บทที่ 2 ตัวร้ายแห่งเมืองหยุนเมิ่ง
ความตื่นเต้นเกี่ยวกับการสอบกลางภาคของหลินเป่ยเฉินและเพื่อนร่วมห้องของเขานั้นต่างกันราวกับอยู่คนละโลก
ศิษย์แต่ละคนต่างตื่นเต้นกับงานประลองที่จะมาถึง บ้างก็จับกลุ่มกันพูดคุยกับเพื่อน ๆ
“นี่เป็นโอกาสที่ดีมากเลยนะทุกคน ข้าน่ะ…จะต้องอยู่ใน 30 อันดับแรกของชั้นปีที่ 2 ประจำการสอบครั้งนี้ให้ได้”
“ฮ่า ๆ วิชากระบี่ของข้าน่ะ พัฒนาขึ้นถึงชั้นที่ 6 แล้วนะ ข้าจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 3 ให้จงได้ และหากข้าสามารถเรียนวิชากระบี่สามพิฆาตของอาจารย์ติงได้สำเร็จ ข้าก็จะได้กลายเป็นที่จับตามองและเป็นหนึ่งในตัวเต็งของชั้นปีเรา แล้วจากนั้น ข้าก็จะเป็นตัวแทนสถาบัน ไปร่วมการแข่งขันเฟ้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองหยุนเมิ่ง”
“เจ้านี่เป็นเด็กน้อยรึยังไง คิดว่าตัวเองจะได้เข้าร่วมการทดสอบประจำเมืองจริง ๆ งั้นเหรอ”
“นั่นสิ นอกจากสถานศึกษากระบี่หลวงที่มีแต่พวกหัวกะทิของเมืองหยุนเมิ่ง ก็ยังมีสถานศึกษากระบี่อีก 6 แห่ง และพวกสำนักยุทธ์อิสระอีก นับดูจำนวนคนในช่วงอายุเท่า ๆ เราน่ะ มีพวกหัวกะทิมากกว่า 500 คน แถมแต่ละคนเป็นอัจฉริยะทั้งนั้น ต่อให้เจ้าฝึกวิชากระบี่ไปจนถึงชั้นที่ 9 และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 3 ได้ก็เถอะ หรือต่อให้เจ้าได้เข้าร่วมการแข่งขันประจำเมืองด้วยก็ได้ ยังไงเจ้าก็เละอยู่ดี เพราะเจ้าน่ะ อ่อนแอเกินกว่าจะสู้กับพวกหัวกะทิได้อยู่แล้ว”
“เฮอะ…หม่าเชียนจวิน เจ้าโหดร้ายเกินไปแล้ว ไม่เห็นจะต้องทำลายความฝันข้าขนาดนั้นเลยนี่”
“แหม แต่เอาจริง ๆ สถานศึกษากระบี่ที่สามของเรา เหมือนจะไม่มีใครมีคุณสมบัติมากพอ ที่จะร่วมการแข่งขันประจำเมืองหยุนเมิ่งมาตั้ง 3 ปีแล้วนะ”
“จริงด้วยสิ ทำไมมันถึงได้ดูสิ้นหวังแบบนี้กัน!”
“ไม่ใช่แค่นั้น ลองนึกดูสิว่าถึงเราจะผ่านเข้ารอบการประลองความสามารถประจำเมืองได้ แต่สถาบันของเราไม่มีใครผ่านเข้ารอบการแข่งขันระดับมณฑลมา 10 ปีแล้ว ทีนี้เจ้าก็พูดคำว่าสิ้นหวังได้เต็มปากแล้วละ”
“ยังไงก็เถอะ อู๋เซี่ยวฟาง จากห้อง 1 ซือซินหลิน จากห้อง 5 มู่ซินเยว่ จากห้อง 6 แล้วก็ อู่สี่ จากห้อง 9 ดูเหมือนจะเป็นอัจฉริยะแค่ไม่กี่คนของโรงเรียนเราในรอบ 20 ปีเลยนะ บางทีพวกเขาอาจจะมีโอกาสก็ได้”
ศิษย์แต่ละคนต่างพูดคุยกันอย่างออกรส
กลุ่มลูกศิษย์ชายหญิงอายุ 12 ปีต่างก็รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ พูดคุยบ้าง หัวเราะบ้าง เติมเต็มห้องเรียนไปด้วยบรรยากาศแห่งความสดใสและมีชีวิตชีวา
มีเพียงรัศมีหนึ่งผิงรอบ ๆ ตัวหลินเป่ยเฉินเท่านั้นที่ว่างเปล่า ราวกับเป็นห้องเรียนคนละห้อง ไม่ได้มีบรรยากาศความสดใสแผ่เข้ามาถึงข้างกายเขาเลย
ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เขาหรอก
ถ้าจะให้ว่ากันตามตรง เด็กทุกคนกลัวที่จะเข้าใกล้เขาต่างหาก
คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้
เพราะว่าชื่อเสียงของหลินเป่ยเฉินโด่งดังมานานแล้ว
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะวาร์ปข้ามมิติมาที่โลกใบนี้ ร่างกายนี้เคยเป็นของบุตรชายขุนนางนักรบสวรรค์ นามว่าหลินจิ้นหนาน ผู้เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดผู้ฝึกยุทธ์แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่
หลินจิ้นหนานเป็นพ่อหม้ายวัยกลางคน มีลูกชายและลูกสาวอย่างละคน
ลูกสาวคนโตของเขาชื่อ หลินถินชาง
