บทที่ 288 จดหมายจากเบื้องบน
หากบุคคลระดับสูงเจตนาทำตัวชั่วร้าย นั่นต้องมีความเป็นไปได้แค่เหตุผลเดียวเท่านั้น…
ถังกู่จินต้องการจะประกาศความเป็นศัตรูให้ชัดเจน
ลึกๆ แล้ว หลิงจุนเซวียนรังเกียจคนอย่างถังกู่จินที่สุด
เท่าที่เขาได้ข้อมูลมา ถังกู่จินเกิดในตระกูลขุนนางใหญ่โต ตำแหน่งที่ได้มาล้วนแล้วแต่ใช้เส้นสายความช่วยเหลือจากคนในวังหลวงทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าหลิงจุนเซวียนจะปฏิเสธความสามารถของถังกู่จิน แต่เขาไม่ชอบวิธีการที่อีกฝ่ายหนึ่งได้มาซึ่งตำแหน่งโดยไม่ต้องแข่งขันเท่านั้นเอง
แต่สิ่งที่ถังกู่จินพูดออกมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
จักรวรรดิเป่ยไห่เป็นดินแดนของมือกระบี่
จักรวรรดิจี้กวงเป็นดินแดนของนักธนู
การนำเรื่องที่หลินเป่ยเฉินใช้ธนูเป็นอาวุธคู่กายมาโจมตี ถือว่าเป็นการหยิบยกเรื่องราวมาโจมตีได้ถูกประเด็นอย่างยิ่ง
แต่เมื่อคำพูดเหล่านั้นหลุดออกมาจากปากของผู้ตรวจการมณฑล หลิงจุนเซวียนจึงรู้สึกไม่ชอบใจ เดิมทีนั้นเขาก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่แล้วที่ทางเบื้องบนส่งคนจากกระทรวงบริหารงานภายในมาสืบสวนคดีฆาตกรรม แทนที่จะส่งคนจากหน่วยมือปราบของวังหลวงอย่างที่เคยทำมา
หากจะเปรียบเปรยไปแล้ว มันก็เหมือนการส่งลูกไก่ออกไปทำหน้าที่สุนัขต้อนฝูงแกะประมาณนั้น
“ทำไมเล่า? หรือว่าหลินเป่ยเฉินมีฝีมือกระบี่แข็งแกร่งทัดเทียมฟ้าดินแล้ว?” ถังกู่จินพูดเสียงเรียบ “ได้ยินมาว่าเขาเป็นบุตรชายของนักโทษหนีคดีหลินจิ้นหนานด้วยนี่นา หรือว่าเขาสืบทอดวิชากระบี่พิฆาตศัตรูของบิดามาด้วย?”
หลิงจุนเซวียนปฏิเสธว่า “เปล่าขอรับ”
แต่เขาก็ไม่อยากพูดคุยกับผู้ตรวจการมณฑลคนนี้อีกแล้ว
ในระหว่างที่พูดคุยกันนั้น ดูเหมือนว่าถังกู่จินจะไม่สนใจอากัปกิริยาไม่รับแขกของหลิงจุนเซวียนสักเท่าไหร่ เขายิ้มออกมาเล็กน้อยและจ้องมองหน้าจอถ่ายทอดสด ดวงตาลุกวาว “ร้านขายอัญมณีหลิวไค? นั่นคือชื่อกลุ่มของเขาหรือ? ทำไมเขาถึงได้ตั้งชื่ออย่างนั้น?”
หลิงจุนเซวียนแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะเขาขี้เกียจหาคำตอบให้อีกฝ่ายพอใจ
เขาแน่ใจว่าถังกู่จินตั้งใจพูดเรื่องนี้ออกมาเพื่อโจมตีหลินเป่ยเฉินอย่างต่อเนื่อง และมันจะเป็นการประกาศให้เจ้าหน้าที่ทุกคนในเมืองหยุนเมิ่งรับทราบว่า พวกเขาคือผู้ที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างผู้ตรวจการมณฑลอย่างสมบูรณ์แบบ
“นั่นคือชื่อร้านขายอัญมณีในตัวเมือง หลินเป่ยเฉินรับเงินค่าโฆษณามาจากพวกเขาน่ะขอรับ…”
เฉินจือเจี๋ย เจ้าหน้าที่แผนกบริหารงานภายในจวนผู้ว่า รับหน้าที่อธิบาย
ในเมื่อท่านเจ้าเมืองไม่อยากพูด เขาก็ต้องเป็นคนพูดเอง
“มีเรื่องอย่างนั้นด้วยหรือ?”
