บทที่ 228 เส้นทางเศรษฐี
“เจ้ามีวิธีหาเงินอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับอย่างใช้ความคิด
พลัน เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงยกมือชี้ไปที่รูปแกะสลักและรูปวาด รวมถึงศิลาฉายที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นวางหน้าบ้านพัก ก่อนถามว่า “พูดถึงเรื่องเงินแล้ว เจ้าเอาเงินที่ไหนไปซื้อของฟุ่มเฟือยแบบนี้มาตั้งมากมาย ทีตอนให้ไปซื้อสมุนไพรเจ้าบอกไม่มีเงิน”
หวังจงรีบอธิบายโดยเร็ว “กราบเรียนนายน้อย สองวันที่ผ่านมา ข้าแอบเข้าไปแทงพนันในบ่อนขอรับ…”
หลังจากนั้น ชายชราก็หยิบถุงใส่เหรียญทองจำนวน 20 เหรียญออกมา
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินรับถุงใส่เหรียญทองคำมาถือและยิ้มกว้าง “ไปเข้าบ่อนมาอย่างนั้นหรือ? ลุงหวัง ลุงแทงพนันอะไรไป?”
เมื่อมีเงินมาให้ ชายชราก็กลับกลายเป็นลุงหวังของเด็กหนุ่มอีกครั้ง
หวังจงก้มหน้าตอบว่า “ข้าน้อยชื่อหวังจง คำว่าจงมาจากจงรักภักดี แน่นอนว่าข้าต้องแทงพนันข้างนายน้อยอยู่แล้วขอรับ ข้าเชื่อมั่นสุดหัวใจว่านายน้อยจะต้องเป็นผู้ชนะ และข้าก็ชนะการพนันจริงๆ หุหุ 20 เหรียญทองคำนี้ หวังจงมอบให้แก่นายน้อยเพื่อตอบแทนความมุ่งมั่นพยายามของนายน้อยขอรับ ข้าไม่กล้าเก็บมันเอาไว้เองหรอก”
หลินเป่ยเฉินคำรามว่า “ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างเจ้า มีหรือที่จะให้เงินทั้งหมดกับข้าโดยง่าย?”
หวังจงละล่ำละลักว่า “นายน้อยขอรับ ชื่อของข้าคำว่าจง มาจากจงรักภัก…”
“ขอบใจเจ้ามาก แต่ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้าอยากจะอ้วก”
หลินเป่ยเฉินกลับส่งมอบถุงใส่เหรียญทองคำคืนให้แก่ชายชรา ซึ่งเบิกตาโตด้วยความไม่เข้าใจว่านายน้อยจะมอบคืนให้ตนเองทำไม
“ในเมื่อเจ้าเป็นคนแทงพนันได้เงินก้อนนี้มา เจ้าก็เก็บเอาไว้เถอะ ถึงข้าจะเป็นเจ้านายที่ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ แต่ก็มีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่เบียดเบียนเจ้า”
หวังจงไม่อยากจะเชื่อแล้ว
ชายชราคิดว่าตนเองหูฝาดด้วยซ้ำ
จนกระทั่งถุงใส่เหรียญทองคำกลับมาอยู่ในมือของเขา หวังจงที่ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่ามันคือความจริง หลินเป่ยเฉินคืนถุงใส่เหรียญทองคำกลับมาให้เขาทั้งหมด นี่นายน้อยกินยาผิดสำแดงเข้าไปหรืออย่างไร?
หรือนายน้อยรู้ว่าเขาแอบซ่อนเหรียญทองคำอีก 170 เหรียญเอาไว้ในสวนหน้าบ้าน?
นี่มันเจตนาลองใจกันเลยไม่ใช่หรือ?
