บทที่ 23 การระเบิดพลังลมปราณ ภาคต้น
“ฮะฮะ ๆ ฮ่า ๆ ๆ ”
อาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่หัวเราะออกมาดังกังวาน
“ท่านชิงสวน ลูกศิษย์คนนี้พอจะมีทีเด็ดให้ท่านประทับใจได้หรือยัง” ฉู่เหินถามเอาหน้า
หลี่ชิงสวนพยักหน้าและตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็ไม่เลว”
อาจารย์ฉู่หัวเราะอีกครั้ง
ไม่มีลูกศิษย์คนไหนทำให้หลี่ชิงสวนผู้เย็นชาออกปากได้เช่นนี้มาก่อน
ฉู่เหินรู้สึกเหมือนได้กู้หน้าอีกครั้ง
เขาเดินตรงไปยังอู๋เสี่ยวฟางและตบบ่าเขาสองสามทีด้วยท่าทีพอใจเสียเต็มประดา ก่อนจะกล่าวกับอู๋เสี่ยวฟางว่า “ดีมาก…ดีมาก เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริง ๆ จงพยายามต่อไป”
หัวใจของอู๋เสี่ยวฟางรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมา
และเมื่อเขาก้าวเดินออกจากม่านพลัง เด็กหนุ่มก็มองไปยังหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “ทีนี้รู้หรือยังล่ะ ว่าข้ากับเจ้าน่ะ ต่างกันขนาดไหน”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบว่า “ข้ารู้แล้ว”
“ฮะฮ่า ทีนี้เจ้าก็รู้แล้วสินะว่าอย่าพยายามต่อไปให้เหนื่อยแรงอีกเลย เตรียมตัวมาเป็นทาสของข้าเสียดีกว่า เจ้าเศษขยะไร้ค่าเอ๊ย” อู๋เสี่ยวฟางพูดอย่างโอหังด้วยน้ำเสียงดูถูก
หากแต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป
นั่นทำให้อู๋เสี่ยวฟางยิ่งได้ใจขึ้นไปอีกเมื่อนึกได้ว่าหลินเป่ยเฉินนั้นคงจะกลัวเขาไม่ใช่น้อย
“มู่ซินเยว่ ปี 2 ห้อง 2 เชิญขึ้นมาบนเวทีและเริ่มวัดค่าพลังได้” ผู้คุมสอบดำเนินการวัดค่าพลังต่อไปโดยไม่รอช้า
อู๋เสี่ยวฟางยิ้มบาง ๆ ให้แก่มู่ซินเยว่และให้กำลังใจนางว่า “เอาน่า…น้องมู่ เชื่อมั่นในตัวเองหน่อย ยังไงซะเจ้าก็ต้องทำได้ดีแน่นอนอยู่แล้ว”
มู๋ซินเยว่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่เดินก้าวเข้าไปยังม่านพลังเท่านั้น
นางก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างมั่นคงไม่แม้แต่จะสั่นไหว
“ในวันนี้แหละที่ข้าจะได้ฉายแสงและกลายเป็นตำนานของสถานศึกษากระบี่ที่สาม ตอนนี้ทุกอย่างเหมือนเตรียมพร้อมมาเพื่อข้าโดยเฉพาะ ข้าน่ะ…รอเวลานี้มานานแสนนาน บนโลกนี้มีตัวเอกได้แค่คนเดียวเท่านั้น…และคนนั้นมันต้องเป็นข้า” มู่ซินเยว่นึกในใจ
เด็กสาวก้าวเข้าไปในม่านพลังและค่อย ๆ ยกมือทั้งสองขึ้นรวบผมด้วยท่าทีนิ่มนวลแสนอ่อนหวาน
“เริ่มวัดค่าพลังได้”
ผู้คุมสอบกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าปกติ เพราะเขานั้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไหวลึก ๆ กับความงามของเด็กสาวเบื้องหน้า
