บทที่ 21 ผู้สังเกตการณ์
“อย่าห่วงไปเลยท่านอาจารย์ฉู่ ไม่ว่าใครก็ตามที่อยากจับผิด พวกเขาจะไม่มีทางเจอหลักฐานใดเป็นอันขาด” อาจารย์โหวกล่าวตอบด้วยความตื่นเต้น
หลินเป่ยเฉินนั้นสอบได้คะแนนเต็มทั้ง 3 วิชาจริงแท้แน่นอน
ช่างเป็นเกียรติยศสูงส่งอะไรเช่นนี้
นี่ต้องกลายเป็นตำนานเล่าขานไปอีกนาน
ก่อนที่จะทันรู้สึกตัว มุมมองของเขาที่มีต่อหลินเป่ยเฉินก็เปลี่ยนไป อีกฝ่ายกลับกลายเป็นศิษย์คนโปรดขึ้นมาทันทีเสียอย่างนั้น
“นั่นสิ ไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะสามารถทำผลการสอบได้ดีขนาดนี้ แถมยังสร้างสถิติใหม่ขึ้นมาได้เสียอีก สำหรับสถานศึกษาวิชากระบี่ที่สามของเรานั้น นี่ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมากและอาจสามารถบันทึกลงในทำเนียบรุ่นได้เลยทีเดียว”
“ทำไมเราถึงไม่เคยเห็นเขาทำการสอบไหน ๆ ได้ดีขนาดนี้มาก่อนเลยนะ”
“จะว่าไปแล้ว เจ้ายังจำหลินถินชางได้ไหมล่ะ”
“จำได้แน่นอน นางเป็นพี่สาวของหลินเป่ยเฉิน ถือว่าเป็นอัจฉริยะหนึ่งเดียวของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังโด่งดังไปทั่วจักรวรรดิ แต่…ข้าจำได้ว่านางเคยทำสถิติไว้ได้สูงสุดในการสอบคือ 100 คะแนนสองวิชา ส่วนอีกวิชานางได้แค่ 99 คะแนนนี่นา นางไม่ได้คะแนนเต็มทั้ง 3 วิชาเช่นหลินเป่ยเฉินเสียหน่อย”
“แสดงว่าครอบครัวตระกูลหลินมีอัจฉริยะไร้เทียมทานถึง 2 คนเลยหรือ น่าเสียดายนักที่ท่านขุนนางนักรบ…พุทโธ่…ข้าไม่พูดดีกว่า”
หลังจากชื่อของท่านขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ถูกเอ่ยขึ้นมา ทั้งห้องก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบ
บรรดาอาจารย์นั้นแตกต่างจากเหล่าศิษย์ที่แสนจะไร้เดียงสา พวกเขารู้ดีว่าท่านขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ผู้ซึ่งเกิดและโตที่เมืองหยุนเมิ่งแห่งนี้ ทำคุณงามความดีและสร้างเกียรติประวัติไว้มากมายเพียงไหน
หลินจิ้นหนานนั้นเคยช่วยเหลือและช่วยชีวิตผู้คนที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากมาแล้วมากมาย
เขาเป็นถึง 1 ใน 10 นักรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิ มิหนำซ้ำยังอายุน้อยที่สุด และไต่เต้ามาจากการเป็นคนธรรมดา ๆ
ชื่อของท่านขุนนางถึงกับเคยเป็นตำนานกล่าวขานในสนามรบ
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เขาจะ…
ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
อาจารย์ฉู่เหินกล่าวขึ้นว่า “เอาล่ะ ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านขุนนางนักรบสวรรค์นั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสถานศึกษาของเราหรอก เราควรเลิกพูดถึงเขาได้แล้ว…จะว่าไป นี่มันน่าตกใจเหลือเกินที่หลินเป่ยเฉินได้ทำเรื่องสุดยอดไว้ในการสอบภาคทฤษฎีในวันนี้ อย่าลืมจับตามองเขาให้ดีในการทดสอบวิทยายุทธ์วันพรุ่งนี้ล่ะ ข้าอยากรู้ว่าเขาจะสามารถทำให้เราประหลาดใจได้อีกไหม”
“ข้าเกรงว่านั่นคงเป็นไปได้ยาก”
“การสอบทฤษฎีน่ะ สำหรับคนที่มีความจำดี ก็อาจใช้การท่องจำเป็นตัวช่วยได้อยู่ แต่สำหรับการสอบด้านวิทยายุทธ์แล้ว…”
“ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นวิทยายุทธ์ใด ๆ ก็ต้องใช้การฝึกฝนอย่างหนัก ทั้งด้านพลังลมปราณในร่างกายและการฝึกฝนวิชา มันไม่สามารถพัฒนากันได้ชั่วข้ามคืน และหลินเป่ยเฉินน่ะมีพลังลมปราณในร่างกายเพียงระดับ 1 เท่านั้น”
อาจารย์ท่านอื่น ๆ ต่างก็พูดคุยกันในเรื่องนี้
และในวันต่อมา
อากาศเย็นสบาย และค่าฝุ่นละออง PM2.5 ในอากาศเป็นศูนย์
ช่างเป็นวันที่สดใส ฟ้าโปร่งปราศจากเมฆฝนใด ๆ
ณ ลานฝึกฝนของชั้นปีที่ 2
