บทที่ 281 เหตุผลที่ปฏิเสธ
“เข้าร่วมกองทัพอย่างนั้นหรือ?” ไป๋ชินหยุนพูด “คำเชิญจากกองทัพนั้นดีเลิศยิ่งกว่าคำเชิญจาก 5 สถาบันกระบี่รวมกันเสียอีก มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ปฏิเสธ”
ฮันปู้ฟู่ไม่ตอบคำใด
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง
“ศิษย์พี่ยังไม่ได้ตอบตกลงอย่างนั้นหรือ?” เยว่หงเซียงก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติเช่นกัน
ฮันปู้ฟู่พยักหน้า
ทุกคนพูดอะไรไม่ออก
หลังจากนั้น ภายในห้องโดยสารของรถม้าก็เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวาย
แต่ไม่ว่าจะถามสักเท่าไหร่ว่าเพราะเหตุใดฮันปู้ฟู่ถึงยังไม่ยอมรับข้อเสนอจากกองทัพ เขาก็ไม่เคยให้คำตอบเลยสักครั้งเดียว
…
วันต่อมา
แสงแดดสดใส
สายลมโชยพัด
ในอากาศปราศจากฝุ่น PM 2.5
ท่าเรือประจำเมืองหยุนเมิ่งมีผู้คนมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น
ห่างออกไปจากท่าเรือเป็นระยะทางหลายลี้ เรือรบหลวงระดับชั้นนายกองสิบลำจอดเรียงรายเว้นระยะห่างอยู่กลางทะเล มองดูไกลๆ ไม่ต่างจากอสูรกายเหล็กไหลที่ปรากฏตัวขึ้นมาจากโลกใต้สมุทร เพียงเฝ้ามองก็ทำให้ผู้คนหัวใจแทบหยุดเต้นแล้ว
บริเวณริมฝั่งในขณะนี้ ท่านเจ้าเมืองหลิงจุนเซวียน และหัวหน้าคณะอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ทั้งหก รวมถึงผู้บังคับบัญชาหน่วยนักรบเมฆาประจำเมือง ต่างก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
นอกจากนั้น บรรดาสำนักกระบี่ระดับสามัญชื่อดัง ล้วนแต่ส่งตัวแทนมาเฝ้าดูฝีมือของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนอย่างใกล้ชิด หวังหรู่อี้ก็คือหนึ่งในนั้น แต่สีหน้าของนางในวันนี้บอกถึงความไม่สบายใจอย่างชัดเจน เนื่องจากว่าก่อนพระอาทิตย์ตกดินเมื่อวานนี้ ฮันปู้ฟู่เดินทางมาเข้าพบนางด้วยตนเอง หลังจากขอโทษขอโพยอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ปฏิเสธคำเชิญของนางอย่างเป็นทางการ
นี่คือสิ่งที่หวังหรู่อี้ไม่คาดคิดมาก่อน
หวังหรู่อี้ไม่เชื่อว่าฮันปู้ฟู่จะมีเหตุผลที่ปฏิเสธข้อเสนอของสถาบันกระบี่หลวง
แต่เหตุผลนั้นมีอยู่จริงๆ
เพราะว่าเขากำลังจะเข้าร่วมกับกองทัพ
แต่หวังหรู่อี้ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ นางตัดสินใจเด็ดขาดไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรับตัวฮันปู้ฟู่เป็นลูกศิษย์ให้ได้ หวังหรู่อี้ตัดสินใจเดินทางไปเข้าพบองค์ชายเจ็ดที่พำนักอยู่ในเมือง และโน้มน้าวให้กองทัพยุติความสนใจในตัวเด็กหนุ่มไปก่อนชั่วคราว นางสัญญากับพระองค์ว่าหลังจากนี้อีกสามปี นางจะส่งฮันปู้ฟู่ในแบบฉบับมือกระบี่ผู้สมบูรณ์แบบให้แก่กองทัพด้วยตนเอง
แต่ความพยายามของหวังหรู่อี้ก็ล้มเหลว
นางถูกปฏิเสธด้วยประโยคเดียวว่า…
“จักรวรรดิไม่อาจรอได้ถึง 3 ปี”
ผู้ที่พูดประโยคนี้ออกมาไม่ใช่องค์ชายเจ็ด