มู่ซินเยว่กดฝ่ามือบางลงบนแท่นหยกสีขาว ซึ่งแทบจะขาวจนเป็นสีเดียวกับมือของนาง
ลำแสงสีแดงพุ่งทะยานขึ้นจนผ่านขีดที่ 3
แต่มันยังคงพุ่งไปด้วยความเร็วไม่ลดลงเลยเมื่อขึ้นไปถึงขีดที่ 4
แต่แล้วเสียงคล้ายระเบิดลูกเล็ก ๆ ก็ดังขึ้น ลำแสงสีแดงนั้นพุ่งเกินออกไปจากแท่งหยกและทำให้มันพังทลายลง
แท่นวัดค่าพลังงานมีเสียงหึ่งดังขึ้น ในขณะที่ตัวแท่นปกคลุมไปด้วยควันสีขาว ตอนนี้ดูท่ามันน่าจะใช้การไม่ได้เสียแล้ว
อาจารย์ผู้คุมสอบต่างแน่นิ่งด้วยไม่รู้จะทำอย่างไร
เช่นเดียวกับบรรดาลูกศิษย์รอบ ๆ ที่ห้อมล้อมเฝ้าดูการสอบอยู่นอกม่านพลัง
อาจารย์ฉู่เด้งบั้นท้ายขึ้นจากเก้าอี้ราวกับโดนเข็มตำที่ก้น
ในที่สุด คำตอบก็แวบเข้ามาในหัวของเขา
อาจารย์ฉู่บ่นพึมพำกับตนเองด้วยแววตาแทบไม่อยากเชื่อ “นะ…นี่คือการระเบิดของพลังลมปราณงั้นหรือ?”
แม้แต่ผู้สังเกตการณ์หลี่ชิงสวนซึ่งสงบนิ่งมาตลอด ก็ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
ในการสอบครั้งนี้ แท่นหินวัดค่าพลังงานสามารถวัดค่าพลังได้ภายในระดับ 4 เท่านั้น
ซึ่งนั่นหมายความว่า หากค่าพลังงานนั้นยังไม่เกินระดับที่ 5 แท่งหินก็จะสามารถใช้งานได้ตามปกติ
แต่เด็กสาวคนนี้กลับทำแท่งวัดค่าพลังงานระดับ 4 นี่พังไปเลยงั้นหรือ?
นี่หมายความว่ายังไงกัน
หรือนี่แปลว่าค่าพลังลมปราณของนางสูงกว่า 5 ขีด?
เด็กสาวอายุ 14 เนี่ยนะ? เด็กอายุเท่านี้ จะสามารถฝึกฝนจนมีค่าพลังลมปราณสูงขนาดนี้ได้อย่างไร!?
ด้วยความสามารถในระดับนี้ สามารถเข้าเรียนที่สถานศึกษากระบี่ที่หนึ่งและที่สองได้เลยด้วยซ้ำ
ใครจะไปคิดเลยว่าสถานศึกษาที่สามแห่งนี้ ก็จะมีสุดยอดศิษย์อัจฉริยะในระดับเดียวกันนั้นอยู่ด้วย
“นางชื่ออะไร” ผู้สังเกตการณ์หลี่ถาม
ฉู่เหินกลับมาได้สติอีกครั้ง ใบหน้าเคลือบไปด้วยความปรีดาอย่างหาที่สุดมิได้ ก่อนตอบว่า “มู่ซินเยว่…เพชรเม็ดงามของสถานศึกษาเรา…นางชื่อมู่ซินเยว่ ฮะฮ่า ท่านหลี่ การวัดค่าพลังในครั้งนี้คงไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรอกใช่ไหม”
หลี่ชิงสวนพยักหน้าและกล่าวตอบว่า “แน่นอน ข้าประทับใจมาก เอาประวัติของนางมาให้ข้าดูหน่อย”
เขานั้นอยากจะตรวจสอบให้แน่ใจว่านางเป็นศิษย์ของสถานศึกษาที่สามจริง และอายุ 14 นั้นเป็นอายุจริงที่ไม่ได้มีการแก้ไขข้อมูลใด ๆ
หลังจากผู้สังเกตการณ์หลี่ตรวจสอบบันทึกประวัติของมู่ซินเยว่เสร็จเรียบร้อย เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ดีมาก…ด้วยระดับเท่านี้ถือได้ว่านางเป็นอัจฉริยะทั้งในสถานศึกษาที่หนึ่งและที่สองได้เลย นางอาจจะไม่ได้เก่งกล้าเท่ากับศิษย์ชั้นแนวหน้าบางคน แต่ด้วยความสามารถระดับนี้ อาจทำให้นางมีโอกาสได้เข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองก็เป็นได้”