ใบหน้าที่ซูบตอบขาวซีดของถังกู่จินปรากฏความประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย “เขาถือโอกาสรับเงินโฆษณาในการแข่งขันที่ศักดิ์สิทธิ์และมีเกียรติที่สุดในจักรวรรดิเนี่ยนะ? แล้วพวกเจ้ายังอนุญาตให้เขาแข่งขันต่อไปได้อีก ฮ่าฮ่า เมืองหยุนเมิ่งของพวกเจ้านับว่าเปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ”
เฉินจือเจี๋ยมีเหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผาก ไม่รู้ว่าควรตอบรับฝ่ายตรงข้ามอย่างไรดี
หลิงจุนเซวียนหัวเราะในลำคอเล็กน้อยและกล่าวว่า “หน้าที่ของใต้เท้าคือสืบสวนคดีฆาตกรรมให้ดีขอรับ อย่ามายุ่งเรื่องกิจการของกระทรวงศึกษาเขาเลย”
บรรดาเจ้าหน้าที่ซึ่งนั่งอยู่แถวนั้นหลายสิบคน พากันหยุดชะงัก นั่งตัวแข็งทื่อ
ท่านเจ้าเมืองของพวกเขาเคยเป็นคนที่อารมณ์ดีตลอดเวลา แล้วเหตุไฉน ท่านถึงได้ปากคอเราะรายขึ้นมากะทันหันอย่างนี้?
คำพูดของหลิงจุนเซวียนถึงจะไม่มีคำหยาบสักคำเดียว แต่มันก็ไม่ต่างจากการยกมือชี้หน้าด่ามารดาของถังกู่จินแล้ว
ผู้ตรวจการมณฑลยิ้มมุมปาก ในดวงตาปรากฏประกายวูบวาบขณะกล่าวว่า “หุหุ ในเมื่อท่านเจ้าเมืองไม่ว่าอะไร ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้ เรื่องนี้ข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยก็แล้วกัน”
สถานการณ์คลี่คลายลงโดยทันที
ก่อนหน้านี้เปรียบเสมือนท้องฟ้าดำมืดกำลังจะมีพายุโหมกระหน่ำ แต่แล้วอยู่ดีๆ สายลมก็มาพัดพาก้อนเมฆทั้งหมดจางหายไป
หลังจากนั้น ถังกู่จินก็ไม่ได้พูดถึงหลินเป่ยเฉินออกมาอีกเลย
เขาเปลี่ยนความสนใจไปที่เฉาพั่วเถียนซึ่งปรากฏตัวอยู่บนหน้าจอถ่ายทอดสด “เด็กหนุ่มคนนี้มีฝีมือแข็งแกร่ง ดูเอาจากวิชากระบี่ของเขาแล้ว น่าจะเล่าเรียนมาจากเมืองไป๋หยุน คิดไม่ถึงเลยนะว่าเด็กหนุ่มในเมืองหยุนเมิ่งจะได้มีโอกาสไปร่ำเรียนถึงที่นั่น นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ”
หลิงจุนเซวียนทำหูทวนลม มองการแข่งขันบนหน้าจอต่อไป
ถังกู่จินหัวเราะในลำคอ และเป็นหน้าที่ของเฉินจือเจี๋ยที่ต้องอธิบายข้อมูลของเฉาพั่วเถียนให้เขารับฟัง
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มผู้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการมณฑลก็กล่าวออกมาอีกครั้ง “ที่แท้เขาก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ไป๋ไห่ชิน เซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุนนี่เอง และเขาก็ศึกษาต่อที่สถานศึกษากระบี่ที่หกแค่ชั่วคราวเท่านั้น ฮ่าฮ่า นับว่าอาจารย์ใหญ่ของสถาบันแห่งนั้นใจกล้าใช้ได้เลยนะ แต่ในเมื่ออาจารย์ไป๋มาร่วมชมการแข่งขันด้วย แล้วทำไมไม่เชิญตัวท่านมาร่วมพูดคุยกันสักหน่อยเล่า?”
เฉินจือเจี๋ยหันขวับมามองหน้าหลิงจุนเซวียน
ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองยกมืออนุญาตด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เฉินจือเจี๋ยจึงส่งคนให้ไปเชิญตัวไป๋ไห่ชินมาร่วมวงสนทนา
ถังกู่จินลุกขึ้นยืนทักทายชายชราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงอาจารย์ไป๋มานานแล้ว วันนี้มีวาสนาได้พบเจอตัวจริงช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก เชิญนั่งก่อนขอรับ… อ้าว ส่วนคนผู้นี้คือ… ?”
“นี่คือหลินเจี้ยนหนาน หัวหน้าตระกูลหลินคนปัจจุบันในเมืองหยุนเมิ่ง เขามีความปรารถนาที่จะได้พบท่านผู้ตรวจการมานานแล้ว ข้าจึงถือวิสาสะเชิญเขามาโดยไม่ได้ขออนุญาตล่วงหน้า…” ไป๋ไห่ชินแนะนำตัวชายอีกคนที่เดินตามมาด้านหลัง
รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าถังกู่จินตอนที่พูดว่า “แหม ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสหลินนี่เอง ได้ข่าวว่าเขาสร้างความดีความชอบให้กับจักรวรรดิของเรามากมาย และในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาก็เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่างเช่นการเปิดโปงความผิดทั้งหมดของหลินจิ้นหนานผู้ก่อกบฏคนนั้น”
หลินเจี้ยนหนานยิ้มแย้มปากแทบฉีกถึงรูหู
“ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าบุตรชายของท่าน ก็เข้าร่วมการแข่งขันศึกชิงธงในฐานะสมาชิกกลุ่มของเฉาพั่วเถียนด้วยใช่ไหม?”
