บทที่ 219 เพราะน้องสาว
หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย
เขาไม่รู้มาก่อนว่าหลิงฉือจะมีฝีมือแข็งแกร่งเกินคาดคิด มิเช่นนั้นตอนที่เจอกันครั้งที่แล้ว ตนเองจะได้ประจบประแจงเอาใจมากกว่านั้นอีกสักหน่อย
แต่จะมีใครคิดบ้างว่าบุตรชายคนโตของตระกูลหลิงจะเป็นผู้ที่มีฝีมือเลิศล้ำถึงเพียงนี้?
“พี่ใหญ่ ขอบคุณมากที่ออกหน้าช่วยเหลือข้าน้อยนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง
“พี่ใหญ่?” หลิงฉือมองหน้าเขาเหมือนกำลังตรวจหาสิ่งผิดปกติ “ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หืม?
หลินเป่ยเฉินได้แต่ยิ้มแห้ง
ไม่ได้การ
อีกฝ่ายไม่อยากนับญาติกับเขาเสียแล้ว
หลิงฉือผายมือให้เด็กหนุ่มนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามขณะพูดว่า “หรือเจ้าอยากจะตีสนิทข้า?”
ให้ตายเถอะ
หลินเป่ยเฉินขนลุกเกรียว
หมอนี่อ่านใจเขาได้หรือไงนะ?
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าเป็นคนอย่างไรกันแน่” หลิงฉือมองหน้าหลินเป่ยเฉินอย่างพยายามค้นหาคำตอบ “เจ้าเป็นคนลุ่มหลงในสตรี แต่กลับปฏิเสธน้องสาวข้า ซึ่งเป็นสตรีที่มีหน้าตางดงามมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองนี้ เจ้าบอกว่าตนเองกลัวตาย แต่กลับมีเรื่องดูหมิ่นฟางเจิ้นหรู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก นอกจากมีปัญหากับไป๋ไห่ชิน ยังเดิมพันชีวิตกับเฉาพั่วเถียน เจ้าบอกว่าตนเองเป็นคนหน้าเงิน แต่เจ้ากลับซื้อกระบี่ราคาแพงให้พ่อบ้านพกไปไหนมาไหน…”
“…เจ้าบอกว่าตัวเองมีฝีมืออ่อนแอ แต่กลับสามารถกวาดล้างรังโจรได้ในคืนเดียว เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่กลับชื่นชอบช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อน เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นคนอำมหิต แต่กลับไม่สังหารเจาอู๋หยาง นอกจากพวกโจรนอกกฎหมาย เจ้าก็ไม่เคยฆ่าใครอีกเลย…”
หลินเป่ยเฉินสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนถามกลับไปว่า “นี่ท่านกำลังสอบสวนข้าอยู่หรืออย่างไร?”
“ใช่” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ากำลังสอบสวนเจ้า มีปัญหาหรือไม่?”
“ไม่มีหรอกขอรับ” น้ำเสียงของหลินเป่ยเฉินออดอ้อนยิ่งกว่าลูกแมวตัวน้อย “สอบสวนสักนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป ข้าคือสุภาพบุรุษหลินเป่ยเฉินผู้น่ารัก เลิกแล้วเรื่องการลุ่มหลงในสตรี ขณะนี้ขอเป็นอัศวินขี่ม้าขาวช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก นอกจากมีหน้าตาหล่อเหลาแล้ว ก็ยังมีระดับฝีมือสูงส่ง ท่านอยากสอบสวนอะไรก็สอบสวนเถิด ข้าไม่มีสิ่งใดให้ต้องหวาดกลัวทั้งนั้น อิอิ!”
หลิงฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าเลิกแล้วเรื่องการลุ่มหลงในสตรีจริงหรือ? ถ้าอย่างนั้นทำไมในบ้านพักของเจ้าถึงยังมีหญิงรับใช้อยู่อีกตั้งสองนาง? มิหนำซ้ำ พวกนางยังอาบน้ำให้เจ้าทุกค่ำคืน? ดูเหมือนว่าน้องสาวของข้าคงยังไม่รู้เรื่องนี้สินะ?”
หลินเป่ยเฉินกระโดดลุกขึ้นยืนเหมือนมีสปริงติดอยู่ที่ก้น “ทะ ทะ ทะ…ท่านทราบเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?”
หลิงฉือไม่ยอมตอบ
หลินเป่ยเฉินรีบอธิบายละล่ำละลัก “ฟังข้าก่อนนะขอรับ พวกนางเป็นแค่คนรับใช้ ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น”
เดี๋ยวก่อนนะ?
แล้วทำไมเขาต้องอธิบายด้วยล่ะเนี่ย?