นี่คือคำยืนยันว่าเด็กสาวเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง
“ฮ่ะ ๆ ๆ ” อาจารย์ฉู่หัวเราะร่วนด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“ช่างน่าประหลาดใจเหลือเกินที่ บุรุษหน้าตาย เช่นท่าน จะกล่าวชื่นชมใครสักคน ดีล่ะ…ในที่สุด ก็มีคนที่มีพลังลมปราณถึงขั้นที่ 5 เสียที เราจะทำการสอบค่าพลังของมู่ซินเยว่ต่อ” เขากล่าวด้วยความตื่นเต้น
สิ้นเสียงของอาจารย์ฉู่ ผู้ตรวจการสอบหลี่ก็เหมือนจะได้สติ และออกคำสั่งให้นำแท่งวัดค่าพลังเก่าออกไป
แต่ด้วยความที่เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กว่าที่คณะอาจารย์จะนำแท่นหินวัดค่าพลังงานระดับ 5 มาวางประทับไว้บนโต๊ะหินสีดำได้ใหม่ เวลาก็ล่วงเลยไปกว่าเกือบ 1 ก้านธูปแล้ว
“มาเลย มู่ซินเยว่ อย่าตื่นเต้นไป ทำใจให้สบาย แล้วมาวัดค่าพลังของเจ้าดูอีกครั้ง”
อาจารย์ฉู่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะดวงตาเป็นประกายสดใส ดูราวกับคุณพ่อผู้แสนใจดีกำลังมองมายังลูกสาวตัวน้อย
มู่ซินเยว่นั้นยังคงสงบนิ่งในขณะที่ทาบฝ่ามือของตนลงบนแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 5
ลำแสงสีแดงพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน ลำแสงนั้นพุ่งทะลุผ่านขีดระดับ 5 อย่างไม่ต้องสงสัย และในที่สุดก็หยุดลงที่ระดับ 5.3 โดยไม่ขยับเขยื้อนลดลงเลยแม้แต่น้อยตลอดระยะเวลาการดีดนิ้ว 30 ครั้ง
“มู่ซินเยว่ ปี 2 ห้อง 2 ค่าระดับพลังลมปราณอยู่ที่ 5.3”
เสียงประกาศของผู้คุมสอบดังก้องไปทั่วเวทีไม้ยกพื้นสูง
บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวที่อยู่ด้านล่างเวที ต่างสนทนากันด้วยความตื่นเต้นตกใจ
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีอัจฉริยะที่แกร่งกล้าถึงเพียงนี้อยู่ในสถานศึกษาเดียวกับตนเอง
อู๋เสี่ยวฟางถึงกับยืนนิ่งทำตัวไม่ถูก
เขามองไปยังเด็กสาว ณ ใจกลางม่านพลัง ขณะที่หัวใจรู้สึกเหมือนจะกระเด็นหลุดออกจากอก
ตอนแรก เด็กหนุ่มมั่นใจว่าด้วยค่าพลังลมปราณถึง 4.7 ของเขานั้น จะสามารถทำให้ตนเองได้เป็นที่ 1 ในการสอบปีนี้อย่างง่ายดาย
“ไม่น่าเชื่อเลย…มู่ซินเยว่”
“ยัยนี่แสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยมเจียมตัว และเรียกข้าว่าพี่มาตลอดงั้นหรือ”
“แค่เพียงพริบตาเดียว นางก็กระโดดออกมาตะครุบชื่อเสียงและหน้าตาที่ควรเป็นของข้าไปหน้าตาเฉย”
ในใจของอู๋เสี่ยวฟางนั้นราวกับมีไฟสุมนับพัน สุดจะห้ามไม่ให้แสดงความโกรธแค้นออกมาผ่านสีหน้า