คำพูดนี้เมื่อกล่าวออกมาจากปากคนผู้นั้น มีน้ำหนักมากกว่าออกมาจากปากองค์ชายเสียอีก
หวังหรู่อี้จึงได้แต่เดินทางกลับมาพร้อมกับความเศร้า
กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง
มีแต่ผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดเท่านั้นถึงจะมองเห็นภาพกว้างได้อย่างชัดเจน
แผ่นดินตงเต้ากำลังจะเผชิญหน้ากับพายุ
เมฆดำกำลังจะแผ่ปกคลุมทั่วทุกตัวเมือง
จักรวรรดิเป่ยไห่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายสายเลือดใหม่
ด้วยเหตุนี้ กฎการรับสมัครศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาต่างๆ จึงเปลี่ยนแปลงไป เพราะพวกเขาไม่อาจรอคอยวันเวลาได้อีก กว่าที่มือกระบี่ดาวรุ่งเหล่านี้จะเติบโตเต็มวัย ถึงตอนนั้นจักรวรรดิไม่ล่มสลายไปแล้วหรือ?
หวังหรู่อี้รับทราบเรื่องราวเหล่านี้เป็นอย่างดี
แสงแดดสดใส บรรยากาศอบอุ่น
แต่นางกลับเหน็บหนาวอย่างประหลาด
ทันใดนั้น หน้าจอการถ่ายทอดสดสิบจอก็สว่างไสวขึ้นมาในพริบตา
เมื่อคืนนี้ มีเจ้าหน้าที่ทำการติดตั้งหน้าจอถ่ายทอดสดบริเวณชายฝั่งอย่างขยันขันแข็ง และหน้าจอถ่ายทอดสดเหล่านี้จะแสดงภาพจากกระจกส่งสัญญาณที่อยู่ประจำเรือรบผู้เข้าแข่งขันทั้ง 10 ลำ
พิธีเปิดดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ผู้เข้าแข่งขันรอบสิบคนสุดท้ายปรากฏตัวบริเวณท่าเรือพร้อมด้วยสมาชิกกลุ่ม
พวกเขาทำพิธีจับสลากเลือกเรือรบของตนเอง
เมื่อพิธีจับสลากจบลง ชื่อของเรือรบแต่ละลำก็จะปรากฏขึ้นบนหน้าจอถ่ายทอดสด
แต่ไหนแต่ไรมา ผู้เข้าแข่งขันมีสิทธิ์ที่จะตั้งชื่อกลุ่มของตนเองเสมอ
และชื่อกลุ่มของพวกเขา ก็จะถูกนำมาใช้เป็นชื่อเรือ
ชาวเมืองที่มารวมตัวกันอยู่บริเวณท่าเรือ นั่งมองชื่อที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอด้วยความสนอกสนใจ และหลังจากนั้น ความตื่นเต้นก็โหมกระหน่ำใส่ทุกคนราวกับคลื่นสึนามิ
“ทีมไป๋หยุนของเฉาพั่วเถียนน่าจะแข็งแกร่งที่สุดแล้วกระมัง”
“จริงด้วยสิ สมาชิกของเขาแต่ละคน ต่างก็เป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดจากกลุ่มของตนเอง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหลินอี้โชคร้ายต้องพบกับเยว่เว่ยหยางในการประลอง เขาก็ต้องเป็นหนึ่งในสิบผู้เข้าแข่งขันรอบสุดท้ายแน่นอน”
“แล้วก็ยังมีตงฟางจัน เด็กคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังก่อนที่จะเริ่มการแข่งขันเสียอีก ว่ากันว่าเขามีฝีมือต่อสู้ไม่เป็นสองรองใคร”
“ฮ่าฮ่า ถ้าไม่เป็นสองรองใครจริงๆ เหตุไฉนถึงได้พ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉินอย่างนั้นเล่า”
“หลินเป่ยเฉินน่ะหรือ? เขาอาจแข็งแกร่งก็จริง แต่ดูสมาชิกของเขาแต่ละคนเสียก่อน นอกจากมี่หรู่หยานที่พอดูได้เพียงคนเดียวแล้ว คนที่เหลือต่างก็เป็นเศษขยะจากสถานศึกษากระบี่ที่สามทั้งนั้น!”
