บทที่ 22 ผู้ทำลายสถิติ
“ในวันนี้ ท่านหลี่ชิงสวน ซึ่งเป็นผู้สังเกตการณ์จากทางคณะกรรมการกระทรวงศึกษาประจำเมืองหยุนเมิ่ง ได้มาเยี่ยมสถานศึกษาของพวกเรา เพื่อเป็นกำลังใจในการสอบแก่พวกเจ้าทุกคน”
“ศิษย์กลุ่มนี้เป็นสุดยอดระดับหัวกะทิของชั้นปีที่ 2 พวกเจ้าต้องทำให้ดีที่สุด…แต่อย่าประหม่ากันเด็ดขาด เอาล่ะ…ตอนนี้ก็คงถึงเวลาเริ่มการสอบแล้ว ขอให้ทุกคนเริ่มวัดค่าพลังได้” อาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่เหินประกาศก้อง
ผู้คุมสอบข้าง ๆ คณบดีประกาศรายชื่อของศิษย์ที่ได้เข้าวัดค่าพลังเป็นคนแรกออกมา “หมายเลข 087 เหลิงเย่ ปี 2 ห้อง 1 เชิญมาทำการวัดค่าพลังได้ ณ บัดนี้”
เหลิงเย่เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี และยังเป็น 1 ในศิษย์อัจฉริยะของห้อง 1 ผู้เป็นที่รู้จักและเป็นที่นับถือในสถานศึกษาแห่งนี้
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนเองจะได้เป็นคนแรกในการวัดค่าพลัง เขารีบเร่งออกจากแถว และก้าวขึ้นไปยังเวทีเบื้องหน้าทุกคน
ที่ใจกลางของเวทีไม้ยกพื้นสูง มีโต๊ะหินสีดำสูงราวครึ่งจั้งวางตั้งอยู่
แท่งเสาหยกสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั้นวางอยู่บนโต๊ะหินสีดำ แต่จากมุมมองของหลินเป่ยเฉินนั้น แท่งหยกดูไม่ต่างอะไรจากตัววัดอุณหภูมิขนาดใหญ่บนโลกมนุษย์
โดยเสาหยกสีขาวนี้คือแท่นหินวัดค่าพลังงานนั่นเอง
แท่นหินนี้คงเป็นหนึ่งในวัตถุที่เกี่ยวข้องกับการสร้างค่ายอาคม มีไว้เพื่อวัดปริมาณพลังลมปราณในร่างกายมนุษย์เป็นแน่
เหลิงเย่ถูกตรวจค้นร่างกายจากผู้คุมสอบอีกคน ก่อนที่เขาจะเดินตรงไปยังแท่นหินวัดค่าพลังงานและทาบฝ่ามือของเขาลงบนนั้น หลังจากนั้นจึงควบคุมพลังลมปราณในร่างกายของตนเองเพื่อทำให้มันแสดงพลังออกมา
ลำแสงสีแดงพุ่งออกมาจากเบื้องหน้าของแท่นหินนั้น ดูราวกับแท่งปรอทในเครื่องวัดไข้
และทันใดนั้นเอง สายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปยังค่าที่วัดได้จากแท่นหิน
ลำแสงสีแดงยังคงพุ่งสูงขึ้นจนถึงขีดวัดที่ 3 ก่อนจะเริ่มลดความเร็วลง และในที่สุด ลำแสงก็หยุดอยู่เหนือขีดวัดที่ 3 เพียงเล็กน้อย
ใบหน้าของเหลิงเย่นั้นเปลี่ยนเป็นสีแดง เส้นเลือดบริเวณลำคอดูปูดโปนราวกับเพิ่งออกแรงมาอย่างหนัก
เขาตรึงพลังไว้ต่ออีกชั่วดีดนิ้วมือ 30 ครั้ง และการวัดค่าพลังก็จบลง
“ค่าพลังลมปราณของเหลิงเย่อยู่ที่ 3.6” อาจารย์ผู้คุมสอบประกาศขึ้น
ในกฎกติกาของการสอบนั้น ผู้เข้าวัดค่าพลังจะต้องใช้พลังลมปราณของตนในการทำให้ลำแสงจากแท่นหิน พุ่งขึ้นไปสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และตรึงพลังของตนเอาไว้ชั่วดีดนิ้วมือ 30 ครั้ง ก่อนจะสามารถวัดค่าพลังจากแท่นหินได้
เหลิงเย่ดูพึงพอใจและดีใจมาก
