บทที่ 252 ให้ข้าจัดการเขาได้หรือยัง
สถานศึกษากระบี่หลวงนับเป็นหนึ่งในเวทีประลองยุทธ์ที่ใหญ่โตที่สุดของเมืองหยุนเมิ่ง เป็นรองก็แต่เพียงเวทีประลองของวิหารเทพกระบี่เท่านั้น ที่นี่สามารถบรรจุผู้ชมได้ถึง 6,000 คน เวทีประลองเป็นพื้นหินยกสูงเหนือระดับทางเดิน ด้านบนมีกระจกถ่ายทอดสดติดตั้งเอาไว้เพื่อรับภาพจากมุมสูง สำหรับการตรวจสอบว่าการต่อสู้เป็นไปอย่างยุติธรรม
บนพื้นหินของเวทีมีความราบ แต่ไม่เรียบ นอกจากรอยเท้าที่เกิดขึ้นจากการประลองในอดีต บนพื้นหินก็ไม่มีลวดลายอันใดอีก นอกจากการลงค่ายอาคมสีดำสนิท ที่มีไว้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพื้นเวทีประลองมากยิ่งขึ้น
แม้แต่ผู้ที่มีพลังระดับยอดปรมาจารย์ ก็ไม่สามารถทำลายพื้นผิวของเวทีประลองแห่งนี้ได้
รอบข้างเวทีมีการนำแท่งหินมาตั้งเอาไว้ห่างกันเป็นระยะ
บริเวณโดยรอบของเวทีประลองในรัศมี 25 วา จะเป็นพื้นที่สุญญากาศ ไม่สามารถมีใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ทั้งสิ้น
บรรดาผู้ชมที่อยู่ในหอประชุมขณะนี้ ล้วนแต่สามารถรับชมการต่อสู้ได้จากทุกมุมมอง
คนดูเข้ามาเต็มความจุของหอประชุมแล้ว
เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาเดินขึ้นมาบนเวทีประลอง เพื่อแจ้งกฎกติกาและสิ่งที่ไม่สมควรทำระหว่างการต่อสู้
การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง นับเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญและมีความศักดิ์สิทธิ์ของจักรวรรดิ
เพราะฉะนั้น จะให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาไม่ได้เด็ดขาด
หน้าจอขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนังหอประชุม กำลังแสดงรายชื่อของผู้เข้าแข่งขันทั้ง 40 คน และขณะนี้ มันก็กำลังฉายภาพการแข่งขันในหลายๆ บททดสอบที่ผ่านมาประจำปีนี้
สิ่งที่ทุกคนไม่คิดไม่ฝันเลยก็คือ ผู้เข้าแข่งขันที่ได้รับความนิยมสูงสุด กลับเป็นเจ้าแกะดำหลินเป่ยเฉิน
แม้แต่สาวงามอย่างหลิงเฉินหรือเยว่เว่ยหยาง รวมถึงเด็กหนุ่มผู้มีสถานะเป็นลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุนอย่างเฉาพั่วเถียน ก็ยังได้รับความนิยมน้อยกว่าหลินเป่ยเฉิน
“ไม่คิดเลยนะว่าเจ้าแกะดำจะกลายเป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองขนาดนี้”
“ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เขาไม่ได้มารังแกพวกเราอีกแล้ว…”
“จริงด้วยสิ นับตั้งแต่ที่ข้าอาศัยอยู่ในเมืองนี้มา ข้าไม่เคยเห็นเขาทำตัวดีแบบนี้มาก่อน ที่สำคัญก็คือเขามีฝีมือเก่งกาจกว่าเฉาพั่วเถียนอีก ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นลูกชายของท่านขุนนางนักรบแห่งสวรรค์”
“แต่ข้าว่าเจ้าเด็กคนนี้มันน่าสนใจดีนะ เขาทำให้ข้ามีหวังว่าเจ้าลูกชายที่ไม่ได้เรื่องของข้า สักวันก็จะสามารถเก่งกาจขึ้นมาได้เหมือนกัน ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“ตอนที่เห็นเขาปรุงยาปลุกกำหนัดเพื่อทำให้เสือสายฟ้าสลบ ข้าก็สาบานกับตนเองเลยว่า ข้าจะเป็นสาวกของเขาตลอดไป”
