บทที่ 277 ตกน้ำป๋อมแป๋ม
ณ ท่าเรือ
เรือสินค้าที่ปกติแล้วจะถูกใช้งานในการบรรทุกข้าวของไปส่งชาวทะเลลำหนึ่ง ค่อยๆ แล่นออกจากท่าเรือ
“อะฮ้า กลิ่นทะเล ช่างคิดถึงเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนหัวเรือและส่งเสียงตะโกนออกมาดังลั่น
พฤติกรรมแปลกๆ ของหลินเป่ยเฉินไม่ใช่สิ่งที่พวกของมี่หรู่หยานจะรู้สึกประหลาดใจอีกแล้ว
ขณะนี้ สมาชิกกลุ่มของหลินเป่ยเฉินกำลังยืนอยู่บริเวณกราบเรือ ดวงตาจ้องมองไปยังท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ซึ่งกำลังสะท้อนประกายกับแสงแดดระยิบระยับ ก่อเกิดเป็นภาพอันงดงามตระการตา
“วันพรุ่งนี้จะเป็นการแข่งศึกชิงธง กองทัพจะปิดหน้าน้ำฝั่งนี้ทั้งหมดเพื่อจัดการแข่งขัน โดยปกติแล้วจักรวรรดิเป่ยไห่จะมีเรือรบหลวงอยู่ 4 ระดับชั้น ประกอบไปด้วยชั้นสูงสุดคือเรือรบหลวงขั้นจักรพรรดิ รองลงมาคือเรือรบหลวงขั้นแม่ทัพใหญ่ ต่อจากนั้นเป็นเรือรบหลวงขั้นนายกองและเรือรบหลวงลาดตระเวน เรือรบหลวงสองอย่างหลังสุดนั้นเหมาะสมสำหรับการนำมาใช้แข่งขันชิงธงมากที่สุด แต่ข้าคิดว่าพวกเขาคงให้ผู้เข้าแข่งขันใช้เรือรบหลวงขั้นนายกองมากกว่า…”
เฒ่าทะเลผู้มีความชำนาญและรอบรู้เรื่องกองทัพเรือของจักรวรรดิเป่ยไห่เป็นอย่างดี กำลังคำนวณเรื่องความเป็นไปได้ในการแข่งขันที่กำลังจะมาถึง “เรือรบหลวงขั้นนายกองมีความยาว 100 วา กว้าง 30 วา มีความสูงประมาณ 5 จั้ง พื้นที่ใต้ท้องเรือจะแบ่งแยกออกเป็น 4 ส่วน…”
ก่อนที่เรือของพวกเขาจะเล่นมาถึงพื้นที่การแข่งขัน เฒ่าทะเลก็อธิบายข้อมูลของเรือรบหลวงครบถ้วนทุกมุมมอง
“จากข้อมูลที่กระทรวงศึกษาประกาศออกมาก็คือ ธงประจำเรือจะถูกแขวนอยู่บนเสากระโดงเรือต้นหลัก แต่มันได้รับการคุ้มกันโดยค่ายอาคมประจำเรือ และจำเป็นที่จะต้องใช้กุญแจมาเปิดค่ายอาคม 4 ดอก ซึ่งกุญแจเหล่านั้นจะกระจายอยู่ตามพื้นที่ใต้ท้องเรือทั้ง 4 จุดนั้น เมื่อสามารถหากุญแจมาสลายค่ายอาคมและชิงธงมาจากเรือของคู่แข่งได้สำเร็จ ก็จะถือว่าเราสามารถเอาชนะเรือลำนั้นได้แล้ว”
“การเผชิญหน้าของเรือ 2 ลำในแต่ละครั้ง จะมีเวลาให้พวกเจ้าได้ลงมือชั่ว 3 ก้านธูป ถ้าไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในระยะเวลาที่กำหนด ก็จะถือว่าพวกเจ้าปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปอย่างน่าเสียดายนัก”
“แต่แน่นอนว่าพวกเจ้าก็ต้องเหลือคนทิ้งไว้บนเรือของตนเองเช่นกัน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามแอบขึ้นมาขโมยธงของพวกเจ้าได้ พูดง่ายๆ หลักสำคัญในการแข่งขันครั้งนี้ก็คือ ป้องกันธงของตนเองและแย่งชิงธงของคนอื่นมาให้ได้เยอะที่สุด เพียงเท่านั้นเจ้าก็จะเป็นผู้ชนะแล้ว”
“ส่วนกลยุทธ์การต่อสู้หลังจากนี้ คงต้องเป็นเจ้าเองที่กำหนดทั้งหมด ด้วยข้าก็ทำได้เพียงแนะนำให้เจ้ามีความคุ้นเคยกับการทำสงครามทางทะเลมากขึ้นเท่านั้น”