“เพราะว่าเขามีภาพลักษณ์เลวร้ายเกินไปน่ะสิ ถึงไม่มีใครอยากร่วมกลุ่มด้วย”
“เขาตั้งชื่อกลุ่มของตนเองว่าอะไรนะ? กลุ่มร้านขายอัญมณีหลิวไค? นี่เรียกว่าเป็นชื่อกลุ่มได้ด้วยหรือ?”
“ถ้าข้าจำไม่ผิด นี่มันเป็นชื่อร้านขายอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลเฟิงอวี่นี่นา”
“ให้ตายสิ เจ้าเด็กคนนี้มันฉวยโอกาสโฆษณาอีกแล้วใช่ไหม?”
สถานที่ซึ่งติดตั้งหน้าจอถ่ายทอดสดบริเวณท่าเรือ สามารถรองรับผู้ชมได้ประมาณ 15,000 คน ค่าตั๋วเข้ารับชมมีราคาเพียงหนึ่งเหรียญทองแดงเท่านั้น เรียกว่าถูกไม่ต่างจากได้เปล่า บัดนี้ ชาวเมืองหยุนเมิ่งถึง 70 ส่วนจึงมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ทั้งหมด
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองจึงได้รับความนิยมสูง
เพราะมันเป็นกิจกรรมที่ชาวเมืองให้ความสนใจ
ไม่กี่วันที่ผ่านมา บ่อนพนันใหญ่ๆ ในตัวเมืองได้ให้กำเนิดมหาเศรษฐีคนใหม่จากการแข่งขันครั้งนี้ขึ้นมาจำนวนมาก และผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน ก็มีสถานะโด่งดังไม่ต่างจากดาราใหญ่ในโลกมนุษย์
โดยเฉพาะคนที่มีบุคลิกเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านฝีมือ ความแข็งแกร่งหรืออารมณ์ขัน เมื่อสามารถเอาชนะใจชาวเมืองได้แล้ว เด็กหนุ่มหรือเด็กสาวคนนั้นก็จะมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก และก่อนที่จะเริ่มการแข่งขัน บ่อนพนันก็จะมีลูกค้าเข้ามาเดิมพันอย่างแน่นขนัด พวกเขาต่างชั่งข้อดีและข้อเสีย ก่อนที่จะตัดสินใจวางเงินเดิมพันในที่สุด
แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินมีผู้ติดตามอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
บัดนี้ ปรากฏเรือเล็กสิบลำ แล่นฝ่ากระแสคลื่นลม มุ่งหน้าตรงมายังพื้นที่ท่าเรือ
ผู้เข้าแข่งขัน 10 กลุ่มสุดท้ายต่างทยอยขึ้นเรือเล็กเหล่านั้น แล้วมันก็พุ่งเป็นลูกธนูสะท้อนกับประกายแสงอาทิตย์ ทะยานฝ่าคลื่นลม แล่นตรงไปยังเรือรบหลวงลำใหญ่ทั้งสิบลำที่จอดอยู่ในทะเล
ลมทะเลโชยพัด
หลินเป่ยเฉินยืนยิ้มแย้มอยู่บนเรือเล็กอย่างอารมณ์ดี
ก่อนหน้านี้ เขารับโฆษณามาสามตัว ประกอบไปด้วยหอการค้าสามพันโยชน์และร้านขายกระบี่อาจารย์ฟาน เหลือโฆษณาตัวสุดท้ายที่ยังไม่ได้เผยแพร่ให้ลูกค้า ก็คือร้านขายอัญมณีหลิวไค
