บทที่ 298 ทำไมต้องรนหาที่ตายด้วย
“ที่ข้าตั้งชื่อแบบนี้ก็เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจ” เซียวปิงพูดด้วยสีหน้าแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ “สาวน้อยและท่านพี่เป่ยเฉินคงไม่เข้าใจว่ามันยากลำบากขนาดไหนสำหรับลูกศิษย์ชั้นต่ำอย่างข้า ที่จะมีคนหันมาเหลียวมอง…”
พูดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็มีน้ำตาคลอเต็มเบ้า “ตลอดการแข่งขันที่ผ่านมา ข้าพยายามเพิ่มความโด่งดังให้ตนเองมาเสมอ เมื่อมีโอกาสได้เข้ารอบชิงธง ข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้วิธีนี้เพื่อให้ผู้คนหันมาสนใจบ้าง อย่างน้อยก็น่าจะได้รับโฆษณาสักตัวสองตัวเป็นเงินติดกระเป๋ากลับบ้าน”
นี่คือ… เหตุผลที่พอเข้าใจได้
พวกของมี่หรู่หยานหันกลับมามองที่หลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์บนเสากระโดงเรือ หัวคิ้วของเขากำลังขมวดมุ่น
ไอ้เด็กอ้วนคนนี้มันเป็นใครมาจากไหนกันนะ?
กล้าดียังไงมาลูบเหลี่ยมเขา?
แถมยังพูดแบบไม่รู้สึกผิดอีกด้วย?
“จัดการมันแล้วเอาธงประจำเรือมาให้ได้”
หลินเป่ยเฉินตะโกนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
เมื่อเห็นพฤติกรรมของเซียวปิง หลินเป่ยเฉินก็อดอุทานขึ้นในใจไม่ได้ว่าแย่แล้ว
ไอ้หมอนี่มันพยายามจะแย่งชิงตำแหน่งคนกะล่อนอันดับหนึ่งประจำเมืองไปจากเขาชัดๆ
นอกจากจะมีพฤติกรรมแปลกประหลาดแล้ว วิธีการพูดการจาก็แปลกประหลาดด้วย ขนาดชื่อยังไม่เหมือนชาวบ้าน แซ่เซียว นามปิง ตั้งแต่ที่ทะลุมิติมาอยู่โลกจอมยุทธ์แห่งนี้ หลินเป่ยเฉินยังไม่เคยพบเจอใครมีชื่อเสียงเรียงนามที่น่าตลกขนาดนี้มาก่อน
“พี่ใหญ่ อย่าทำอะไรพวกข้าเลยนะขอรับ”
เซียวปิงใช้สองมือประคองธงผืนหนึ่งออกมาข้างหน้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “บอกแล้วไงว่าท่านเป็นวีรบุรุษประจำใจของข้า… พี่ใหญ่หลิน ท่านไม่ต้องแย่งชิงผืนธงไปจากข้าหรอก แต่ข้าจะขอมอบมันให้แก่พวกท่านด้วยมือของข้าเอง”
หืม?
น่าสนใจดีนี่นา
หลินเป่ยเฉินรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ผู้คนจะมองเขาเป็นตัววายร้าย
แต่กลับมีคนชื่นชมเขาเป็นวีรบุรุษประจำใจด้วยหรือ?
“เจ้าแซ่เซียว มีนามว่าปิง แล้วเด็กหนุ่มที่ชื่อเซียวซางเป็นอะไรกับเจ้าหรือเปล่า?”
เซียวปิงตอบโดยไม่ลังเลว่า “อ๋อ เจ้านั่นเป็นน้องชายที่ไม่ได้เรื่องของข้าเองขอรับ…พี่ใหญ่อย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับมันเด็ดขาด มันมีความฝันที่อยากจะเป็นคนเสเพลอันดับหนึ่งประจำเมืองหยุนเมิ่ง ก่อนเริ่มการแข่งขันเพียงไม่กี่วัน เซียวซางถึงกับมาหาข้าพร้อมด้วยเงินจำนวน 100 เหรียญทองคำ เป็นค่าจ้างให้ข้าช่วยแก้แค้นท่านให้กับมัน…”
…
ณ ท่าเรือบริเวณที่นั่งแขกคนสำคัญ
เซียวซางผู้นั่งอยู่ด้านหลังบิดาโกรธแค้นจนใบหน้าเขียวคล้ำไปหมดแล้ว
ให้ตายเถอะ
นี่เขาถูกหักหลังอย่างนั้นหรือ?