หวังจงขมวดคิ้วหน้าเครียด
ในขณะที่หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าเศร้าสลด
ถ้าไม่ใช่เงินที่เขาสามารถหามาได้ด้วยตนเอง เขาก็นำมาใช้ชาร์จโทรศัพท์ไม่ได้อยู่ดี
ให้ตายเถอะ โลกนี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
หวังจงไม่ต้องทำอะไรเลยสักอย่าง แค่เลือกแทงพนันข้างเขาก็ได้เงินก้อนโตมาแล้ว
หลินเป่ยเฉินจึงรู้สึกสลดหดหู่เป็นที่สุด
หลังจากที่เขาถูกเทพีกระบี่หิมะไร้นามหลอกให้เสียเงินไปเกือบหมดตัวอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็เหลือเงินติดตัวแค่ 15 เหรียญทองคำ ซึ่งเพียงพอต่อการให้ชาร์จแบตโทรศัพท์ได้ประมาณ 3 วัน
ขณะนี้ แบตโทรศัพท์ของเขาลดลงไปเร็วมากกว่าเดิม เพราะภายในเครื่องเปิดการใช้งานแอปพลิเคชั่นที่กินพลังงานเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นแอปกระบี่สามสัณฐานแห่งเป่ยไห่ หรือแอปวิชาการโคจรพลังลมปราณมัจฉากลายร่างเป็นมังกร ล้วนแต่ทำให้โทรศัพท์ของเขาต้องทำงานหนักมากขึ้นเป็น 2 เท่า
นี่หมายความว่าในแต่ละวันหลินเป่ยเฉินต้องเสียเงินเพิ่มขึ้น
ถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาคงถึงคราวล้มละลายเป็นแน่แท้
การที่เขาสามารถยกน้ำหนักโดยรวมได้ถึง 10,500 ชั่ง ซ้ำยังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมือง มันก็ควรตอบแทนทำให้เขามีเงินไหลเข้ามาบ้างไม่ใช่หรือ
“เจ้าบอกว่ามีเส้นทางหาเงินอยากบอกให้ข้าฟังใช่ไหม? ว่ามาสิ มันคืออะไร?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
หวังจงที่มีสีหน้าอึดอัดมาตลอดเวลา ในที่สุดเมื่อได้ยินประโยคนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ชายชราเข้ามากระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูนายน้อย
“เชี่ย…ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ เจ้านี่มันร้ายกาจจริงๆ”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความดีใจเมื่อได้รับฟังแผนการของพ่อบ้านประจำตัว “คงมีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่คิดแผนการชั่วร้ายเช่นนี้ขึ้นมาได้”
หลังจากนั้น นายน้อยและพ่อบ้านชราก็ขึ้นไปปรึกษาแผนการโดยรวมทั้งหมดที่ห้องนอนของเด็กหนุ่มบนชั้นสอง
พวกเขาใช้เวลาวางแผนกันอยู่ครึ่งชั่วยามเต็ม
“ลุงหวัง ข้าเชื่อใจท่านมากนะ ในโลกใบนี้ พวกเราเหลือกันแค่สองคนแล้วเท่านั้น เราต้องไว้ใจกันให้มากเข้าไว้ หวังว่าครั้งนี้ลุงคงไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพผิดปกติ
หวังจงที่ปกติคุ้นเคยแต่การถูกดุด่า เมื่อเห็นสีหน้าของนายน้อย เขาก็รู้ได้ทันทีว่าแผนการครั้งนี้จะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
“นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วง ครั้งนี้พวกเราต้องทำเงินได้ก้อนโตแน่นอน”
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
หลังจากเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว หวังจงก็เดินออกจากตำหนักไม่ไผ่และตรงไปที่ประตูหน้าสถานศึกษากระบี่ที่สาม
กงกง ชายฉกรรจ์ผู้ไว้ผมจุก กำลังยืนถูไม้ถูมืออยู่พร้อมด้วยกลุ่มอันธพาลประมาณ 30 คน เขายิ้มแย้มออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นหวังจงปรากฏกายจากความมืด
“พี่ใหญ่ ทางนี้ขอรับ”
ชายหนุ่มผมจุกรีบกวักมือเรียก
หวังจงบอกเล่าแผนการทุกอย่างให้กงกงฟัง จากนั้นจึงกำชับว่า “น้องชาย นี่คือโอกาสพิสูจน์ความสามารถของเจ้า เจ้าต้องทำทุกอย่างตามแผนการให้รัดกุม หลังจากนั้น เจ้าก็ต้องพาทุกคนออกไปตามเส้นทางนี้…”
หลังจากถ่ายทอดคำสั่งเสร็จเรียบร้อย กงกงก็นำกลุ่มคนของตนเองออกเดินทางไปตามทิศทางที่ชายชราบอก
หวังจงยืนส่งทุกคนด้วยสายตา ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มมีความสุข
ฮ่าฮ่าฮ่า
หวังจงรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก
วูบ!
ทันใดนั้น มีร่างของบุคคลผู้หนึ่งกระโดดข้ามออกไปนอกกำแพง
นั่นมันนายน้อยไม่ใช่หรือ?
ถึงแม้หลินเป่ยเฉินจะแต่งกายปิดบังตัวตนของตนเองและแอบหนีออกไปจากสถานศึกษายามมืดค่ำ แต่หวังจงก็จดจำได้ดีว่านั่นคือนายน้อยของตนเองแน่นอน เขาลอบติดตามไปโดยไม่ให้นายน้อยรู้ตัว ผ่านไปอึดใจใหญ่ ถึงได้ทราบว่านายน้อยกำลังมุ่งหน้าไปยังย่านการค้าประจำเมือง
“นายน้อยคิดจะทำอะไรของเขานะ?”