กลุ่มคนดูพูดคุยกันสนุกสนาน
และเมื่อภาพของหลินเป่ยเฉินปรากฏขึ้นบนหน้าจอขนาดใหญ่ เสียงโห่ร้องก็ดังกังวานปานคลื่นสึนามิซัดถล่ม หอประชุมใหญ่ของสถานศึกษากระบี่หลวงสั่นสะเทือนด้วยเสียงให้กำลังใจหลินเป่ยเฉิน
นั่นทำให้เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาซึ่งนำโดยหลี่สงฟู่แทบไม่อยากเชื่อสายตา เมื่อการแข่งขันดำเนินมาสู่รอบประลองยุทธ์ ความเข้มข้นก็เพิ่มมากขึ้นทวีคูณกลายเป็นเช่นนี้
และเมื่อแนะนำตัวผู้เข้าแข่งขันทั้ง 40 คนจบเรียบร้อย บนหน้าจอก็แสดงลำดับคะแนน ณ ปัจจุบันของพวกเขา
หลินเป่ยเฉินมีรายชื่ออยู่ในอันดับแรก
เฉาพั่วเถียนตามมาเป็นที่สองโดยมีคะแนนตามหลังอยู่เพียง 5 แต้ม
จากนั้นก็เป็นเยว่เว่ยหยาง
ต่อด้วยหลิงเซวียน หลินอี้ คังซานเสว่ มี่หรู่หยาน หวังซินอวี่ โจวเค่อ โจวฉุยหวูซวง และผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ
ไม่มีใครคิดเลยว่าพวกเขาจะได้เห็นรายชื่อของหลิงเฉิน อยู่ต่ำลงมาจากสิบลำดับแรก
แล้วรายชื่อบนหน้าจอก็เลือนหายไปอีกครั้ง กลายเป็นตัวอักษรกะพริบวิบวับอ่านไม่ได้ใจความขณะที่การจับคู่เกิดขึ้น
และแล้ว บนหน้าจอก็แสดงรายชื่อผู้เข้าแข่งขันที่ต้องออกมาประลองกันเป็นคู่แรก
…
ภายในห้องแต่งตัว
“คิดไม่ถึงเลยแฮะว่าคนแรกก็เป็นเราเลย”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า
ประตูห้องแต่งตัวเปิดออก เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษารับหน้าที่นำทางเขามุ่งหน้าออกไปจากเฉลียงทางเดิน ก้าวลงบันไดที่ลาดชันลงไปสู่ด้านล่าง
แสงสว่างในอุโมงค์มีเพียงน้อยนิด
นั่นทำให้ปลายอุโมงค์ยิ่งดูสว่างเจิดจ้ามากขึ้น
ด้านบนอุโมงค์ที่เขากำลังเดินอยู่ในขณะนี้ คือที่นั่งของคนดูในหอประชุมใหญ่
หลินเป่ยเฉินรับรู้ได้ถึงเสียงโห่ร้องให้กำลังใจที่ดังอยู่รอบทิศทาง
และเมื่อเขาเดินออกมาจากอุโมงค์นั้นเอง เสียงโห่ร้องก็ดังอื้ออึงมากยิ่งขึ้น
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทักทายกลุ่มคนดูโดยอัตโนมัติ
หลังจากนั้น เสียงโห่ร้องทั้งหมดทั้งมวลก็กลับกลายเป็นเสียงตะโกนสามพยางค์ว่า
“หลินเป่ยเฉิน!”
“หลินเป่ยเฉิน!”
“หลินเป่ยเฉิน!”
“หลินเป่ยเฉิน!”
เสียงตะโกนดังสะท้อนไปทั่วหอประชุม ถึงขนาดทำให้มีฝุ่นร่วงกราวลงมาจากเพดานเล็กน้อย
“นี่เราดังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินอดถามตัวเองไม่ได้
หรือว่าเพราะเสน่ห์อันมากมายล้นเหลือของเขา ชาวเมืองจึงหลงรักเขาอย่างโงหัวไม่ขึ้นแล้ว?
การที่มีคน 6,000 คนตะโกนเรียกชื่อของเขา มันช่างเป็นความรู้สึกที่ชวนให้หัวใจพองโตเหลือเกิน
พลัน เป็นอีกครั้งหนึ่งที่หลินเป่ยเฉินรู้สึกผูกพันกับเมืองหยุนเมิ่งขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
และเมื่อเขาก้าวเดินขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลอง หลินเป่ยเฉินถึงได้เห็นว่าคู่ต่อสู้ของเขาคือผู้ใด
ตงฟางจัน!