มู่ซินเยว่ก้าวออกจากม่านพลังและเดินกลับไปยังแถวของตนเอง แต่แทนที่จะมองไปยังอู๋เสี่ยวฟาง นางกลับมองไปยังหลินเป่ยเฉิน
“ทีนี้เจ้าเห็นรึยังล่ะว่าระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เจ้าจะได้คะแนนเต็มในการสอบเมื่อวันก่อน มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้หรอก การสอบทฤษฎีน่ะก็แค่ของเด็กเล่น และในโลกแห่งความเป็นจริง…มีแต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น ถึงจะได้รับความนับถือ ต่อให้เจ้าจะเป็นลูกชายของขุนนางนักรบสวรรค์ เจ้าก็ไม่มีวันคู่ควรกับข้า ซ้ำตอนนี้เจ้าก็เป็นแค่คนธรรมดา ๆ อย่าใฝ่สูงให้มันมากนักเลย” เด็กสาวพูดกับเขาเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเหยียดยาม
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ตอนนั้นเอง เสียงของอาจารย์ผู้คุมสอบก็ดังขึ้นจากบนเวที
“ลูกศิษย์คนต่อไป หลินเป่ยเฉิน ปี 2 ห้อง 9 เชิญขึ้นมาบนเวทีและทำการวัดค่าพลังได้”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาก่อนจะละสายตาจากมู่ซินเยว่ และเดินผ่านนางไปยังม่านพลังบนเวที
เมื่อเข้าไปในม่านพลังแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ไม่รีรอที่จะเดินตรงไปยังแท่งหินวัดค่าพลังลมปราณทันที
บทที่ 23 การระเบิดพลังลมปราณ ภาคต้น
“ฮะฮะ ๆ ฮ่า ๆ ๆ ”
อาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่หัวเราะออกมาดังกังวาน
“ท่านชิงสวน ลูกศิษย์คนนี้พอจะมีทีเด็ดให้ท่านประทับใจได้หรือยัง” ฉู่เหินถามเอาหน้า
หลี่ชิงสวนพยักหน้าและตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็ไม่เลว”
อาจารย์ฉู่หัวเราะอีกครั้ง
ไม่มีลูกศิษย์คนไหนทำให้หลี่ชิงสวนผู้เย็นชาออกปากได้เช่นนี้มาก่อน
ฉู่เหินรู้สึกเหมือนได้กู้หน้าอีกครั้ง
เขาเดินตรงไปยังอู๋เสี่ยวฟางและตบบ่าเขาสองสามทีด้วยท่าทีพอใจเสียเต็มประดา ก่อนจะกล่าวกับอู๋เสี่ยวฟางว่า “ดีมาก…ดีมาก เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริง ๆ จงพยายามต่อไป”
หัวใจของอู๋เสี่ยวฟางรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมา
และเมื่อเขาก้าวเดินออกจากม่านพลัง เด็กหนุ่มก็มองไปยังหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “ทีนี้รู้หรือยังล่ะ ว่าข้ากับเจ้าน่ะ ต่างกันขนาดไหน”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบว่า “ข้ารู้แล้ว”
“ฮะฮ่า ทีนี้เจ้าก็รู้แล้วสินะว่าอย่าพยายามต่อไปให้เหนื่อยแรงอีกเลย เตรียมตัวมาเป็นทาสของข้าเสียดีกว่า เจ้าเศษขยะไร้ค่าเอ๊ย” อู๋เสี่ยวฟางพูดอย่างโอหังด้วยน้ำเสียงดูถูก
