บทที่ 27 ผู้ถูกจับตามอง
เขาแพ้
อย่างยับเยินเลยทีเดียว
ทั้งยังแพ้ภายในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
เฉิงขู่รู้ดีว่าตนเองนั้นไม่แข็งแกร่งพอจะเป็นคู่ประลองของอู๋เสี่ยวฟาง แต่เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะพ่ายแพ้ให้แก่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็วขนาดนี้
ผู้ชมรอบนอกม่านพลังต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งได้รับชม
เฉิงขู่นั้นไม่ได้ตื่นตระหนกด้วยยอมรับในความพ่ายแพ้ของตน แต่อู๋เสี่ยวฟางยังมิยอมหยุด และกลับก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
อู๋เสี่ยวฟางกวัดแกว่งกระบี่ของตนกระแทกเข้ากับแก้มขวาของเฉิงขู่
เพียงการตวัดครั้งเดียวเท่านั้น หยดเลือดก็สาดกระเซ็นออกมาจากบาดแผล
ก่อนเฉิงขู่จะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างราบคาบ การกระทำเมื่อสักครู่นี้ของอู๋เสี่ยวฟางก็ทำให้เขาต้องทรุดลงไปเสียก่อน ใบหน้าซีกขวาของเด็กหนุ่มกลายเป็นแผลเหวอะ ก่อนที่เขาจะกระอักเลือดออกมาจากปากที่แห้งผากพร้อมกับสติที่เริ่มหลุดลอย
อู๋เสี่ยวฟางเดินก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้า ในขณะที่ยกฝ่าเท้าขึ้นเหยียบลงบนใบหน้าของเฉิงขู่
“อ๊าก!” เสียงกรีดร้องของเฉิงขู่ดังออกมา
อู๋เสี่ยวฟางยังคงทำสีหน้าเยาะเย้ยในขณะที่กล่าวกับเฉิงขู่ว่า “อย่าโทษข้าเลย ไปโทษเจ้าหลินเป่ยเฉินเถอะ…เพราะพวกเจ้าเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน ตราบใดที่คู่ต่อสู้ของข้าเป็นศิษย์จากห้อง 9 ข้าจะไม่มีความปรานีใด ๆ ให้ทั้งนั้น ไสหัวออกไป!”
ตุบ!
เขายกเท้าขึ้นจากใบหน้าของเฉิงขู่และเตะเข้าที่ท้องเขาอย่างแรง
เฉิงขู่นั้นเรียกได้ว่าแทบจะลอยออกจากม่านพลังด้วยแรงเตะของอู๋เสี่ยวฟางก่อนจะตกกระแทกลงที่พื้น เขากุมท้องไว้แน่นในขณะที่ร่างกายยังคงขดตัวงุ้มงอนอนอยู่บนพื้นลานประลองด้วยใบหน้าซีดเซียวจนแทบไม่มีแรงยืน
นอกม่านพลังนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ต่อให้นี่จะเป็นการประลองในสนามจริง ที่ยากจะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้ แต่สิ่งที่อู๋เสี่ยวฟางทำนั้นมันถือว่าเกินกว่าเหตุไปไม่ใช่น้อย
หากเฉิงขู่ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีละก็ เขาก็คงจะต้องนอนเป็นผักไปอีกถึง 2 อาทิตย์เลยทีเดียว
“ผู้ชนะคือ…อู๋เสี่ยวฟาง!” เสียงของผู้คุมสอบประกาศผลการแข่งขันดังขึ้น