ดวงตาของหลิงฉือเป็นประกายแวววาวขึ้นมาในทันใด “เจ้าควรพิจารณาข้อเสนอของข้าจากครั้งที่แล้ว”
“ที่จะให้เข้าร่วมกองทัพน่ะหรือขอรับ?” หลินเป่ยเฉินพลันส่ายหน้าปฏิเสธหนักแน่น “ไม่มีทางเด็ดขาด ข้าบอกท่านไปแล้วว่าข้ากลัวตาย”
หลิงฉือพูดว่า “เจ้าไม่ได้คิดสิ่งที่ข้าเคยพูดเอาไว้เลยใช่ไหม”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ “ข้าก็อยากรู้เหมือนกันขอรับ ไม่ทราบว่าสถานการณ์ที่เขตชายแดนตึงเครียดมากหรือไม่?”
หลิงฉือตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นับตั้งแต่ที่บิดาของเจ้าพ่ายแพ้ สถานการณ์ก็ย่ำแย่กว่าเดิมมากแล้ว”
เอ่อ…
ไม่คิดจะโกหกกันสักหน่อยเลยหรือไง
“ไม่เป็นไรขอรับ” หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อยก็หัวเราะออกมาอย่างสบายใจ “ถ้าจักรวรรดิของเราถูกทำลาย เต็มที่ข้าก็แค่ล่องเรือออกทะเลเท่านั้น”
“เกรงว่ากว่าจะถึงตอนนั้น เจ้าคงมีปัญหารุมเร้าจากทุกทางแล้ว” หลิงฉือหัวเราะในลำคอบ้าง “เจ้าคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ จะไม่ทำให้ฟางเจิ้นหรู่คิดหาทางแก้แค้นเจ้าในอนาคตหรืออย่างไร? เจ้าไม่คิดหรือว่าชื่อเสียงและความเก่งกาจของเจ้าจะทำให้เขารู้สึกอิจฉา?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความไม่อยากเชื่อ “จริงหรือขอรับ?”
หลิงฉือตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าว่าข้าเคยล้อเล่นกับผู้ใดหรือไม่”
หลินเป่ยเฉินพลันยิ้มแย้มประจบประแจงอีกครั้ง “หรือว่าศัตรูที่เคยคิดจะเล่นงานท่านพ่อและท่านพี่ของข้า ก็อยากจะกำจัดข้าด้วยเช่นกัน?”
“ออกจะเป็นการทำร้ายจิตใจเจ้าไปหน่อย แต่ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง” หลิงฉือว่า “ความจริงข้าไม่ได้คิดจะใส่ใจเรื่องราวของเจ้าเลย แต่พอได้ยินว่าเจ้าจะถอนตัวออกจากการแข่งขัน ข้าก็จำเป็นต้องออกหน้า เจ้ารู้เหตุผลหรือไม่ว่าทำไม?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เป็นเพราะน้องสาวท่าน?”
หลิงฉือนิ่งเงียบ
“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงมีนามว่าหลิงฉือ?” ในที่สุด ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมามองหลินเป่ยเฉิน
“เพราะว่าท่านมีความเยือกเย็น?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มหวานตอบกลับไป
หลิงฉือพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบน่าขนลุก “เป็นเพราะว่าตอนที่ข้าอายุ 12 ขวบ ข้าจับคนผู้หนึ่งมาฟันทั้งสิ้น 1,800 กระบี่ และข้าก็สังหารเขาด้วยวิธีที่โหดร้ายทารุณมากที่สุด”
หลินเป่ยเฉินพูดตะกุกตะกักด้วยความไม่อยากเชื่อ “คนผู้นั้นคงทำเรื่องที่เลวร้ายมากเลยสินะขอรับ”
หลิงฉือพูดต่อโดยไม่สนใจเขา “เป็นเพราะว่าคนผู้นั้นทำให้ข้าโมโห และจวบจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่เคยมีใครทำให้ข้าโมโหได้นานแล้ว”
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็มองหน้าหลินเป่ยเฉินเขม็ง “ดังนั้น เจ้าควรดีใจที่ข้ายังพูดดีกับเจ้าอยู่ และได้โปรดอย่าพยายามทดสอบความอดทนของข้า เข้าใจหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถูกสายตาของหลิงฉือจ้องมองอย่างทะลุทะลวง เขารู้สึกหนาวเย็นไปทั่วร่างกายเหมือนมีเข็มแหลมทิ่มแทงไปตลอดลำตัว โดยเฉพาะช่วงหว่างขาที่รู้สึกเสียววาบเป็นพิเศษ “เข้าใจแล้วขอรับ พี่ใหญ่!”