เมื่อพูดถึงเฉาพั่วเถียน ถังกู่จินก็มีสีหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็นคนละคน ทำให้บรรยากาศรอบกายสดใสเหมือนฤดูใบไม้ผลิ
หากผู้คนไม่เคยเห็นกิริยาหยาบคายต่อหลินเป่ยเฉินก่อนหน้านี้ ก็คงนึกว่าถังกู่จินเป็นชายหนุ่มจิตใจดี มีความโอบอ้อมอารีต่อทุกคน
นับว่าถังกู่จินมีบุคลิกที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
หลินเจี้ยนหนานรีบกล่าวว่า “บุตรชายของข้าอยู่ในกลุ่มไป๋หยุนจริงๆ ขอรับ ถึงเขาจะเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ แต่ก็ต้องขอบคุณความเมตตาของนายน้อยเฉาพั่วเถียน ที่ทำให้บุตรชายของข้ามีวันนี้”
ถังกู่จินโบกไม้โบกมือ “คนมีพรสวรรค์อย่างบุตรชายของท่าน อย่างไรก็ได้รับความสนใจอยู่แล้ว เขาสมควรมีส่วนร่วมในการแข่งขัน… อ้อ จริงด้วยสิ ความจริงนอกจากข้ามาที่นี่เพื่อสืบคดีฆาตกรรม ข้าก็มาเพื่อพบท่านโดยเฉพาะ มีจดหมายจากเบื้องบนถูกส่งมาหาผู้อาวุโสหลินหนึ่งฉบับน่ะ”
พูดจบ บนฝ่ามือของผู้ตรวจการมณฑลก็มีแสงสว่างวูบวาบ แล้วลมหมุนสีแดงเพลิงขนาดเล็กก็พ่นจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอากาศธาตุ
หลินเจี้ยนหนานยื่นมือที่สั่นเทาออกไปรับจดหมายฉบับนั้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ใต้เท้าขอรับ หรือว่า…หรือว่านี่จะเป็น…”
ถังกู่จินหัวเราะอย่างถูกใจ “ใช่แล้ว นี่คือจดหมายการแต่งตั้งให้ผู้อาวุโสหลินดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางนักรบแห่งสวรรค์คนต่อไป นี่คือโอกาสที่ทางเบื้องบนมองเห็นว่า ท่านจะสามารถลบล้างความชั่วร้ายที่บิดาของหลินเป่ยเฉินได้ก่อไว้ และถือเป็นโอกาสดีที่ท่านจะได้จัดระเบียบตระกูลหลินใหม่ทั้งหมด”
หลินเจี้ยนหนานเบิกตาโตด้วยความลิงโลดใจ
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว
ความพยายามที่ต้องแลกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็นทั้งหมด มีผลลัพธ์อยู่ที่จดหมายน้อยฉบับนี้เองหรือ?
“ขอบคุณใต้เท้ามากขอรับ”
หลินเจี้ยนหนานแทบจะคุกเข่าลงไปแล้ว
ถังกู่จินยิ้มแย้มอย่างใจดี พูดว่า “ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก นี่เป็นเพราะผู้อาวุโสหลินมีความภักดีต่อจักรวรรดิของเรา จนเบื้องบนมองเห็นคุณงามความดีไงล่ะ”
ตลอดเวลาเหล่านั้น หลิงจุนเซวียนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำเดียว
เขาได้แต่อ้าปากหาวด้วยความเบื่อหน่าย
…
ในเวลาเดียวกันนี้
กลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่
เรือรบ 2 ลำได้แล่นมาเผชิญหน้ากัน
มันคือการปะทะกันระหว่างเรือรบบดขยี้หลินเป่ยเฉินกับเรือรบไป๋หยุน
เรือรบสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่งกับเรือรบร้านขายอัญมณีหลิวไค
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่านี่คือการปะทะกันระหว่าง
เฉาพั่วเถียนกับเซียวปิง
หลินเป่ยเฉินกับหวังซินอวี่
การแข่งขันดำเนินมาถึงตอนนี้ ไม่มีเรือลำไหนจะแข็งแกร่งเท่าเรือ 4 ลำนี้อีกแล้ว
เปรียบเสมือนการพบกันของมวยถูกคู่
ทำให้บรรดาคนดูรู้สึกได้ถึงคลื่นแห่งความตื่นเต้นที่โหมกระหน่ำซัดเข้ามาผ่านทางหน้าจอ !
Related