ท่ามกลางบรรดาศิษย์นับพัน เหล่าศิษย์จากห้องเดียวกันต่างยืนรวมกลุ่มล้อมวงเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม
อาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่เหินยืนอยู่บนแท่นบริเวณที่นั่งประธาน และกำลังกวาดตามองไปยังบรรดาศิษย์ทุกคน เขาจดจ้องไปที่หลินเป่ยเฉินอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะละสายตาจากไป ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่ส่งสัญญาณให้เริ่มการประลองเท่านั้น
ในการประลองวิทยายุทธ์นั้นประกอบไปด้วย 2 ช่วงด้วยกัน
ในช่วงแรก คือการทดสอบพลังลมปราณในร่างกาย
ในช่วงหลัง คือการประลองวิทยายุทธ์แบบกลุ่ม
เมื่อเทียบกับการสอบทฤษฎีที่บรรดาศิษย์ได้ทำไปเมื่อวานนี้ การประลองวิทยายุทธ์นั้นยาวนานกว่ามากและใช้เวลาในการประลองถึง 3 วัน
การประลองที่จะเริ่มในวันแรก คือการทดสอบพลังลมปราณ
ซึ่งค่อนข้างง่ายและไม่มีอะไรซับซ้อน
เหล่าศิษย์ในระดับชั้นเดียวกันจะจับสลากเพื่อแบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งศิษย์ในกลุ่มจะทำการทดสอบด้วยแท่งหินวัดค่าพลังลมปราณในร่างกาย
หลินเป่ยเฉินจับสลากได้หมายเลข 251
และได้เข้าร่วมกับกลุ่ม 6
เมื่อทราบกลุ่มของตนแล้ว หลินเป่ยเฉินก็เดินไปยังพื้นที่ทดสอบของกลุ่ม 6 และต่อแถวเพื่อรอรับการวัดค่าพลัง
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไรต่อ อาจารย์ติงซานฉือก็เดินตรงมาทันเวลาก่อนที่การทดสอบจะเริ่มขึ้น “หลินเป่ยเฉิน อู๋เสี่ยวฟางผู้ได้คะแนนเป็นลำดับที่ 1 ในปีที่แล้ว ได้ขอใช้สิทธิพิเศษร่วมกับศิษย์ลำดับต้น ๆ คนอื่น ๆ เพื่อให้เจ้านั้นย้ายกลุ่มทดสอบ จงตามข้ามา เราจะไปที่พื้นที่ทดสอบของกลุ่ม 1 กัน”
และทันใดนั้นเอง สายตานับไม่ถ้วนของศิษย์บริเวณนั้น ก็พากันมองมายังหลินเป่ยเฉินด้วยความประหลาดใจแกมสงสารปนสมเพช
พื้นที่ทดสอบกลุ่มที่ 1 นั้น ไม่ใช่สถานที่ทดสอบของศิษย์ธรรมดา
มันเป็นพื้นที่ที่บรรดาศิษย์ชั้นเลิศผู้เป็นที่โปรดปรานของเหล่าอาจารย์จะมารวมตัวเพื่อทำการวัดค่าพลัง
เมื่อวานนี้ หลินเป่ยเฉินได้ทำผลการสอบภาคทฤษฎีออกมาอย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยคะแนนเต็มทั้ง 3 วิชา จนกลายเป็นที่เพ่งเล็งของบรรดาศิษย์หัวกะทิ แต่หากเทียบกับระดับความสามารถที่ผ่าน ๆ มาของเขา หลินเป่ยเฉินคงไม่มีทางได้ไปทำการวัดค่าพลังร่วมกับลูกศิษย์กลุ่ม 1 เป็นแน่
เด็กหนุ่มเด็กสาวทุกคนต่างรู้ดีว่า ในระหว่างการประลองนี้ บรรดาศิษย์อัจฉริยะของชั้นปีที่ 2 คงมีแผนการร้ายกาจรอคอยอยู่มากมาย
หลินเป่ยเฉินช่างซวยเสียจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินเดินตามอาจารย์ติงไปยังพื้นที่ทดสอบของกลุ่มที่ 1 และกระซิบถามอาจารย์อาวุโสว่า “อาจารย์ติง ทำไมที่ 1 ของการประลองในปีที่แล้ว ถึงมีสิทธิพิเศษเช่นนี้ล่ะ”
อาจารย์ติงไม่ได้หันหลังมามองด้วยซ้ำ ขณะตอบคำถามของหลินเป่ยเฉิน “เขาแค่มีสิทธิพิเศษในการเลือกลำดับการสอบและพื้นที่ประลองเท่านั้น ใครได้ที่ 1 ก็จะได้สิทธิ์นี้ไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากไปกว่านั้น”
“อ้อ ขอรับ” หลินเป่ยเฉินรับคำเข้าใจ
หลังจากหยุดพูดไปครู่หนึ่ง อาจารย์ติงก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าน่ะได้คะแนนเต็มทั้ง 3 วิชาเมื่อวานนี้ ทำให้บรรดาคณะกรรมการและสถานศึกษาอื่น ๆ ในเมืองหยุนเมิ่งต่างตกใจมาก ในการประลองวันนี้ พวกเขาได้ส่งคนมาเพื่อสังเกตการณ์สถานศึกษาของเราเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตัวเจ้า ทำตัวเรียบร้อยหน่อยนะวันนี้”
“ขอรับ” หลินเป่ยเฉินรับคำอีกครั้ง
เขาเข้าใจดีว่าสิ่งที่อาจารย์ติงหมายถึงก็คือ จงอย่าทำผลการสอบห่วย ๆ ออกเด็ดขาด!