นับว่าผู้จัดการแข่งขันช่างจับสลากได้ถูกใจหลินเป่ยเฉินเหลือเกิน
ม่านพลังสีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้นกางกั้นทั้งสี่ทิศของเวที ก่อนที่มันจะยกตัวขึ้นสูงและทอดตัวเชื่อมต่อกันที่ด้านบน กลายเป็นม่านพลังรูปโดมที่ครอบทับเวทีประลอง
ไม่มีพิธีการหรือขั้นตอนที่ไร้ประโยชน์
พวกเขาสามารถต่อสู้กันได้ทันทีเมื่อม่านพลังปรากฏขึ้นมา
หลินเป่ยเฉินไม่รีบร้อนลงมือ
ตงฟางจันกำลังแสยะยิ้มด้วยความมั่นใจ
“เรามาตัดสินผลแพ้ชนะต่อจากคืนประลองกระบี่กันดีกว่า หลินเป่ยเฉิน จากนี้ไป เจ้าจะได้รู้ว่าความแข็งแกร่งของมือกระบี่ที่แท้จริงมันเป็นเช่นไร!”
ตงฟางจันย่างสามขุมเดินมายืนอยู่กลางเวที
ตลอดการแข่งขันหลายบททดสอบที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะทำผลงานได้ดีมากกว่าเขา แต่ตงฟางจันก็ยังมั่นใจเป็นนักหนาว่าตนเองจะสามารถเอาชนะเจ้าแกะดำได้แน่นอน
ความมั่นใจนี้เด็กหนุ่มได้มาจากตอนต่อสู้กันในคืนประลองกระบี่ที่จวนผู้ว่า ซึ่งครั้งนั้นหลี่รั่วหลันต้องเข้ามาเป็นกรรมการห้ามศึกชั่วคราว มิฉะนั้นแล้ว ตงฟางจันมั่นใจว่าหลินเป่ยเฉินไม่มีทางรอดพ้นเงื้อมมือของเขาได้เด็ดขาด
ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์ในคืนวันนั้น ตงฟางจันก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองต้องได้รับชัยชนะในวันนี้แน่นอน
สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ ตงฟางจันตั้งเป้าไว้สูง เขาใช้เวลาหลายเดือนที่ผ่านมาฝึกวิชาเพิ่มความแข็งแกร่ง เพราะฉะนั้น ระดับพลังของเขาจึงคืบหน้ามากกว่าเดิมหลายเท่า
หลินเป่ยเฉินเหลียวหน้าไปมองกรรมการ ซึ่งก็คือหลี่ชิงสวนที่ยืนอยู่นอกเวที และถามว่า “ให้ข้าจัดการเขาได้หรือยังขอรับ?”
ประโยคนี้ถูกเผยแพร่ออกไปให้คนดูในหอประชุมได้ยินอย่างทั่วถึง ผ่านทางลำโพงขยายเสียงที่ขับเคลื่อนด้วยค่ายอาคม
หลังจากเกิดความเงียบขึ้นเล็กน้อย เสียงหัวเราะครื้นเครงก็ดังตามมา
นี่คือประโยคที่ไม่มีใครเขาถามกัน
แต่แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินอยู่บนเวทีประลอง จึงไม่ได้ยินเสียงจากด้านนอกม่านพลัง
นอกจากเสียงของกรรมการแล้ว ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนจะไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกทั้งสิ้น
หลี่ชิงสวนปากกระตุกเล็กน้อย
“การประลองเริ่มขึ้นตั้งแต่ที่ม่านพลังครอบลงมาแล้ว” เขาอธิบายด้วยความเหนื่อยใจ
“อ๋อ…”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าตงฟางจันที่ยืนอยู่ห่างออกไปประมาณสิบวา แล้วเด็กหนุ่มก็รวบรวมพลังลมปราณ กระแทกฝามือออกไปข้างหน้า
ลำแสงสีฟ้าพุ่งวาบออกจากฝ่ามือของหลินเป่ยเฉิน
ลำแสงนั้นหมุนตัวเป็นเกลียวคลื่นสวยงามราวกับพญามังกร
ตงฟางจันสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที รีบโคจรพลังลมปราณในร่างกาย แต่ยังไม่ทันได้ตั้งกระบวนท่าตั้งรับ ลำแสงสีฟ้านั้นก็กระแทกเข้าใส่ตัวเขาแล้ว
“ฟู่!”
ตงฟางจันเลือดพุ่งกระฉูดออกปาก รู้สึกไม่ต่างจากโดนสัตว์อสูรขนาดมหึมาวิ่งเข้ามากระแทกเต็มแรง ร่างของเขาปลิวกระเด็นไปเหมือนกระสอบป่านเก่าขาด ก่อนที่จะตกลงกระแทกพื้นและกลิ้งไปอีกหลายตลบ สุดท้ายก็นอนแน่นิ่ง มีสภาพเหมือนสุนัขที่ตายแล้วตัวหนึ่ง!
Related