หากแต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป
นั่นทำให้อู๋เสี่ยวฟางยิ่งได้ใจขึ้นไปอีกเมื่อนึกได้ว่าหลินเป่ยเฉินนั้นคงจะกลัวเขาไม่ใช่น้อย
“มู่ซินเยว่ ปี 2 ห้อง 2 เชิญขึ้นมาบนเวทีและเริ่มวัดค่าพลังได้” ผู้คุมสอบดำเนินการวัดค่าพลังต่อไปโดยไม่รอช้า
อู๋เสี่ยวฟางยิ้มบาง ๆ ให้แก่มู่ซินเยว่และให้กำลังใจนางว่า “เอาน่า…น้องมู่ เชื่อมั่นในตัวเองหน่อย ยังไงซะเจ้าก็ต้องทำได้ดีแน่นอนอยู่แล้ว”
มู๋ซินเยว่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่เดินก้าวเข้าไปยังม่านพลังเท่านั้น
นางก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างมั่นคงไม่แม้แต่จะสั่นไหว
“ในวันนี้แหละที่ข้าจะได้ฉายแสงและกลายเป็นตำนานของสถานศึกษากระบี่ที่สาม ตอนนี้ทุกอย่างเหมือนเตรียมพร้อมมาเพื่อข้าโดยเฉพาะ ข้าน่ะ…รอเวลานี้มานานแสนนาน บนโลกนี้มีตัวเอกได้แค่คนเดียวเท่านั้น…และคนนั้นมันต้องเป็นข้า” มู่ซินเยว่นึกในใจ
เด็กสาวก้าวเข้าไปในม่านพลังและค่อย ๆ ยกมือทั้งสองขึ้นรวบผมด้วยท่าทีนิ่มนวลแสนอ่อนหวาน
“เริ่มวัดค่าพลังได้”
ผู้คุมสอบกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าปกติ เพราะเขานั้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไหวลึก ๆ กับความงามของเด็กสาวเบื้องหน้า
มู่ซินเยว่กดฝ่ามือบางลงบนแท่นหยกสีขาว ซึ่งแทบจะขาวจนเป็นสีเดียวกับมือของนาง
ลำแสงสีแดงพุ่งทะยานขึ้นจนผ่านขีดที่ 3
แต่มันยังคงพุ่งไปด้วยความเร็วไม่ลดลงเลยเมื่อขึ้นไปถึงขีดที่ 4
แต่แล้วเสียงคล้ายระเบิดลูกเล็ก ๆ ก็ดังขึ้น ลำแสงสีแดงนั้นพุ่งเกินออกไปจากแท่งหยกและทำให้มันพังทลายลง
แท่นวัดค่าพลังงานมีเสียงหึ่งดังขึ้น ในขณะที่ตัวแท่นปกคลุมไปด้วยควันสีขาว ตอนนี้ดูท่ามันน่าจะใช้การไม่ได้เสียแล้ว
อาจารย์ผู้คุมสอบต่างแน่นิ่งด้วยไม่รู้จะทำอย่างไร
เช่นเดียวกับบรรดาลูกศิษย์รอบ ๆ ที่ห้อมล้อมเฝ้าดูการสอบอยู่นอกม่านพลัง
อาจารย์ฉู่เด้งบั้นท้ายขึ้นจากเก้าอี้ราวกับโดนเข็มตำที่ก้น
ในที่สุด คำตอบก็แวบเข้ามาในหัวของเขา
อาจารย์ฉู่บ่นพึมพำกับตนเองด้วยแววตาแทบไม่อยากเชื่อ “นะ…นี่คือการระเบิดของพลังลมปราณงั้นหรือ?”
แม้แต่ผู้สังเกตการณ์หลี่ชิงสวนซึ่งสงบนิ่งมาตลอด ก็ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
ในการสอบครั้งนี้ แท่นหินวัดค่าพลังงานสามารถวัดค่าพลังได้ภายในระดับ 4 เท่านั้น
ซึ่งนั่นหมายความว่า หากค่าพลังงานนั้นยังไม่เกินระดับที่ 5 แท่งหินก็จะสามารถใช้งานได้ตามปกติ
แต่เด็กสาวคนนี้กลับทำแท่งวัดค่าพลังงานระดับ 4 นี่พังไปเลยงั้นหรือ?
