บทที่ 279 ตำแหน่งนี้มีไว้ให้ฮันปู้ฟู่แค่คนเดียว
หญิงคนนี้เป็นใครกัน?
หลินเป่ยเฉินหันมองสมาชิกกลุ่มของตนเอง ปรากฏว่าไม่มีใครรู้จักนางเลยสักคน
เรือน้อยลำนั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่ จอดอยู่เทียบข้างเรือบรรทุกสินค้าของพวกเขา
หญิงผู้งามสง่ายืนอยู่บนหัวเรือ พลังลมปราณที่แผ่ออกมาหนาแน่นรุนแรงบอกถึงระดับพลังสูงส่ง สามารถระบุได้ด้วยตาเปล่าว่านางไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
หญิงผู้นั้นกวาดสายตามองกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วพูด “ไม่ทราบว่าพวกเจ้าจะอนุญาตให้ข้าขึ้นเรือได้หรือไม่?”
ทุกสายตาหันมาจ้องมองหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินปิดสัญญาณไวฟายไปนานแล้ว เมื่อเห็นผู้มาเยือนมีลักษณะท่าทีสุภาพเรียบร้อย แม้จะไม่รู้ว่านางเป็นใครก็ตาม แต่เขาก็ยังคงพยักหน้าพูดว่า “ไม่มีปัญหาขอรับ”
พูดจบเพียงเท่านั้น
ร่างของหญิงปริศนาก็กระโดดขึ้นมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าพวกเขาแล้ว
ช่างรวดเร็วจนน่าสะพรึงกลัว!
พวกของหลินเป่ยเฉินได้แต่ยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
ดูจากการที่หญิงผู้นี้กระโดดขึ้นมาบนเรือของพวกเขาด้วยความรวดเร็วยิ่ง ย่อมหมายความว่านางมีระดับพลังเกินกว่าที่ทุกคนคาดคิดเอาไว้
“ไม่ทราบว่าท่านคือ?” หลินเป่ยเฉินถามออกมาทันที
หญิงปริศนาแย้มยิ้มเล็กน้อยตอบว่า “ข้ามาจากสถาบันกระบี่หลวงระดับสามัญประจำมณฑลเฟิงอวี่ มีตำแหน่งเป็นรองอาจารย์ใหญ่ นามว่าหวังหรู่อี้”
ว่าไงนะ
รองอาจารย์ใหญ่จากสถาบันกระบี่หลวงระดับสามัญอย่างนั้นหรือ?
ได้ยินดังนั้น กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม
โดยเฉพาะหลินเป่ยเฉิน เขารู้สึกเหมือนเป็นเด็กนักเรียนบ้านนอกที่มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง เดินทางมาขอเข้าพบอย่างไรอย่างนั้น
สถาบันกระบี่หลวงระดับสามัญคือหนึ่งในห้าสถาบันกระบี่ที่ดีที่สุดของจักรวรรดิ
เพียงได้ยินชื่อก็ทำให้ผู้คนขนลุกเกรียวแล้ว
“ที่แท้ก็เป็นอาจารย์หวังนี่เอง” หลินเป่ยเฉินกลับมาได้สติอีกครั้ง พูดว่า “ไม่ทราบว่าท่านมาหาข้าหรือขอรับ?”
ผลงานที่ยอดเยี่ยมในการแข่งขันที่ผ่านมาของเขา คงไปเตะตาบรรดาอาจารย์จากสถานศึกษาต่างๆ เข้าแล้วสินะ
เฮ้อ
ให้มันได้อย่างนี้สิ
เพิ่งแสดงฝีมือได้ไม่ทันไร เขาก็กลายเป็นพ่อหนุ่มเนื้อหอมอีกแล้วหรือนี่
เมื่อได้ยินหลินเป่ยเฉินพูดออกมาอย่างนั้น ไม่มีใครคิดว่าเขาอวดดีมากเกินไป
เพราะจากผลงานที่ผ่านๆ มา หลินเป่ยเฉินแสดงความสามารถออกมาโดดเด่นมากกว่าเพื่อนทั้งสี่ และด้วยสถานะที่สูงส่งของอาจารย์หวัง นางก็ต้องมาหาเขาอย่างแน่นอน
แต่ที่ไหนได้ หวังหรู่อี้กลับยิ้มตอบว่า “ผิดแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อหาคุณชายฮันต่างหาก แต่แน่นอนว่าคุณชายหลินก็อยู่ในสายตาของพวกเราเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต
หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ
อายฉิบหายเลยโว้ย!