เซียวปิงรับเงินจากเขาไปตั้ง 500 เหรียญทองคำ แต่กลับบอกว่ารับไปแค่ 100 เหรียญ คนผู้นี้ยังจะนับว่าเป็นมนุษย์อีกได้อย่างไร
เซียวหยุนหลงผู้เป็นบิดาปากกระตุกอย่างรุนแรง ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองบุตรชายคนเล็กที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“ท่านพ่อ… ได้โปรดใจเย็นก่อน”
เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิต เซียวซางก็ไม่กล้ารักษาท่าทีเยือกเย็นอีกต่อไปแล้ว
“เซียวปิงมาจากตระกูลของซุนฮัวใช่หรือไม่? เขามีบุคลิกไม่เหมือนใครจริงๆ” ผู้อาวุโสประจำตระกูลเซียวที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดพูดพร้อมกับลูบหนวดเครา
เซียวหยุนหลงมีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น ก่อนจะหันกลับมาปั้นยิ้มตอบไปว่า “กราบเรียนท่านพ่อ เขาเป็นบุตรชายของน้องเล็ก เพิ่งเดินทางมาที่เมืองหยุนเมิ่งเมื่อ 3 ปีก่อน และอาศัยอยู่ภายในจวนของข้าตลอดมา ซึ่งตัวเขานั้นก็ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในยอดอัจฉริยะประจำตระกูลของเราขอรับ”
แม่เฒ่าใหญ่ตระกูลเซียวพยักหน้า พูดว่า “จริงด้วยสิ ซุนฮัวกับบุตรชายของนางจากที่นี่ไปเนิ่นนาน ทำไมไม่แวะเวียนมาเยี่ยมกันบ้างเลยนะ? เอาไว้การแข่งขันครั้งนี้จบลงเมื่อไหร่ เรียกให้พวกนางมาเจอข้าด้วยก็แล้วกัน”
“รับทราบขอรับท่านแม่”
เซียวหยุนหลงพูดโดยเร็ว
…
บนเรือร้านขายอัญมณีหลิวไค
หลินเป่ยเฉินกำลังทำอะไรไม่ถูก
เขาแค่อยากรู้เท่านั้นเองว่าเพราะอะไรเซียวปิงถึงตั้งชื่อเรือพิลึกพิลั่นขนาดนี้
และถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาดูถูกเขา หลินเป่ยเฉินก็จะทำให้เซียวปิงต้องชดใช้
หลินเป่ยเฉินมีเจตนาที่จะไถเงินเจ้าเด็กอ้วนนั่นเอง
แต่ใครจะรู้เลยว่าเซียวปิงกลับลื่นยิ่งกว่าปลาไหล พูดออกมาด้วยน้ำเสียงชวนฟังว่า “พี่ใหญ่ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วขอรับ ข้าเข้าใจดี ข้าเข้าใจดี… เอาเป็นว่าเงินที่ข้ารับมาเพื่อแก้แค้นท่าน เรามาแบ่งกันคนละครึ่งดีไหมขอรับ…”
พูดจบ เซียวปิงก็ยื่นถุงใส่เหรียญทองคำ 50 เหรียญออกมาข้างหน้า
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ไอ้อ้วนนี่มันอ่านใจเขาได้หรือไง?
ไม่ธรรมดาแล้วสิ
เขายกมือส่งสัญญาณให้ฮันปู้ฟู่รับถุงเงินเอาไว้ หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็พยายามคิดหาข้ออ้างที่จะใช้เงินจากเด็กหนุ่มร่างอ้วนต่อไป แต่จนแล้วจนรอดเขาก็หาเหตุผลไม่ได้ และอีกอย่าง เซียวปิงก็เห็นเขาเป็นวีรบุรุษประจำใจด้วยนี่นา…
“เอาธงมาแล้วถอนกำลัง” หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
ไป๋ชินหยุนหันกลับมาโวยวายว่า “หมายความว่าอย่างไร? ข้าจะไม่ได้สู้อีกแล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เก็บพลังของเจ้าเอาไว้ก่อน…”
แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ เยว่หงเซียงก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้าและโพล่งออกมาว่า “เดี๋ยวก่อนนะ ธงผืนนี้ผิดปกติ…ดูเหมือนว่ามันจะเป็นของปลอม”
“ว่าไงนะ?”
เซียวปิงร้องเสียงหลงเหมือนหมูถูกเชือด “มันจะเป็นของปลอมไปได้อย่างไร? ก็ในเมื่อข้าถักมันขึ้นมาเองกับมือ ข้าบรรจงทำให้มันเหมือนกับของจริงทุกประการเลยนะ…”
ที่ด้านหลังของเด็กหนุ่มร่างอ้วน บรรดาสมาชิกร่วมกลุ่มของเขาทั้งสี่คนได้แต่ยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าเอาไว้ด้วยความอับอาย
ตกลงว่าเซียวปิงเป็นคนฉลาดหรือคนโง่กันแน่?
