขาคือผู้ที่ผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดีจากกระทรวงศึกษาประจำเมืองหยุนเมิ่ง การทำข้อสอบออกมาได้คะแนนเป็นลำดับสุดท้าย จึงนับเป็นบาปที่จะติดตัวคนผู้นั้นไปจนวันตาย
ไป๋ชินหยุนทำข้อสอบออกมาได้ 95 คะแนน จัดอยู่ในกลุ่มผู้ที่ทำคะแนนระดับปานกลาง
ฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงทำข้อสอบออกมาได้ 97 คะแนนด้วยกันทั้งคู่ และด้วยความที่ทำคะแนนได้มากกว่าไป๋ชินหยุน พวกเขาจึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้ที่ทำคะแนนได้ระดับสูง
สำหรับสถานศึกษากระบี่ที่สาม ความสำเร็จเพียงเท่านี้ก็ถือว่ามาไกลเกินฝันแล้ว
นั่นเป็นเพราะว่าตลอดหลายปีก่อนหน้านี้ ผู้ที่ต้องกินบ๊วยในการสอบวัดระดับความรู้ ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องเป็นคนของสถานศึกษากระบี่ที่สามทั้งสิ้น
หลิวฉีไห่กำลังมีความสุขล้นปรี่
เขาเดินเข้ามาให้กำลังใจและขอบคุณหลินเป่ยเฉินครั้งแล้วครั้งเล่า
ในเวลาเดียวกันนี้ ผู้ที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่ทางหน้าจอขนาดใหญ่ทั้ง 21 จุด ต่างก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงลำดับคะแนนที่เปิดเผยออกมาอย่างเผ็ดร้อน
“หลินเป่ยเฉินมีความสามารถน่ากลัวจริงๆ”
“เขาส่งข้อสอบได้ในเวลาเพียงก้านธูปเดียว ซ้ำยังได้คะแนนเต็มอีก มีใครจำได้บ้างไหมว่าตอนนั้นพี่สาวของเขาทำได้กี่คะแนน?”
“ให้ตายเถอะ ข้าต้องเสียถึง 50 เหรียญเงินเพราะเขาได้คะแนนเต็ม ทำไมเจ้าแกะดำอยู่ดีๆ ถึงได้ฉลาดขึ้นมาแบบนี้นะ”
“ได้ยินมาว่าเขามีพรสวรรค์ที่ปิดบังมาตลอด”
“พูดจริงสิ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องเดิมพันฝั่งหลินเป่ยเฉินบ้างแล้ว”
ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเตี๊ยม สำนักศึกษา สำนักกระบี่ หรือสถานที่ใดๆ ก็ตาม บัดนี้ ไม่มีใครที่จะไม่พูดถึงความยอดเยี่ยมของหลินเป่ยเฉิน
โดยเฉพาะในสถานศึกษากระบี่ที่สาม คณะอาจารย์และลูกศิษย์ที่รวมตัวกันมากกว่า 1,000 คน ต่างก็มาชุมนุมอยู่ที่ลานกว้างเพื่อรับชมการถ่ายทอดสดด้วยความสนุกสนานเฮฮา
เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของพวกเขาดังกังวานปานฟ้าผ่า
สถานศึกษากระบี่ที่สามไม่เคยเริ่มต้นการแข่งขันได้ดีเท่านี้มาก่อน!
อู๋เสี่ยวฟางยืนปะปนอยู่ในกลุ่มคนดู เมื่อนึกย้อนไปยังอดีตที่ราวกับว่าเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เด็กหนุ่มพบว่าตนเองไม่ควรไปมีเรื่องกับหลินเป่ยเฉินเพียงเพราะอยากจะเอาชนะใจมู่ซินเยว่เลยจริงๆ
แม้แต่บุคคลที่มีฝีมือธรรมดาอย่างเยว่หงเซียง ก็ยังสามารถอาศัยใบบุญของหลินเป่ยเฉินเข้าไปแข่งขันได้หน้าตาเฉย ถ้าเขาไม่ได้มีเรื่องกับหลินเป่ยเฉิน ถ้าเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มสหายของหลินเป่ยเฉิน อู๋เสี่ยวฟางมั่นใจว่าเจ้าแกะดำก็จะต้องช่วยเหลือเขา ให้เข้าร่วมการแข่งขันได้สำเร็จแน่นอน
แต่นึกเสียใจตอนนี้มันก็สายไปแล้ว
ทันใดนั้น อู๋เสี่ยวฟางหันไปพบว่ามู่ซินเยว่ก็มารับชมการถ่ายทอดสดอยู่เช่นกัน
เทพธิดาแห่งปวงชนยังคงมีความงดงามเหมือนดั่งเคย แต่นางไม่ได้ดูน่าลุ่มหลงเหมือนเดิมอีกแล้ว
เพราะว่าอู๋เสี่ยวฟางรู้จักธาตุแท้ของนางดีเกินไป
จากสีหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายนั้น เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกในดวงตาของมู่ซินเยว่ ซึ่งตัวนางก็น่าจะนึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปมากกว่าเขาเสียอีก
ด้วยว่าก่อนหน้านี้หลินเป่ยเฉินหลงรักนางหัวปักหัวปำ ยอมเป็นทาสรับใช้นางทุกอย่าง แต่ดูสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้สิ…
“ฮ่าฮ่า ท่านพี่เฉินสุดยอดจริงๆ”
เยว่หงเสว่อุทานออกมาด้วยความดีใจอยู่ที่ทำการของสำนักวายุสะเทือนฟ้า
ฟางเสี่ยวไป๋สวมใส่เสื้อแขนกุดกระโปรงสั้นสีเขียว นางยืนกอดอกพิงต้นไม้ไม่พูดไม่จา ไม่มีใครรู้เลยว่าเด็กสาวกำลังคิดอะไรอยู่