บรรดาศิษย์ห้อง 9 ต่างก็ยกเฉิงขู่ที่ไม่ได้สติขึ้นเปลหาม
อู๋เสี่ยวฟางยืนอยู่บนเวทีประลองในม่านพลัง ก่อนจะมองลงมาเบื้องล่าง และเห็นหลินเป่ยเฉินยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขายกนิ้วโป้งขึ้นและคว่ำมันลง กล่าวกับหลินเป่ยเฉินด้วยท่าทีท้าทาย “ทำให้เต็มที่ล่ะหลินเป่ยเฉิน…ข้ารอประลองกับเจ้าอยู่นะ อย่าเพิ่งพ่ายแพ้ให้ใครไปเสียก่อนล่ะ”
หลินเป่ยเฉินมองตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อู๋เสี่ยวฟางหัวเราะออกมาและเดินออกมานอกม่านพลัง
เหล่าศิษย์คนอื่น ๆ ต่างก็พากันพูดคุยกันให้แซ่ด
และไม่นานนัก การประลองในรอบแรกก็จบลง
มีผู้เข้ารับการทดสอบ 10 คนรวมถึงเฉิงขู่ที่ถูกคัดออกจากการแข่งขัน
และในที่สุด การประลองรอบที่ 2 ก็เริ่มต้นขึ้น
การประลองในรอบที่ 2 นี้ยาวนานเพียง 2 เค่อเท่านั้น ก่อนที่สุดท้ายแล้วจะมีศิษย์อีก 10 ที่ถูกคัดออก ในขณะที่อีก 10 คนได้เข้ารอบ
และในที่สุด เมื่อการประลองดำเนินไปถึงรอบที่ 5 ศิษย์ผู้แข็งแกร่งอีกคนก็ปรากฏตัวขึ้น
มู่ซินเยว่นั่นเอง
เด็กสาวผู้เป็นที่รู้จักกันในนาม เจ้าหญิงแห่งปวงชน นางนั้นได้แสดงความแข็งแกร่งของนางออกมาในการประลองปีที่แล้ว และได้ตำแหน่งอันดับ 3 ไปครอง ทว่าในปีนี้ นางเอาชนะอู๋เสี่ยวฟาง อู่สี่ และซือซินหลินในการสอบด้านทฤษฎีและการวัดค่าพลังลมปราณไปอย่างยับเยิน
ดังนั้นทุกคนนั้นรู้สึกได้ถึงความพยายามอย่างแรงกล้าของเด็กสาว
คลื่นมนุษย์นับร้อยเข้ามารายล้อมม่านพลังที่ 1 เพื่อชมการประลอง
แน่ล่ะว่าใคร ๆ ก็อยากเห็นความสามารถในลานประลองของเจ้าหญิงแห่งปวงชนกันทั้งนั้น จนอีก 9 ม่านพลังที่เหลือนั้นแทบไม่มีผู้ชมเลย
มีเพียงผู้ชมไม่ถึง 10 คนเท่านั้นในม่านพลังอีก 9 จุด
และในม่านพลังจุดที่ 1 นั้น คู่ต่อสู้ทั้งสองได้ปรากฏตัวขึ้น
มู่ซินเยว่สวมใส่เครื่องแบบของสถาบันในสายคาดสีดำที่นางนั้นดัดแปลงเพื่อเป็นเอกลักษณ์ของตนเองโดยเฉพาะ เพื่อที่จะยังคงรักษาภาพลักษณ์แสนสง่างามของตนไว้ ร่างสูงชะลูดของนางรับกับเรียวหน้างดงาม และทุกสัดส่วนทรวดทรงในร่างกายของนางก็ดูราวกับถูกแกะสลักโดยจิตรกรเอก
ผมหางม้าสีดำขลับปลิวไสวท่ามกลางสายลมแห่งฤดูร้อน
นางช่างดูราวกับเทพธิดาที่จุติลงมาจากสรวงสวรรค์ เพื่อลงมาให้มนุษย์เดินดินนั้นชื่นชม
สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องอยู่ที่มู่ซินเยว่เต็มไปด้วยความชื่นชมคละเคล้ากับความริษยาอย่างแยกกันไม่ออก โดยเฉพาะเฝิงหลุน ผู้ที่เชื่อว่าหัวใจของตนนั้นถูกขโมยไปโดยเด็กสาวผู้นี้ และติดอกติดใจกับนางจนแทบเรียกได้ว่าไม่มียางอายใด ๆ