หลังกลับมาจากการฝึกซ้อมพิเศษเมื่อวานนี้ หลินเป่ยเฉินก็สั่งให้หวังจงติดต่อไปยังเจ้าของร้านอัญมณีหลิวไค เพื่อขอเพิ่มเงินค่าโฆษณามากกว่าเดิมอีก 5 เท่า
ตอนแรกเจ้าของร้านโกรธมาก
แต่เมื่อได้ยินว่าชื่อร้านของตนเองจะกลายมาเป็นชื่อเรือของหลินเป่ยเฉิน เจ้าของร้านก็ยินดีจ่ายค่าโฆษณาให้เขาทั้งหมด 2,500 เหรียญทองคำโดยไม่ปริปากบ่น มิหนำซ้ำ ยังมอบอัญมณีมูลค่า 100 เหรียญทองคำให้แก่หลินเป่ยเฉินเป็นของสมนาคุณอีกด้วย
แล้วหลินเป่ยเฉินจะอารมณ์เสียได้อย่างไรในเมื่อเขาทำเงินได้ถึง 26 ล้านหยวน
เมื่อคืนนี้เขานอนหลับฝันหวานอยู่หลายรอบเลยทีเดียว
เรือเล็กนำพาพวกเขามาอยู่เคียงข้างเรือรบลำหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินและพรรคพวกใช้ทักษะของตนเองปีนป่ายเชือกขึ้นไปจากด้านข้างของตัวเรือ
“เรือใหญ่เกินไปไหมเนี่ย”
ไป๋ชินหยุนอุทานออกมาเมื่อกวาดตามองพื้นที่บนดาดฟ้าเรือ
หลินเป่ยเฉินเองก็ถึงกับตกตะลึงไม่แพ้กัน
ความใหญ่โตของมันทำให้เด็กหนุ่มนึกถึงเรือรบสมัยใหม่ในภาพยนตร์แนวต่อสู้บนโลกมนุษย์ นี่คือครั้งแรกที่ทำให้เขารู้แล้วว่ากระทรวงกลาโหมมีอำนาจมากมายขนาดไหนในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ พวกเขาต่างก็มีทรัพยากรอยู่ในมืออย่างเพียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็นผู้คน ของวิเศษ หรือแม้แต่เทคโนโลยีที่ไม่น่ามีอยู่จริงมันก็เป็นไปได้
ณ เสากระโดงเรือที่สูงที่สุด มีป้ายข้อความแขวนไว้อ่านได้ความว่า ‘ร้านขายอัญมณีหลิวไค’
มี่หรู่หยาน เยว่หงเซียงและคนอื่นๆ ยกมือกุมหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
ชื่อนี้… ไม่ได้ดีไปกว่าชื่ออื่นที่หลินเป่ยเฉินเคยตั้งมาเลย
ช่างน่าอายจริงๆ
แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงความมั่นคงของเรือรบหลวงขนาดใหญ่ยักษ์ อาการกลัวทะเลของเขาก็ดูจะลดน้อยลงไปหลายเท่า
เขาเดินเข้ามาบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าขอเตือนพวกเจ้าเลยนะ วันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าต้องปกป้องข้า อย่าปล่อยให้ข้าตกทะเลเด็ดขาด”
คำพูดของเขาดังผ่านหน้าจอถ่ายทอดสดที่มีคนดูรับชมกว่าหมื่นชีวิตบริเวณท่าเรือ
เสียงหัวเราะขบขันดังกึกก้องกังวาน
นั่นคือประโยคแรกที่เด็กหนุ่มพูดออกมาเมื่อขึ้นไปอยู่บนเรือ ไม่มีอะไรจะน่าขายหน้าไปมากกว่านี้อีกแล้ว
Related