ฮันปู้ฟู่ชะงักไปเล็กน้อย “อาจารย์หวังมาหาข้าหรือขอรับ? คือว่า…”
เขาคิดว่าตนเองหูฝาด
หวังหรู่อี้ตอบว่า “ถูกต้องแล้ว เรามาพูดเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ข้าประทับใจการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับเฉาพั่วเถียน มันเป็นการต่อสู้ที่ตื่นเต้นมาก เจ้าเต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้และความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ ในฐานะรองอาจารย์ใหญ่จากสถาบันกระบี่หลวงระดับสามัญ ข้าอยากเรียนเชิญให้เจ้ามาร่วมศึกษาวิชากระบี่กับพวกเรา ไม่ทราบว่าคุณชายฮันมีความสนใจบ้างหรือไม่?”
“ว่าไงนะขอรับ?” ฮันปู้ฟู่อ้าปากค้าง…
หัวสมองของเขากลายเป็นสีขาวโพลน ราวกับว่าไม่สามารถประมวลผลอะไรได้อีกแล้ว
ทุกสายตาหันมาจ้องมองที่ฮันปู้ฟู่เป็นหนึ่งเดียว
เขาได้รับการทาบทามจากสถาบันกระบี่หลวงระดับสามัญ!
ต่อให้มีเงินล้นฟ้า โอกาสเช่นนี้ก็หาไม่ได้แล้ว
มิหนำซ้ำ ผู้ที่มีตำแหน่งเป็นถึงรองอาจารย์ใหญ่ยังเดินทางมาพูดคุยกับเขาด้วยตนเอง
นี่มันเส้นทางของวีรบุรุษในนวนิยายชัดๆ
“ศิษย์พี่ยังจะมัวยืนบื้อทำอะไรอยู่อีก?”
จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินสลัดความอับอายก่อนหน้านี้ทิ้งไปได้อย่างสิ้นเชิง กระโดดเข้ามาตบหลังตบไหล่ฮันปู้ฟู่และพูดว่า “รีบตอบตกลงเร็วเข้าสิ…อาจารย์หวังขอรับ เขายินดีรับข้อเสนอ ศิษย์พี่ฮันของข้าจะต้องรับข้อเสนอของท่านอย่างแน่นอน”
ฮันปู้ฟู่เพิ่งจะได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง
“แต่ว่าข้า…ข้าไม่สามารถ…”
ฮันปู้ฟู่กำลังตกตะลึงและมีความสุขจนทำอะไรไม่ถูก ระดับพลังในปัจจุบันของเขายังห่างไกลต่อการสอบเข้าสถาบันกระบี่หลวงระดับสามัญอีกมากโข เพราะฉะนั้น ฮันปู้ฟู่จึงรู้สึกว่าตนเองยังไม่คู่ควรกับการเดินทางไปศึกษาต่อในที่แห่งนั้น
หวังหรู่อี้ยิ้มแย้มออกมาอีกครั้ง
ปฏิกิริยาตอบรับของฮันปู้ฟู่เป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้
หลังจากการประลองเมื่อวันก่อนจบลง หวังหรู่อี้ก็สั่งให้บริวารหาประวัติของฮันปู้ฟู่มาให้นางโดยละเอียด เมื่อได้รับทราบประวัติความเป็นมาของเขาแล้ว หวังหรู่อี้จึงมั่นใจว่าตนเองสามารถเข้าใจเด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมคนนี้ได้ทะลุปรุโปร่ง
ยิ่งเข้าใจเขามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความได้เปรียบมากเท่านั้น
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หวังหรู่อี้รีบเดินทางมาหาฮันปู้ฟู่อย่างรวดเร็ว เพราะนางกลัวว่าสถาบันอื่นๆ จะมาตัดหน้าแย่งชิงตัวเขาไปเสียก่อน
แต่สิ่งที่ทำให้หวังหรู่อี้ประหลาดใจก็คือปฏิกิริยาตอบรับของหลินเป่ยเฉิน
คำตอบของนางก่อนหน้านี้ไม่ได้ไว้หน้าหลินเป่ยเฉินเลยแม้แต่น้อย หวังหรู่อี้เห็นกับตาว่าสีหน้าของเขาปรากฏความอับอายขึ้นมาอย่างชัดเจน
ซึ่งมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินว่าฮันปู้ฟู่เป็นผู้ที่ถูกทาบทามให้เข้าศึกษาต่อที่สถาบันของนาง ความอับอายบนใบหน้าของเขาก็เลือนหายไป มันถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจ หลินเป่ยเฉินตื่นเต้นราวกับว่าตนเองจะเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาต่ออย่างไรอย่างนั้น
นี่คือปฏิกิริยาที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของหวังหรู่อี้
หลินเป่ยเฉินดีใจแทนเพื่อนจริงๆ อย่างนั้นหรือ?
หรือว่าเขาเสแสร้งแกล้งพูดออกมา เพื่อกลบเกลื่อนความอับอายของตนเอง?