หวังจงคิดด้วยความสงสัย
ตลอดเส้นทางการสะกดรอย ชายชราเห็นหลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปในสำนักคุ้มกันภัยและร้านค้าหลายชนิด ไม่ทราบเลยว่าเข้าไปคุยอะไรกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วนายน้อยจะรีบกลับออกมาอย่างรวดเร็ว
แต่ที่มันน่าแปลกก็คือถ้าไม่ถูกไล่ออกมาด้วยความไม่พอใจของเจ้าถิ่น นายน้อยก็จะเดินยิ้มแย้มกลับออกมาโดยที่เจ้าของร้านประจบประแจงเอาใจสุดชีวิต…
หวังจงยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
สุดท้าย ชายชราก็เลิกติดตามและเดินทางกลับไปที่ตำหนักไม้ไผ่ และจัดเตรียมอาหารให้นายน้อยรับประทานเมื่อกลับมา
แต่กว่าที่หลินเป่ยเฉินจะกลับมาก็ล่วงเข้าเวลายามจื่อ (23:00 น. ถึง 1:00 น.) แล้ว
หลังตรวจสอบดูการบ้านของเจ้าหนูอากวง เขาก็แนะนำวิธีการให้มันได้เรียนรู้และหัดเขียนตัวอักษรได้ในระยะเวลาที่เร็วขึ้น ต่อจากนั้นก็สั่งให้หญิงรับใช้เพิ่มการบ้านให้กับราชันย์หนูอสูร ทำให้อากวงไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากเงยหน้ามองเจ้านายด้วยใบหน้านองน้ำตา
เสร็จเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็เดินออกไปจัดเตรียมยาพิษในสนามหญ้าหน้าบ้านพัก
ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามกว่าจะเตรียมยาพิษเลือดมังกรชนิดผงได้ครบ 200 ชั่ง และผงหลับใหลไม่รู้ลืมอีก 20 ชั่ง
เด็กหนุ่มจัดการสร้างค่ายอาคมวางยาพิษไว้ทั้งด้านในและด้านนอกสนามหญ้า เมื่อตรวจสอบทุกอย่างว่าไม่มีความผิดพลาด เขาก็รีบกลับเข้าห้องนอนและพักผ่อนโดยทันที
…
วันต่อมา
ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 ในอากาศเป็นศูนย์
แสงแดดส่องสดใส สายลมพัดเย็นสบาย
ณ ห้องโถงใหญ่ของหอประชุมหมายเลขสองในสถานศึกษากระบี่หลวง
“ข้าคือกรรมการผู้ตัดสินการทดสอบทักษะการใช้กระบี่ประจำวันนี้ มีนามว่าอู๋เฟิ่งกู” ชายชราอายุ 50 กว่าปีผู้หนึ่งกำลังยืนกล่าวอยู่บนเวที เขาสวมใส่ชุดเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาที่มีลำดับชั้นไม่ต่ำต้อยไปกว่าหลี่ชิงสวน เส้นผมบนศีรษะเป็นสีเทา จมูกเหมือนสิงโต ปากกว้าง หน้าแดง รูปร่างสันทัด แต่พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายแรงกล้านักเวลาที่กล่าวออกมาแต่ละคำ
ในห้องโถงใหญ่ขณะนี้มีชั้นวางอาวุธถูกจัดตั้ง
บนนั้นวางไว้ด้วยกระบี่ 20 เล่ม พวกมันมีรูปทรงและน้ำหนัก รวมถึงเนื้อเหล็กที่ถูกนำมาตีเป็นกระบี่เหมือนกันหมดทุกประการ
ด้านข้างชั้นวางอาวุธ เป็นเวทียกพื้นสูงที่ชายชรากำลังยืนกล่าวอยู่ด้านบน
ข้างกายอู๋เฟิ่งกูมีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่
บนโต๊ะวางไว้ด้วยแตงโมสีเขียวหนึ่งลูก
“หลังจากนี้ เราจะเริ่มทำการทดสอบความเร็วในการใช้กระบี่ของพวกเจ้า” อู๋เฟิ่งกูกล่าวออกมาเสียงดังกังวาน “ทุกคนจะต้องขึ้นมาทดสอบตามหมายเลขที่ได้รับ ในการใช้กระบี่หนึ่งครั้งตามระยะเวลาที่กำหนด เจ้าต้องหั่นแตงโมออกมาให้ได้มากที่สุด ยิ่งหั่นได้เยอะเท่าไหร่ คะแนนของพวกเจ้าก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น!”
เสียงพูดของชายชราดังก้องกังวานหอประชุมหมายเลขสอง
นี่มันอะไรกันอีกแล้วครับเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
นี่มันการทดสอบบ้าบออะไรกันแน่?
หรือว่าผู้สนับสนุนหลักของการทดสอบในครั้งนี้ จะเป็นร้านขายแตงโม?
Related