ดวงตาของเขาส่องประกายวาววับไปด้วยความชื่นชม
แต่น่าเสียดายนักที่เขาพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับหลินเป่ยเฉิน ตอนนี้ เทพธิดาของเขานั้นไม่แม้แต่จะเหลียวมามองเขาแม้แต่หางตามาหลายวันแล้ว ยิ่งคิดถึงเรื่องนั้นมากเท่าใด หัวใจของเฝิงหลุนราวกับแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ มากเท่านั้น เพราะเขานั้นไม่เพียงแต่จะเสียคะแนนจากเทพธิดาผู้นี้ไปเท่านั้น หากแต่เขายังเสีย 20 เหรียญเงินไปอีกด้วย
และในตอนนี้เอง เฝิงหลุนก็ไม่กล้าจะกลับไปท้าประลองกับหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว
“เริ่มการประลองได้” เสียงผู้คุมสอบประกาศขึ้น
“เอาล่ะ ข้าขอโทษด้วยนะ เจิ้งทั่ว”
มู่ซินเยว่ชักกระบี่ออกมาเพื่อตั้งกระบวนท่าแรกของวิชากระบี่สามพิฆาต
มู่ซินเยว่นั้นแตกต่างจากอู๋เสี่ยวฟาง นางเป็นคนสุภาพหาได้หยิ่งยโสเช่นเขา และไม่อยากทำให้คู่ต่อสู้รู้สึกกดดันหรือสิ้นหวัง
คู่ต่อสู้ของนางคือเจิ้งทั่ว ผู้เป็นตัวแทนจากห้อง 6
“ข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้” เจิ้งทั่วประกาศกร้าวออกมาเสียงดัง
“เพียงแค่ได้มีโอกาสเข้าร่วมประลองกับท่านมู่ซินเยว่ก็นับเป็นความโชคดีที่สุดในรอบปีนี้ของข้าแล้ว แค่เพียงได้พูดคุยกับท่านเทพธิดาแบบตัวต่อตัวเช่นนี้ ข้าก็สุขใจมากเหลือเกิน ท่านน้องหญิงมู่…ข้าไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของท่านหรอก ข้าคงมิอาจหาญเทียบตัวไปประลองกับท่าน และรังแต่จะเสียพลังลมปราณของท่านเสียเปล่า ข้าหวังว่าท่านจะเป็นผู้ชนะในการประลองนี้ ขอให้ท่านโชคดี”
เมื่อกล่าวเช่นนั้นจบ ศิษย์อัจฉริยะจากห้อง 6 ผู้นี้ก็สบตามู่ซินเยว่เพียงครู่ ก่อนจะหันหลังก้าวออกจากม่านพลังไป
การต่อสู้นั้นสิ้นสุดลง
บรรดาศิษย์ต่างก็พูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แม้แต่ผู้คุมสอบก็ยังงงงวยกับเหตุที่เกิด ก่อนจะประกาศออกมาดังกังวาน “ผู้ชนะคือ…มู่ซินเยว่”
มู่ซินเยว่ประสานมือสองข้างและคำนับคู่ประลองของตนด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณเจ้ามาก เจิ้งทั่ว”
ก่อนที่นางจะหันหลังก้าวออกจากม่านพลังและลงจากเวทีประลองไป
ท่ามกลางฝูงชนมากมายนั้น หลินเป่ยเฉินเองก็งงงวยไม่แพ้กัน