หวังหรู่อี้ไม่แน่ใจ
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินสามารถแสดงฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดการแข่งขันที่ผ่านมา
เขามีสิทธิ์ที่จะได้เข้าศึกษาต่อในสถาบันกระบี่หลวงระดับสามัญโดยไม่ต้องใช้ตำแหน่งพิเศษอยู่แล้ว
แต่ที่สำคัญก็คือ หวังหรู่อี้ไม่ค่อยจะชอบหน้าเจ้าเด็กหนุ่มผู้เกเรคนนี้สักเท่าไหร่
พฤติกรรมของเขาขัดต่อหลักการทุกอย่างของสถาบันกระบี่หลวง
หวังหรู่อี้สนใจแต่เพียงฮันปู้ฟู่คนเดียวเท่านั้น
เมื่อมาถึงบัดนี้ นางก็เลือกที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “อันที่จริง เจ้ายังไม่ต้องรีบให้คำตอบก็ได้ ข้าได้รู้มาว่าหลังจากการประลองเมื่อวันก่อน เจ้าก็กลายเป็นเป้าหมายของสถาบันกระบี่ทั้ง 5 แห่ง และมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะเดินทางมายื่นข้อเสนอให้เจ้าเช่นกัน เอาเป็นว่าข้าจะให้เวลาเจ้า 3 วันได้ตัดสินใจ เมื่อครบกำหนด 3 วันแล้ว เจ้าก็แค่บอกมาเท่านั้นว่ายินดีรับข้อเสนอของข้าหรือไม่”
มี่หรู่หยานและคนอื่นๆ ต่างก็ยืนตกตะลึง
สถาบันกระบี่ทั้ง 5 แห่งต่างก็สนใจในตัวของฮันปู้ฟู่
เพียงเพราะประทับใจการประลองกับเฉาพั่วเถียนเมื่อวันก่อนเนี่ยนะ?
ฮันปู้ฟู่เองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
นี่คือความจริงที่เขาไม่กล้าฝันถึง แต่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ฮันปู้ฟู่อยากจะตบหน้าตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้กำลังฝันไป
ไป๋ชินหยุนเหมือนจะอ่านความคิดเขาออก จึงรีบวิ่งมากระโดดตบหน้าเขาอย่างแรง
เพี๊ยะ!
เด็กสาวตบหน้าหนุ่มรุ่นพี่จนเขาหมุนคว้างและถามว่า “ศิษย์พี่เจ็บหรือไม่?”
ฮันปู้ฟู่พยักหน้าตอบกลับยอมรับว่าเจ็บ
“อย่างนั้นท่านก็ไม่ได้ฝัน” ไป๋ชินหยุนกระโดดโหยงเหยงด้วยความหงุดหงิดใจ “แล้วท่านยังจะมัวรออะไรอยู่อีก? รีบรับข้อเสนอเร็วเข้าสิ สถาบันกระบี่หลวงจัดเป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งอยู่แล้ว มีอะไรที่ท่านต้องลังเลอีกหรือไง?”
ฮันปู้ฟู่ถอนหายใจ กำลังจะพยักหน้าตอบรับข้อเสนอ
แต่ในทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “ใจเย็นก่อนศิษย์พี่…ข้าคิดๆ ดูแล้ว ท่านลองคิดดูให้ละเอียดรอบคอบก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งรีบร้อนให้คำตอบตอนนี้เลยก็ได้ การเลือกสำนักกระบี่เป็นก้าวสำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน เรื่องเช่นนี้จะตัดสินใจวู่วามไม่ได้เด็ดขาด”
ฮันปู้ฟู่รับฟังคำแนะนำของหลินเป่ยเฉินอย่างตั้งใจ
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าหวังหรู่อี้และกล่าวว่า “อาจารย์หวังเป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่ง พูดแล้วท่านคงไม่คืนคำ ศิษย์พี่ฮันยังมีเวลาอีก 3 วัน ถึงจะให้คำตอบแก่ท่านได้ใช่หรือไม่?”
หวังหรู่อี้พยักหน้าตอบว่า “ถูกแล้ว”
ในใจของนางกำลังหัวเราะเยาะออกมาด้วยความเหยียดหยาม
สุดท้ายหลินเป่ยเฉินก็แสดงธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ?
เขาตั้งใจจะถ่วงเวลาฮันปู้ฟู่เพื่อนำตนเองเข้ามาแทนที่ และยึดครองตำแหน่งลูกศิษย์คนพิเศษไปจากเพื่อนร่วมสถาบันใช่หรือไม่?
แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินจะแสดงฝีมือออกมาได้น่าประทับใจสักแค่ไหน หรือต่อให้เขาเป็นผู้ชนะการแข่งขันประจำปีนี้ก็ตาม หวังหรู่อี้ก็ไม่มีทางเลือกเขาเด็ดขาด
เพราะตำแหน่งนี้มีไว้ให้ฮันปู้ฟู่แค่คนเดียวเท่านั้น !!!
Related