ส่วนในคฤหาสน์ประจำตระกูลกวนที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง
แจกันราคา 98 เหรียญเงินที่มีลวดลายนกกระเรียนทองคำวาดอยู่บนนั้นถูกขว้างปาแตกกระจาย
กวนเฟยตู้ดวงตาแดงก่ำขณะพูดว่า “บัดซบ หลินเป่ยเฉิน ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าเอาไว้แน่…คอยดูเถอะ”
ณ ที่ทำการของหอการค้าสามพันโยชน์
เจาโจวหยานกับเจาอู๋หยางสองพ่อลูกหันมองหน้ากัน สีหน้าของพวกเขาผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง เพราะรู้สึกโล่งอกที่ตนเองไม่ได้เป็นศัตรูกับเด็กหนุ่มผู้ร้ายกาจคนนั้นอีกต่อไป
ในเวลาเดียวกันนี้ อัตราการแทงพนันก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
บ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองมีผู้คนเข้ามาเสี่ยงดวงหนาแน่น
ชายชราแต่งตัวซอมซ่อผู้หนึ่งระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบอกชอบใจ “ฮ่าฮ่า ข้าชนะการเดิมพัน รีบจ่ายเงินรางวัลมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ 32 เหรียญทอง ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า คิกคิก”
ชายชราคนนี้สวมใส่เครื่องแบบคนรับใช้ ข้างเอวเหน็บไว้ด้วยกระบี่วิหคครามหนึ่งเล่ม
เขาตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น
น้ำตาแห่งความสุขคลอเต็มสองเบ้า
นานขนาดไหนแล้วนะ!
นานขนาดไหนแล้วที่เขาไม่เคยได้สัมผัสเหรียญทองเต็มกำมือแบบวันนี้?
ชายชราไม่อยากจะดมกลิ่นเหรียญทองแดงอีกต่อไปแล้ว
เขาชนะการเดิมพันและได้รับเงินรางวัล 32 เหรียญทองคำ
“เอาเป็นว่าข้าขอเดิมพันต่อไป หลินเป่ยเฉินจะเป็นผู้ชนะการทำข้อสอบวิชาสมุนไพร และเขาก็จะได้คะแนนเต็มอีกเช่นเคย…ข้าขอเดิมพันหมดหน้าตัก”
ชายชรากล่าวด้วยความตื่นเต้น ทำให้ชายชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดว่า “เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร วิชาสมุนไพรไม่ได้ง่ายเหมือนวิชาประวัติศาสตร์นะ นอกจากอาศัยความทรงจำที่ดีแล้ว ยังต้องมีความเข้าใจในการใช้สมุนไพรแต่ละชนิดด้วย ต่อให้หลินเป่ยเฉินสามารถทำคะแนนมาเป็นอันดับหนึ่งได้จริง แต่ไม่มีทางที่เขาจะได้คะแนนเต็มอีกแน่…”
“ใช่ ครั้งสุดท้ายที่เคยมีคนทำคะแนนเต็มในวิชาสมุนไพร มันก็เกิดขึ้นมาเมื่อ 4 ปีก่อนนู่น…”
“ฮ่าฮ่า ผู้เฒ่าคงเสียสติไปแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่ากำลังเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์”
ชายชราได้ยินดังนั้นก็ยกมือเท้าเอว หัวเราะในลำคอ ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “พวกเจ้าจะไปรู้อะไร? เก่งจริงกล้าเดิมพันกับข้าเป็นการส่วนตัวไหมเล่า? ข้าขอพนันแค่เหรียญทองเดียวเท่านั้น หากหลินเป่ยเฉินทำคะแนนเต็มได้สำเร็จอีกครั้ง พวกเจ้าต้องจ่ายมาคนละหนึ่งเหรียญทองคำ แต่ถ้าเขาไม่สามารถทำคะแนนเต็มได้ตามที่ข้าบอก ข้าก็จะมอบให้พวกเจ้าคนละหนึ่งเหรียญทองคำเช่นกัน!”
“ว่าไงนะ? ที่พูดออกมานี่เจ้าแน่ใจแล้วหรือ?”
“ข้าขอเดิมพันด้วย!”
“ข้าด้วยคน”
“ข้าไม่มีทางพลาดอยู่แล้ว”
สุดท้ายก็มีคนมาร่วมเดิมพันกับชายชรารวมแล้วเกือบ 70 คน
เมื่อการสอบวิชาสมุนไพรผ่านพ้นไป หน้าจอถ่ายทอดสดก็กำลังแสดงรายชื่อผู้เข้าแข่งขันที่ทำคะแนนมาเป็นอันดับหนึ่งอีกครั้ง
“ผลสอบวิชาสมุนไพรออกมาแล้ว!”
“ทุกคนเงียบ อย่าส่งเสียง ตั้งใจดูการถ่ายทอดสดให้ดี”
“ดูสิ คนที่ได้ที่หนึ่งเป็นหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว…”
“เขาทำคะแนนได้…”
ดวงตาทุกคู่ของผู้คนที่อยู่ในบ่อนพนัน จ้องมองไปยังหน้าจอถ่ายทอดสด
แล้วในทันใดนั้น เสียงอุทานของทุกคนก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพียง มันเป็นเสียงอุทานที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ความไม่อยากเชื่อ ความตกตะลึง และความโมโหเดือดดาลที่เกือบจะทำให้หลังคาของบ่อนพนันปลิวกระเด็นออกไปเลยทีเดียว
Related