เฒ่าทะเลให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี คงเป็นเพราะได้รับค่าจ้าง 600 เหรียญทองคำจากเด็กหนุ่มนั่นเอง
แม้แต่เรือลำนี้ชายชราก็เป็นผู้ควบคุม
ตลอดเวลา 1 ชั่วยามต่อมา หลินเป่ยเฉินและพวกพ้องยืนหัวสั่นหัวคลอนอยู่บนดาดฟ้าเรือ พยายามทำความเข้าใจกลยุทธ์สงครามทางทะเล และจดจำคำแนะนำของเฒ่าทะเลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เพียงไม่นาน เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวก็เริ่มคุ้นเคยกับการที่เรือโคลงเคลงไปมาจากกระแสน้ำแล้ว
เมื่อเรียนภาคทฤษฎีเรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปก็คือการฝึกฝนภาคปฏิบัติ
มีเพียงหลินเป่ยเฉินเท่านั้นที่ว่ายน้ำไม่เป็น ส่วนคนอื่นๆ สามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว
นั่นเป็นเพราะว่าหยุนเมิ่งคือเมืองชายทะเล ชาวเมืองทุกคนคุ้นเคยกับการว่ายน้ำตั้งแต่เด็กๆ เรียกได้ว่าการว่ายน้ำคือทักษะที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็คงไม่ผิด แม้แต่เยว่หงเซียงที่พูดอย่างถ่อมตัวว่าสามารถว่ายน้ำได้ไม่เก่งกาจเท่าไหร่ แต่เมื่อนางกระโดดลงน้ำเท่านั้น เด็กสาวก็กลายร่างเป็นนางเงือก แหวกว่ายไปตามเกลียวคลื่นได้อย่างสวยงามและว่องไว
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ขนาดอยู่บนเรือเขายังเวียนหัวขนาดนี้ แล้วถ้าลงไปอยู่ในน้ำ จะมีสภาพน่าอนาถใจขนาดไหน?
พูดตามตรง ท้องทะเลที่เขาเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นเพียงปลายสุดของยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น หลินเป่ยเฉินเดาว่าตนเองคงเป็นโรคกลัวทะเลเหมือนที่คนอื่นๆ เป็นโรคกลัวความสูงนั่นแหละ มันไม่ใช่ปัญหาทางร่างกาย แต่เป็นปัญหาทางด้านจิตใจต่างหาก
“เจ้าไม่ลงไปทำความคุ้นเคยกับน้ำทะเลสักหน่อยหรือ?”
เฒ่าทะเลถาม
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ข้าน้อยไม่เคย…ลงทะเลมาก่อนเลยขอรับ”
“เพราะเหตุใด?” ชายชราขมวดคิ้ว “หรือว่าเจ้ากลัวทะเล?”
“ข้าแค่อยากระวังตัว ไม่ได้กลัวสักหน่อย” หลินเป่ยเฉินตอบเสียงแข็ง
เฒ่าทะเลมีสีหน้าจริงจังมากขึ้นขณะพูดว่า “เจ้ามีพลังปราณธาตุน้ำจะกลัวไปทำไม ยิ่งลงไปอยู่ในทะเล มันยิ่งช่วยส่งเสริมให้พลังในตัวเจ้าแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม การแข่งขันชิงธงในครั้งนี้จัดขึ้นในทะเล นับว่าเป็นข้อได้เปรียบของเจ้าแล้ว อีกอย่าง ข้าได้สอนวิธีการโคจรพลังลมปราณและวิชาตัวเบาประจำเผ่าชาวทะเลให้เจ้าได้เรียนรู้ พวกมันเป็นวิชาที่เหมาะสมต่อการทำสงครามทางทะเลยิ่งนัก เจ้าควรจะรู้สึกสิว่าท้องทะเลเป็นเสมือนบ้านของเจ้าเอง…”
พูดจบ ชายชราก็อาศัยจังหวะที่เด็กหนุ่มยังไม่ทันตั้งตัว กระโดดถีบเขาตกจากกราบเรือไปในที่สุด
ตู้ม!