เขาอดจะยอมรับไม่ได้ว่าการกระทำที่สุดแสนไร้ยางอายเช่นนั้นน่ะมันคาดไม่ถึงเสียจริง ๆ
คนที่ยอมแพ้กับโชคชะตาอย่างง่าย ๆ น่ะ มีทั้งในโลกมนุษย์และในโลกนี้อย่างนั้นสินะ
การประลองดำเนินต่อไป
หลินเป่ยเฉินนั้นไม่ได้ถูกเรียกขึ้นไปจนถึงรอบที่ 9 ก่อนที่ในที่สุดชื่อของเขาก็ถูกเรียกขึ้น
คู่ประลองของเขาคือเหลิงเย่ ศิษย์อัจฉริยะจากห้อง 1
แม้การประลองของเด็กหนุ่มสองคนนี้จะไม่ได้น่าตื่นใจเท่าการประลองของมู่ซินเยว่ แต่มันก็สามารถดึงดูดผู้ชมเข้ามาได้ไม่น้อย
จุดความสนใจพุ่งเข้าไปยังสองคนที่อยู่กลางม่านพลัง
“ข้าล่ะประหลาดใจจริง ฮ่า ๆ ที่คู่ประลองของข้าดันเป็นเจ้าคนขี้โกงนี่เอง โชคดีอะไรเช่นนี้ละเนี่ย”
เหลิงเย่มองไปยังหลินเป่ยเฉินด้วยท่าทีประหลาดใจ
หลินเป่ยเฉินหลับตาลงและไม่ได้กล่าวอะไรตอบ
แต่เหลิงเย่ยังพูดไม่จบเสียที “ฮ่า ๆ พี่อู๋ได้กล่าวว่าใครก็ตามที่สามารถทำให้เจ้าพ่ายแพ้อย่างราบคาบได้จะได้รับถึง 10 เหรียญทอง สงสัยวันนี้จะเป็นวันดีของข้าซะล่ะมั้ง”
เขาเป็นหนึ่งในลูกไล่ของอู๋เสี่ยวฟางงั้นสินะ
หลินเป่ยเฉินยังคงไม่ตอบอะไรกลับไป
บรรดาคนดูเริ่มจับกลุ่มคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่
“ไอ้แกะดำมันกลัวนี่นา ถึงกับไม่กล้าลืมตาเลยหรือ”
“ทีอย่างนี้ล่ะทำมากลัว สายไปแล้ว”
“ฮะฮ่า กะอีแค่เอาชนะเฝิงหลุนได้ ก็คงคิดว่าตัวเองหนังเหนียวนักงั้นสิ พี่เหลิงเย่น่ะเป็นถึง 1 ใน 6 สุดยอดลูกศิษย์ห้อง 1 เลยนะ เขาน่ะเรียกได้ว่าเป็น 1 ใน 15 สุดยอดลูกศิษย์ของชั้นปีที่ 2 เสียด้วยซ้ำ”
เสียงพูดคุยดังขึ้นราวกับเสียงน้ำเดือดปุด
“แต่หลินเป่ยเฉินน่ะหล่อมากเลยนะ”
“ดูท่าที่เขาหลับตาและจับกระบี่นั่นสิ ดูอย่างกับเทพบุตรไม่มีผิดเลย”
“เขาน่ะมันเป็นคนโหลยโท่ย แต่ก็เป็นคนโหลยโท่ยที่หล่ออยู่ดี บอกให้นะ ข้าน่ะชอบหลงไปกับผู้ชายน่ารัก ๆ แบบนี้เสมอเลย”
เมื่อมองไปยังใบหน้าหล่อ ๆ ของหลินเป่ยเฉินในชุดเครื่องแต่งกายสีดำ เหล่าเด็กสาวกระจุกหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมไปกับใบหน้าอันงดงามของเขา
และในตอนนั้นเอง ผู้คุมสอบก็ประกาศขึ้นมา “เริ่มการประลองได้!”
“ฮ่า ๆ หลินเป่ยเฉิน ทีนี้ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเอง ว่าเจ้าน่ะมันไม่มีน้ำยา”
เหลิงเย่ยังคงพูดกวนประสาทฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่หยุดหย่อน
และแล้วหลินเป่ยเฉินผู้ยืนประจันหน้าอยู่ก็ลืมตาขึ้นมา
ดวงตาของเขาเป็นประกายสว่างไสวราวกับดาวฤกษ์บนท้องฟ้ายามค่ำคืน