ค่าพลังถึง 3.6 นั้นเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดที่เขาเคยทำมา
เขากล่าวขอบคุณอาจารย์และผู้สังเกตการณ์ก่อนจะเดินจากไปด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
สีหน้าของอาจารย์คุมสอบต่างก็ดีขึ้นไปด้วย
จากการบันทึกผลการสอบที่ผ่าน ๆ มา ค่าพลังของผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 1 จะอยู่ที่ราว 1-2 ขีด สำหรับอัจฉริยะเพียงไม่กี่คน ที่มีสถานะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 2 นั้น จะมีค่าพลังอยู่ที่ราว 2-3 ขีด
หากได้มากกว่า 3 ขีดขึ้นไป ถือว่าเป็นผู้มีความสามารถอย่างยิ่ง ในส่วนของผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 3 จะมีค่าพลังอยู่ที่ราว 3-4 ขีด และหากค่าพลังมากกว่า 4 ขีด ก็ถือว่าอยู่ในขั้นสุดยอดแล้ว
เหลิงเย่นั้นนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะ ดูจากการที่เขาได้ค่าพลังถึง 3.6
การสอบดูจะเริ่มต้นได้ด้วยดี
อาจารย์ฉู่เหินพึงพอใจกับผลการสอบของศิษย์คนแรกเป็นอย่างมาก
เขาหันกลับไปมองผู้สังเกตการณ์หลี่ แต่กลับหันไปเห็นแววตาเหยียดหยามจากอีกฝ่าย
“ท่านหลี่ ท่านดูไม่ค่อยพึงใจกับผลการสอบนักเลย” อาจารย์ฉู่กล่าว
หลี่ชิงสวนไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าและแววตาเหยียดหยามไปจากเดิม ขณะตอบกลับว่า “ในสถานศึกษาที่หนี่งและสองนั้น ค่าพลังเท่านี้ถือว่าปกติมาก และหากนั่นถือเป็นค่าพลังปกติของกลุ่มศิษย์หัวกะทิแล้วละก็…คงปฏิเสธไม่ได้ว่าข้าผิดหวัง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่พลันรู้สึกอับอายขึ้นมาในทันใด เขากล่าวตอบอีกฝ่ายไปว่า “ได้โปรดดูไปก่อนเถอะ ท่านหลี่ นี่แค่คนแรกเท่านั้น”
“จริงหรือ” หลี่ชิงสวนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หวังว่าศิษย์ของท่านจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
และการวัดค่าพลังก็ดำเนินต่อไป
ทว่าศิษย์คนต่อ ๆ มากลับสามารถวัดค่าพลังได้เพียง 3.1 หรือ 3.2 ขีดเท่านั้น และยังไม่มีใครเอาชนะเหลิงเย่ได้สักคน
สีหน้าของบรรดาผู้คุมสอบเริ่มสลดลงเรื่อย ๆ
อาจารย์ฉู่เริ่มเหงื่อตก
“เด็ก ๆ ทั้งหลายอย่าเพิ่งเป็นกังวล ตั้งสมาธิให้แน่วแน่ แล้วทำให้ดีที่สุดกันเถอะ” คณบดีฉู่รีบกล่าวให้กำลังใจ
การสอบเป็นไปอย่างเชื่องช้าและอึดอัด
ด้วยผลลัพธ์ที่ไม่ได้ออกมาดีเท่าที่ควร
สีหน้าของหลี่ชิงสวนเริ่มแสดงถึงความผิดหวังและเบื่อหน่ายออกมาชัดเจนยิ่งขึ้น
“เกาหมิน ปี 2 ห้อง 3 ค่าพลังลมปราณอยู่ที่ 3.8”
ในที่สุดก็มีศิษย์ที่มีค่าพลังงานมากกว่าเหลิงเย่จนได้
อาจารย์ฉู่มีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
เกาหมินผู้เป็นลูกศิษย์อันดับ 1 ของห้อง 3 ในที่สุดก็ทำได้