หลินเป่ยเฉินร่วงละลิ่วลงสู่ท้องทะเล
“ไอ้ลุงชะ…” คําสบถยังไม่ทันหลุดออกจากปาก น้ำทะเลจำนวนมากก็ไหลทะลักเข้ามาในปากของเด็กหนุ่มเสียแล้ว
ตอนที่แข่งขันรอบคัดเลือกในป่าต้องห้าม หลินเป่ยเฉินเคยถูกจับโยนลงทะเลสาบมาแล้วรอบหนึ่ง
แต่นั่นมันทะเลสาบเล็กๆ จะมาเทียบกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ได้อย่างไร?
อาการกลัวทะเลของเขาเริ่มเล่นงานโดยทันที ส่งผลให้หลินเป่ยเฉินตัวแข็งทื่อขยับร่างกายไม่ได้
พลังปราณธาตุน้ำที่มีอยู่ในร่างกาย ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย
หลินเป่ยเฉินตะเกียกตะกายด้วยมือด้วยเท้า ไม่รู้ว่าดื่มน้ำทะเลเข้าไปมากมายแค่ไหนกว่าที่หัวจะกลับมาพ้นน้ำได้อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันตะโกนขอความช่วยเหลือ คลื่นทะเลก็ซัดเข้ามาใส่หน้าทำให้เขาจมหายลงไปใต้น้ำอีกครั้ง
เฒ่าทะเลยืนมองอยู่บนเรือ หน้านิ่วคิ้วขมวด
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
มันไม่ควรเป็นเช่นนี้
มีอย่างที่ไหนมีพลังปราณธาตุน้ำ แต่กลับว่ายน้ำไม่เป็น ช่วยเหลือตัวเองในน้ำไม่ได้?
จังหวะที่ชายชรากำลังจะกระโดดลงไปช่วยหลินเป่ยเฉินกลับขึ้นมาจากน้ำ ไม่รู้เยว่หงเซียงแหวกว่ายมาจากทิศทางไหน รู้ตัวอีกทีนางก็เข้าไปถึงตัวหลินเป่ยเฉินเรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ทำตัวเป็นเหมือนปลาหมึกยักษ์ ใช้ขาหนีบช่วงเอวของเยว่หงเซียง สองมือโอบกอดสอดเข้ามาจากด้านหลังและรัดแนบไปกับหน้าอกอวบอูมของเด็กสาวไม่ยอมปล่อย…
ฮันปู้ฟู่ตาลุกวาว รีบว่ายน้ำเข้ามาช่วยอีกคน
แต่นั่นก็เป็นตอนที่หลินเป่ยเฉินถูกลากกลับขึ้นไปบนเรือเรียบร้อย ในท้องของเขาเต็มไปด้วยน้ำทะเล สีหน้าของเจ้าแกะดำบอกถึงความพะอืดพะอมสุดขีด ดูเหมือนว่าอาการกลัวทะเลของเขาจะยิ่งแย่หนักมากกว่าเดิมหลายเท่า
ใบหน้าของเยว่หงเซียงที่โผล่พ้นหน้ากากออกมาครึ่งหนึ่งแดงก่ำ
ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่หลินเป่ยเฉินจะยอมปล่อยมือออกจากตัวนาง
“ฮ่าฮ่าฮ่า หลินเป่ยเฉินตกน้ำป๋อมแป๋ม ช่างเป็นบุญตาของพวกเราเสียเหลือเกิน”
มีเรือลำหนึ่งกำลังแล่นผ่านมาพอดี
ผู้ที่ยืนอยู่บนเรือลำนั้นประกอบไปด้วยตงฟางจัน มู่อวี่ซุนและเจิ้งโจว เรียกได้ว่าเป็นการรวมตัววายร้ายที่แท้จริง
ตงฟางจันระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นเหมือนได้ค้นพบโลกใบใหม่ เขาจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินและพูดว่า “หลินเป่ยเฉินมีความสามารถทางทะเลน่ากลัวขนาดนี้ การแข่งขันวันพรุ่งนี้ เห็นทีเขาคงต้องเป็นผู้ชนะแน่ๆ”