นี่หมายความว่ายังไงกัน
หรือนี่แปลว่าค่าพลังลมปราณของนางสูงกว่า 5 ขีด?
เด็กสาวอายุ 14 เนี่ยนะ? เด็กอายุเท่านี้ จะสามารถฝึกฝนจนมีค่าพลังลมปราณสูงขนาดนี้ได้อย่างไร!?
ด้วยความสามารถในระดับนี้ สามารถเข้าเรียนที่สถานศึกษากระบี่ที่หนึ่งและที่สองได้เลยด้วยซ้ำ
ใครจะไปคิดเลยว่าสถานศึกษาที่สามแห่งนี้ ก็จะมีสุดยอดศิษย์อัจฉริยะในระดับเดียวกันนั้นอยู่ด้วย
“นางชื่ออะไร” ผู้สังเกตการณ์หลี่ถาม
ฉู่เหินกลับมาได้สติอีกครั้ง ใบหน้าเคลือบไปด้วยความปรีดาอย่างหาที่สุดมิได้ ก่อนตอบว่า “มู่ซินเยว่…เพชรเม็ดงามของสถานศึกษาเรา…นางชื่อมู่ซินเยว่ ฮะฮ่า ท่านหลี่ การวัดค่าพลังในครั้งนี้คงไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรอกใช่ไหม”
หลี่ชิงสวนพยักหน้าและกล่าวตอบว่า “แน่นอน ข้าประทับใจมาก เอาประวัติของนางมาให้ข้าดูหน่อย”
เขานั้นอยากจะตรวจสอบให้แน่ใจว่านางเป็นศิษย์ของสถานศึกษาที่สามจริง และอายุ 14 นั้นเป็นอายุจริงที่ไม่ได้มีการแก้ไขข้อมูลใด ๆ
หลังจากผู้สังเกตการณ์หลี่ตรวจสอบบันทึกประวัติของมู่ซินเยว่เสร็จเรียบร้อย เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ดีมาก…ด้วยระดับเท่านี้ถือได้ว่านางเป็นอัจฉริยะทั้งในสถานศึกษาที่หนึ่งและที่สองได้เลย นางอาจจะไม่ได้เก่งกล้าเท่ากับศิษย์ชั้นแนวหน้าบางคน แต่ด้วยความสามารถระดับนี้ อาจทำให้นางมีโอกาสได้เข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองก็เป็นได้”
นี่คือคำยืนยันว่าเด็กสาวเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง
“ฮ่ะ ๆ ๆ ” อาจารย์ฉู่หัวเราะร่วนด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“ช่างน่าประหลาดใจเหลือเกินที่ บุรุษหน้าตาย เช่นท่าน จะกล่าวชื่นชมใครสักคน ดีล่ะ…ในที่สุด ก็มีคนที่มีพลังลมปราณถึงขั้นที่ 5 เสียที เราจะทำการสอบค่าพลังของมู่ซินเยว่ต่อ” เขากล่าวด้วยความตื่นเต้น
สิ้นเสียงของอาจารย์ฉู่ ผู้ตรวจการสอบหลี่ก็เหมือนจะได้สติ และออกคำสั่งให้นำแท่งวัดค่าพลังเก่าออกไป
แต่ด้วยความที่เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กว่าที่คณะอาจารย์จะนำแท่นหินวัดค่าพลังงานระดับ 5 มาวางประทับไว้บนโต๊ะหินสีดำได้ใหม่ เวลาก็ล่วงเลยไปกว่าเกือบ 1 ก้านธูปแล้ว
“มาเลย มู่ซินเยว่ อย่าตื่นเต้นไป ทำใจให้สบาย แล้วมาวัดค่าพลังของเจ้าดูอีกครั้ง”
อาจารย์ฉู่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะดวงตาเป็นประกายสดใส ดูราวกับคุณพ่อผู้แสนใจดีกำลังมองมายังลูกสาวตัวน้อย
มู่ซินเยว่นั้นยังคงสงบนิ่งในขณะที่ทาบฝ่ามือของตนลงบนแท่งหินวัดค่าพลังงานระดับ 5
ลำแสงสีแดงพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน ลำแสงนั้นพุ่งทะลุผ่านขีดระดับ 5 อย่างไม่ต้องสงสัย และในที่สุดก็หยุดลงที่ระดับ 5.3 โดยไม่ขยับเขยื้อนลดลงเลยแม้แต่น้อยตลอดระยะเวลาการดีดนิ้ว 30 ครั้ง
“มู่ซินเยว่ ปี 2 ห้อง 2 ค่าระดับพลังลมปราณอยู่ที่ 5.3”
เสียงประกาศของผู้คุมสอบดังก้องไปทั่วเวทีไม้ยกพื้นสูง
บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวที่อยู่ด้านล่างเวที ต่างสนทนากันด้วยความตื่นเต้นตกใจ
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีอัจฉริยะที่แกร่งกล้าถึงเพียงนี้อยู่ในสถานศึกษาเดียวกับตนเอง
อู๋เสี่ยวฟางถึงกับยืนนิ่งทำตัวไม่ถูก
เขามองไปยังเด็กสาว ณ ใจกลางม่านพลัง ขณะที่หัวใจรู้สึกเหมือนจะกระเด็นหลุดออกจากอก
ตอนแรก เด็กหนุ่มมั่นใจว่าด้วยค่าพลังลมปราณถึง 4.7 ของเขานั้น จะสามารถทำให้ตนเองได้เป็นที่ 1 ในการสอบปีนี้อย่างง่ายดาย
“ไม่น่าเชื่อเลย…มู่ซินเยว่”
“ยัยนี่แสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยมเจียมตัว และเรียกข้าว่าพี่มาตลอดงั้นหรือ”
“แค่เพียงพริบตาเดียว นางก็กระโดดออกมาตะครุบชื่อเสียงและหน้าตาที่ควรเป็นของข้าไปหน้าตาเฉย”
ในใจของอู๋เสี่ยวฟางนั้นราวกับมีไฟสุมนับพัน สุดจะห้ามไม่ให้แสดงความโกรธแค้นออกมาผ่านสีหน้า
มู่ซินเยว่ก้าวออกจากม่านพลังและเดินกลับไปยังแถวของตนเอง แต่แทนที่จะมองไปยังอู๋เสี่ยวฟาง นางกลับมองไปยังหลินเป่ยเฉิน
“ทีนี้เจ้าเห็นรึยังล่ะว่าระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เจ้าจะได้คะแนนเต็มในการสอบเมื่อวันก่อน มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้หรอก การสอบทฤษฎีน่ะก็แค่ของเด็กเล่น และในโลกแห่งความเป็นจริง…มีแต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น ถึงจะได้รับความนับถือ ต่อให้เจ้าจะเป็นลูกชายของขุนนางนักรบสวรรค์ เจ้าก็ไม่มีวันคู่ควรกับข้า ซ้ำตอนนี้เจ้าก็เป็นแค่คนธรรมดา ๆ อย่าใฝ่สูงให้มันมากนักเลย” เด็กสาวพูดกับเขาเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเหยียดยาม
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ตอนนั้นเอง เสียงของอาจารย์ผู้คุมสอบก็ดังขึ้นจากบนเวที
“ลูกศิษย์คนต่อไป หลินเป่ยเฉิน ปี 2 ห้อง 9 เชิญขึ้นมาบนเวทีและทำการวัดค่าพลังได้”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาก่อนจะละสายตาจากมู่ซินเยว่ และเดินผ่านนางไปยังม่านพลังบนเวที
เมื่อเข้าไปในม่านพลังแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ไม่รีรอที่จะเดินตรงไปยังแท่งหินวัดค่าพลังลมปราณทันที