แต่เมื่อเขาหันกลับไปมองยังผู้สังเกตการณ์หลี่อีกครั้ง ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปจากเดิมเลย ทำให้อาจารย์ฉู่รู้ได้ทันทีเลยว่าผลการสอบเพียงเท่านี้ยังไม่สามารถทำให้ผู้สังเกตการณ์หลี่พอใจ
“เจิ้งชวงยง ปี 2 ห้อง 5 ค่าพลังลมปราณอยู่ที่ 3.7”
“ซ่งฮ่าว ปี 2 ห้อง 10 ค่าพลังลมปราณอยู่ที่ 3.6”
“หวังเทา ปี 2 ห้อง 4 ค่าพลังลมปราณอยู่ที่ 3.3”
“เยว่หงเซียง ปี 2 ห้อง 8 ค่าพลังลมปราณอยู่ที่ 4 ขีด”
และในที่สุด เมื่อเยว่หงเซียงผู้เป็นศิษย์จากห้อง 8 เข้ารับการสอบ ค่าพลังที่สูงถึงระดับ 4 ก็ปรากฏขึ้นเป็นหนแรก
อาจารย์ฉู่ดีใจจนแทบเก็บอาการไม่อยู่
เยว่หงเซียงนี่เหมาะสมกับการเป็นอัจฉริยะของปี 2 จริง ๆ
อาจารย์ฉูคิดว่าค่าพลังงานเท่านี้คงสามารถทำให้ผู้สังเกตการณ์หลี่ประทับใจได้บ้าง
แต่เมื่อเขาหันกลับไปมอง ก็พบว่าผู้สังเกตการณ์นั้นไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย
“ให้ตายเถอะ” ฉู่เหินสบถในใจ “เราเป็นเพียงสถานศึกษาที่สามเท่านั้นนะ เจ้านั่นจะคาดหวังอะไรมากไปกว่านี้เล่า”
การวัดค่าพลังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ
เมื่อเวลาผ่านไป ศิษย์กลุ่มอื่น ๆ ต่างวัดค่าพลังของตนเองเสร็จสิ้นกันหมดแล้ว และผู้คนต่างก็ทยอยกันมาดูการสอบของกลุ่มที่ 1 ทำให้ฝูงชนเริ่มแออัดเต็มพื้นที่รอบ ๆ บริเวณ
“อู๋เสี่ยวฟาง ปี 2 ห้อง 1 เชิญบนเวทีและเริ่มวัดค่าพลังได้” ผู้คุมสอบประกาศขึ้น
อู๋เสี่ยวฟางเดินขึ้นไป
ในที่สุดก็ถึงตาของเขาเสียที
เด็กหนุ่มมองผ่านไหล่ของตนเองกลับไปยังหลินเป่ยเฉิน ก่อนจะขู่ฟ่อ “หลินเป่ยเฉิน ดูข้าให้ดี ๆ ล่ะ เจ้าจะได้รู้ว่าเราน่ะแตกต่างกันแค่ไหน แล้วเดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้อีกเช่นกัน…ว่าความสิ้นหวังมันหน้าตาเป็นยังไง”
หลังจากนั้น เขาก็เดินฝ่าม่านพลังเข้าไปยืนอยู่กลางเวที
ด้วยสีหน้ามั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อหันกลับไปคำนับอาจารย์ทุกคนเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็วางฝ่ามือของตนลงไปยังแท่นหินวัดค่าพลังงาน
และในตอนนั้นเอง เสียงโห่ร้องด้วยความประจบประแจงก็ดังขึ้นจากกลุ่มคนด้านล่างเวที
ลำแสงสีแดงพุ่งขึ้นไปในพริบตาเดียว จนถึงระดับที่ 3
และพุ่งสูงขึ้นอีกจนแตะระดับที่ 4
ลำแสงนั้นพุ่งผ่านระดับ 4.5 ไปก่อนจะเริ่มช้าลง
และในที่สุด มันก็หยุดนิ่งอยู่ที่ระดับ 4.7 เป็นเวลาชั่วดีดนิ้วมือ 30 ครั้ง
“อู๋เสี่ยวฟาง ปี 2 ห้อง 1 ค่าพลังลมปราณอยู่ที่ 4.7”
เสียงของอาจารย์ถึงกับสั่นเครือขณะอ่านค่าพลังที่ออกมา
นี่เป็นการทำลายสถิติอีกครั้ง
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่เคยมีศิษย์ชั้นปี 2 คนใดในสถานศึกษากระบี่ที่สาม เคยวัดค่าพลังได้ถึง 4.7 มาก่อน