หลิงฉือยกมือนวดขมับตัวเอง
นี่คือพฤติกรรมที่ชายหนุ่มทำเพื่อปกปิดความเหน็ดเหนื่อยในแววตา
เขาเป็นนายทหารที่อยู่แนวหน้าของสนามรบ มือเปื้อนเลือดฆ่าคนตายมาแล้วนับไม่ถ้วน อย่าว่าแต่ผู้คนของจักรวรรดิจี้กวงเลย แม้แต่นายทหารในกองทัพของจักรวรรดิเป่ยไห่ ก็ตั้งฉายาให้เขาเป็น ‘อสูรมือโลหิต’ กันหมดแล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับความตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หลิงฉือจึงเข้าใจว่าหัวใจของตนเองแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า และเขาไม่มีทางเป็นห่วงผู้ใดนอกจากคนในครอบครัวของตนเอง
แต่เจ้าเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ทำให้หลิงฉือรู้สึกเหนื่อยใจเหลือเกิน
ที่มันน่าตลกก็คือถ้าไม่ได้เป็นเพราะ… เรื่องนั้น… เขาคงตบหลินเป่ยเฉินหน้าคว่ำตายไปแล้ว
“หลินเป่ยเฉิน จงจำเอาไว้ให้ดี ที่เจ้ามีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้ ก็เพราะก่อนหน้านี้เจ้าเป็นเพียงคนที่มีสติไม่สมประกอบ องค์จักรพรรดินึกเวทนาเจ้าจึงละเว้นโทษประหาร ศัตรูทางการเมืองของบิดาเจ้าถึงล้มเลิกการไล่ล่าตัวเจ้า แต่บัดนี้ เจ้าแสดงฝีมือออกมาให้ทุกคนได้ประจักษ์ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าองค์จักรพรรดิจะคิดอย่างไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ ก็คือศัตรูทางการเมืองของบิดาเจ้าคงไม่อยู่นิ่งเฉยอีกแล้ว”
หลิงฉือมองหน้าหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะรับทราบ
หลิงฉือกล่าวต่อไป “ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะแสดงความสามารถให้ทุกคนได้เห็น การหลบซ่อนจึงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้น เจ้ามีแต่ต้องคว้าตำแหน่งผู้ชนะการแข่งขันมาให้ได้ มีแต่เพียงผู้ชนะเท่านั้นถึงจะได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายระดับสูงสุดของจักรวรรดิ นอกจากองค์จักรพรรดิเพียงผู้เดียว จะไม่มีผู้ใดสามารถยุ่งเกี่ยวกับเจ้าได้อีก เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าอยากรอดชีวิต เจ้าก็จะถอนตัวจากการแข่งขันไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็ตอบว่า “เข้าใจแล้วขอรับ”
อันที่จริง เด็กหนุ่มไม่ได้ยึดถือเรื่องนี้จริงจังสักเท่าไหร่
ถ้าในอนาคตเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาก็แค่ต้องคุกเข่ากราบเฒ่าทะเลเป็นอาจารย์และติดตามชายชราไปเป็นเผ่าพันธุ์ชาวทะเลเท่านั้น แค่นี้ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องอะไรอีกแล้ว
แต่หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าที่หลิงฉือพูดออกมาทั้งหมด ก็เพราะว่าเป็นห่วงเขา
นี่คือบุญคุณที่หลินเป่ยเฉินจะต้องทดแทนให้ได้
แม้ว่าลักษณะภายนอกหลินเป่ยเฉินจะเป็นคนเรื่อยเปื่อยไม่เอาเรื่องเอาราว แต่โดยเนื้อแท้นั้น เขายึดถือคติมีบุญคุณต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระ ใครที่ทำชั่วกับเขา มันผู้นั้นจะต้องพบเจอจุดจบที่น่าอนาถมากกว่าที่เขาพบเจอหลายเท่า แต่ใครที่ทำดีด้วย หลินเป่ยเฉินก็จะตอบแทนความเมตตาอย่างสุดความสามารถ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ตกลงเดิมพันชีวิตกับเฉาพั่วเถียน จึงไม่สามารถถอนตัวได้อีกแล้ว
และถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะเฉาพั่วเถียนได้สำเร็จ เกรงว่าก็คงเป็นเฒ่าทะเลนั่นแหละ ที่จะหั่นศพเขาทิ้งทะเลเป็นคนแรก
“เจ้ามั่นใจไหมว่าตนเองจะชนะ?” หลิงฉือสอบถาม
“ไม่มั่นใจเลยขอรับ” หลินเป่ยเฉินดวงตาเป็นประกายลุกวาว “ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่พอจะสอนวิชากระบี่ให้ข้าสักหลายกระบวนท่าได้หรือไม่? เอาเป็นกระบวนท่าที่ท่านใช้กำราบไป๋ไห่ชินเมื่อสักครู่นี้ก็ได้ขอรับ”
Related