แต่นั่นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
เพราะเด็กหนุ่มได้พนันกับอู๋เสี่ยวฟางไว้แล้วว่าเขาต้องได้เป็นที่ 1 ซึ่งมันก็ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เขาจึงไม่จำเป็นจะต้องจริงจังอะไรกันการสอบรอบนี้มากนัก
ตราบใดที่ฝ่ายนั้นไม่เข้ามายั่วยุหลินเป่ยเฉิน วันนี้เขาก็ยินดีจะทำตัวเป็นคนสงบเสงี่ยมเจียมตัวสักวัน
หลังจากเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าว อาจารย์ติงก็อดไม่ได้ที่จะถามหลินเป่ยเฉินด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นี่เจ้าคิดยังไงกับการประลองพวกนี้บ้างล่ะ มั่นใจไหมว่าตัวเองจะสามารถทำผลการทดสอบออกมาได้ดี”
“ข้าว่าก็คงงั้น ๆ แหละขอรับ” หลินเป่ยเฉินตอบ
“นั่นหมายความว่ายังไง?”
“อ้อ…ข้าหมายความว่าสำหรับข้าน่ะการได้ที่ 1 มามันก็คงไม่ได้ยากนักหรอก”
“นี่เจ้าหนู อย่าทำเป็นเล่นไปน่า นี่ข้าถามเจ้าแบบจริงจังนะ”
“ข้าก็ไม่ได้พูดเล่นเสียหน่อย”
“ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าข้าจะไม่ถามอีกก็แล้วกัน ตอนนี้เจ้าคงอึดอัดแย่ การประลองวิทยายุทธ์น่ะ มันไม่เหมือนกับการทดสอบภาคทฤษฎี เพราะมันใช้การท่องจำไม่ได้ อีกทั้งเจ้ายังมีพื้นฐานอ่อนมาก ตราบใดที่เจ้ายังคงตั้งใจเรียนและไม่สอบตกจากการประลองเสียก่อน เจ้าก็คงได้อยู่ในสถานศึกษานี้ต่อไป”
“หืม? ท่านอาจารย์ติงใจดีกับข้าเกินไปแล้ว”
“ทั้งหมดนี้ก็เพื่อท่านพ่อของเจ้าเท่านั้นแหละ”
“ท่านกับเขาเคยเป็นสหายกันมาก่อนหรือขอรับ?”
“เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เอง เอาล่ะ…ถึงแล้ว”
ในที่สุด พวกเขาก็เดินมาถึงพื้นที่ทดสอบกลุ่ม 1
อาจารย์ฉู่และอาจารย์อาวุโสอีก 4 ท่านยืนอยู่ในพื้นที่ทดสอบของกลุ่ม 1 กำลังคุยกันและหัวเราะร่วนกับชายวัยกลางคนในสายคาดผ้าไหมสีแสดผู้หนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงจากด้านล่าง พวกเขาก็ก้มลงมองดูหลินเป่ยเฉินเป็นตาเดียว
ในบรรดาคนเหล่านั้น มีอยู่คนหนึ่งที่มองมายังหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาราวกับนกเหยี่ยว
เขาคือชายในสายคาดผ้าไหมสีแสดนั่นเอง
เดาได้ไม่ยากเลยว่า ชายผู้นี้ต้องเป็นผู้สังเกตการณ์จากทางคณะกรรมการที่อาจารย์ติงกล่าวถึงเป็นแน่
หลินเป่ยเฉินสังเกตได้จากแววตาของอีกฝ่ายว่า ชายวัยกลางคนผู้นี้ดูไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก
“อะไรกันอีกล่ะเนี่ย” เด็กหนุ่มคิดกับตนเอง