หลินเป่ยเฉินยันตัวลุกขึ้นมายืนเกาะที่กราบเรือ แต่ยังไม่ทันพูดอะไรก็รู้สึกคลื่นไส้เวียนศีรษะ หลังจากนั้น เขาก็อาเจียนน้ำทะเลที่ดื่มเข้าไปออกมาทั้งหมด… ปล่อยให้เรือของตงฟางจันแล่นจากไปโดยที่ยังไม่ทันได้โต้ตอบสิ่งใด…
แม้แต่จะตะโกนด่าไล่หลังสักคำ หลินเป่ยเฉินก็ไม่มีโอกาสทำได้
น่าเสียดายจริงๆ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ทุกคนพยายามเกลี้ยกล่อมหลินเป่ยเฉิน รวมถึงทั้งปลอบทั้งขู่ให้เขาลองกลับลงไปว่ายน้ำดูอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ
“ปล่อยให้พวกข้าน้อยจัดการกันเองได้ไหมขอรับ” หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย “พวกอาจารย์ยืนหัวโด่อยู่แบบนี้ ข้าน้อยรู้สึกกดดันยิ่งนัก เพราะไม่รู้เลยว่าพวกท่านจะกระโดดถีบข้าน้อยตกเรือไปอีกเมื่อไหร่…”
ดังนั้น เฒ่าทะเลและอาจารย์อาวุโสทั้ง 3 คนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินทางกลับตามคำร้องขอ
หลินเป่ยเฉินนั่งหน้าซีดอยู่บนดาดฟ้าเรือ รู้สึกอ่อนอกอ่อนใจกับตัวเองเหลือเกิน
หมดกันภาพลักษณ์ที่สั่งสมมา
“ทุกคนมานั่งพักกันก่อนเถิด ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอก”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจรีบเปลี่ยนเรื่อง และเปิดตัวกระจายสัญญาณไวฟายในโทรศัพท์มือถือ
เขากดค้นหาตัวรับสัญญาณ
รายชื่อปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เยว่หงเซียงมีสัญญาณเต็ม 5 ขีด
เช่นเดียวกับฮันปู้ฟู่
แม้แต่มี่หรู่หยานก็มีสัญญาณเต็มเช่นกัน
นางรู้จักเขาได้ไม่เกิน 2 วัน แต่กลับเชื่อใจเขามากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินตกใจเล็กน้อยก็คือ ขีดสัญญาณของไป๋ชินหยุนมีอยู่แค่ 3 ขีดเท่านั้น…
หืม? ยัยเด็กนี่ไม่เชื่อใจเขาอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าเด็กสาวร่างเล็กแต่อกใหญ่ และแอบคิดอยู่ในใจว่าหรือนางจะทราบว่าเขาแอบยักยอกเงินค่าจ้างผู้ฝึกสอนพิเศษของเฒ่าทะเลไว้เอง 1,400 เหรียญทองคำ?
“สิ่งที่ข้ากำลังจะบอกต่อไปนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ขอให้ทุกคนตั้งใจฟังให้ดี”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจหาข้ออ้างก่อนที่จะเริ่มเชื่อมต่อสัญญาณไวฟาย นี่คือเหตุผลที่เขาต้องไล่ให้เฒ่าทะเลและอาจารย์ทั้งหมดกลับสถาบันไปก่อน เพราะจะอย่างไรเสีย การหลอกเด็กๆ ด้วยกัน มันก็ง่ายกว่าการหลอกตาแก่พวกนั้นอยู่แล้ว
Related