ในเมื่อธงผืนนี้เขาถักขึ้นมาเองกับมือ แล้วมันจะเป็นของจริงไปได้อย่างไร?
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็คำรามออกมาด้วยความฉุนเฉียว “บัดซบ เจ้ากล้าใช้ธงปลอมมาหลอกข้าอย่างนั้นหรือ?”
พลัน เขาหันหน้าไปหาผู้สังเกตการณ์ที่ประจำการอยู่บนเรือและถามว่า “ใต้เท้าขอรับ แบบนี้ถือว่าเซียวปิงทำผิดกติกาหรือไม่? ท่านน่าจะปรับให้เขาแพ้และส่งมอบธงของจริงมาให้ข้าเลยดีกว่า”
ผู้สังเกตการณ์ปิดตาลงแกล้งหลับ ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
เซียวปิงเบิกตาโตและพูดว่า “พี่ใหญ่ ท่านเป็นถึงวีรบุรุษประจำใจของข้าเชียวนะ ข้าจะทำอย่างนั้นกับท่านได้อย่างไร”
หลินเป่ยเฉินตวาดว่า “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว ส่งธงของจริงออกมาเสียที ไม่งั้นข้าจะจัดการเจ้าให้อ่วมไปเลย”
ไป๋ชินหยุนตะโกนออกมาด้วยความดีใจว่า “เซียวปิง เจ้าอย่าไปยอมเขา เรามาสู้กันเถอะ ใครไม่แพ้ในช่วงเวลา 1 ก้านธูปถือว่าเป็นผู้ชนะดีไหม ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“เฮ้อ” เซียวปิงถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า
เขาถ่มน้ำลายใส่มือตนเองและใช้มันเสยผมเพื่อให้มันวาวดังเดิม ก่อนพูดว่า
“ข้าอุตส่าห์มอบทางออกให้แก่พวกท่านแล้วนะ ทำไมถึงไม่ยอมจากไปแต่โดยดี? นี่บังคับให้ข้าต้องแสดงฝีมือออกมาแล้ว ข้าอุตส่าห์สัญญากับท่านแม่ว่าจะไม่แสดงฝีมือให้ใครเห็นง่ายๆ มิเช่นนั้น ข้าก็ต้องฆ่าคนอีก พี่เป่ยเฉิน ทำไมท่านต้องรนหาที่ตายด้วย?”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
วูบ!
ดาดฟ้าเรือบดขยี้หลินเป่ยเฉินก็ยุบตัวลงไปเล็กน้อย
ปรากฏว่าเซียวปิงกระทืบเท้าพุ่งตัวขึ้นไปในอากาศด้วยความรวดเร็วเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่ เขาข้ามระยะห่างของทะเลนับสิบวาและลอยตรงเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์บนเสากระโดงเรือ
หลินเป่ยเฉินหรี่ตาลงในทันใด
กระโดดหนึ่งครั้งก็สามารถมาได้ไกลขนาดนี้ มิหนำซ้ำ ระดับความสูงยังไม่ลดลงอีกด้วย
ไอ้อ้วนคนนี้ต้องมีพละกำลังมหาศาลขนาดไหนกันนะ
แล้วที่ผ่านมาหมอนี่ปิดบังฝีมือที่แท้จริงมาตลอดอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินไม่กล้าประมาทอีกต่อไป เขาย่อเข่าลงเล็กน้อย รวบรวมพลังลมปราณ และกระแทกฝ่ามือออกไปข้างหน้าด้วยกระบวนท่าจากวิชาฝ่ามือเทพเจ้า ร้อยก้าวสู่ปรภพ!
พลังลมปราณพุ่งออกไปเป็นเกลียวคลื่นพายุหมุน
ครืน! ครืน! ครืน!
เรือรบถึงกับสั่นสะเทือนไปทั้งลำ
เซียวปิงส่งเสียงคำรามในลำคอ ก่อนจะยกมือขึ้นคว้าสายยึดของเสากระโดงเรือเส้นหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวในอากาศได้อย่างคล่องแคล่วราวกับนกนางนวล ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็กระแทกฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง ปล่อยพลังลมปราณออกมาต้านทานการโจมตีจากหลินเป่ยเฉิน ก่อให้เกิดการระเบิดขนาดใหญ่เสียงดังตูมตาม
และในพริบตาต่อมา เซียวปิงก็มาลอยตัวอยู่เหนือศีรษะของหลินเป่ยเฉินแล้ว
“ลองชิมหมัดของข้าดูหน่อยเป็นไร”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนแสยะยิ้ม เงื้อหมัดขึ้นในอากาศ เมื่อกระแทกหมัดต่อยลงมา น้ำหนักหมัดของเขาก็เทียบเท่าได้กับก้อนหินใหญ่ยักษ์นับหมื่นชั่งเลยทีเดียว !!!
Related