เด็กสาวเป็นอัจฉริยะที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ เรียกว่าเป็นตำนานแห่งเมืองนี้เลยก็ว่าได้
ในตอนอายุ 3 ขวบ นางได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 1
ในตอนอายุ 6 ขวบ นางได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 3
ในตอนอายุ 10 ขวบ นางได้สำเร็จระดับขั้นผู้ฝึกยุทธ์ และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์
ปีนี้ นางมีอายุได้ 16 ปี เด็กสาวกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เด็กที่สุดของสถานศึกษากระบี่หลวงแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่
ตั้งแต่วันแรกที่หลินถินชางเข้าสถานศึกษา ในทุกครั้งที่นางเข้าร่วมการประลองในระดับเมือง ระดับมณฑล หรือการประลองระหว่างดินแดน เด็กสาวล้วนเป็นผู้ชนะทุกครั้ง ความสามารถของนางนั้นส่องประกายสว่างไสวราวกับบุตรีแห่งดวงอาทิตย์ก็ไม่ปาน
ผู้คนต่างกล่าวขานกันและเรียกนางว่า จอมยุทธ์อัจฉริยะไร้เทียมทาน ผู้ที่ทั้งจักรวรรดิต่างเฝ้ารอให้เติบโตขึ้น
ส่วนลูกชายคนเล็กของหลินจิ้นหนานมีอายุ 14 ปี
และเขาช่างต่างกับพี่สาวราวฟ้ากับเหว
เด็กหนุ่มเป็นคนเรื่อยเปื่อย ขี้เกียจ หยิ่งทะนง โลภมาก และชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่นเป็นสรณะ
ทุกคำนิยามที่หมายถึงคนไม่เอาไหน คือคำอธิบายตัวตนของหลินเป่ยเฉินเลยทีเดียว
ถ้ายังรู้สึกว่านั่นไม่แย่พอ หลินเป่ยเฉินนั้นเกิดมาพร้อมกับปัญหาด้านสมอง
ถ้าจะพูดให้ชัด ๆ ละก็ เขามันเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ที่เอาแต่ทำตัวหาแก่นสารไม่ได้ไปวัน ๆ
สำหรับตระกูลใหญ่ ๆ ในเมืองนี้ หากมีผู้ใดให้กำเนิดบุตรชายที่แสนเหลวไหลเช่นนี้ออกมา พวกเขามักจะทุบตีบุตรคนนั้นจนเสียชีวิตเพื่อไม่ให้เป็นที่ขายหน้าของวงศ์ตระกูล และให้กำเนิดบุตรคนใหม่เหมือนกับการเริ่มเกมใหม่อย่างไรอย่างนั้น
แต่หลินจิ้นหนานขุนนางนักรบสวรรค์ผู้ที่มีจิตใจกล้าหาญและแน่วแน่ ไม่อาจทำเช่นนั้นกับบุตรชายของตนเองได้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะทุบตีหรือด่าทอลูกชาย มิหนำซ้ำ ยังดูแลเขาอย่างดีเสมอมาโดยไม่เคยแม้แต่จะขัดใจเขาเลยสักครั้ง
หลินจิ้นหนานพยายามอย่างสุดชีวิต เพื่อที่จะทำให้ลูกชายแสนเหลวไหลของตนมีความสุข ด้วยการทำตามความปรารถนาของลูกชายเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคำขอที่มีเหตุผลหรือไม่ก็ตามที
ด้วยเหตุนี้ ถึงหลินเป่ยเฉินจะถูกไล่ออกจากสถานศึกษากระบี่ที่ 1 และ 2 ผู้เป็นบิดาก็ยังไม่แม้แต่จะก่นด่าว่ากล่าวลูกชาย เขาทำได้เพียงแบกหน้าพาลูกชายมาเรียนในสถานศึกษากระบี่ที่ 3 นี้เท่านั้น
เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เกิดสงครามขึ้นระหว่างจักรวรรดิเป่ยไห่และจักรวรรดิจี้กวง
ขุนนางนักรบสวรรค์ผู้เป็นบิดาของหลินเป่ยเฉินต้องนำทัพไปเข้าร่วมสงคราม
ส่วนหลินถินชางนั้น เมื่อเรียนจบจากสถานศึกษากระบี่หลวง ก็เข้าศึกษาต่อที่สำนักกระบี่หลวงประจำเมืองต่อทันที
และเมื่อไม่มีใครอยู่ควบคุมเขาแล้ว หลินเป่ยเฉินก็เริงร่าได้เต็มที่
ในเวลาไม่ถึงปี เขาใช้จ่ายตามอำเภอใจด้วยทรัพย์สินที่มีในคฤหาสน์ของบิดา จนสุดท้ายก็เหลือเพียงตัวบ้านว่างเปล่าชวนวังเวง
ยังไม่รวมถึงสถานศึกษาแห่งนี้ ที่เด็กหนุ่มได้เข้ามาปั่นป่วนเสียจนวุ่นวายไปหมด
แต่นั่นยังไม่แย่เท่ากับว่า ภายในเมืองหยุนเมิ่งแห่งนี้ หากมีใครสักคนตะโกนว่า “หลินเป่ยเฉินกำลังมา!” ท้องถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนนั้น ก็สามารถว่างเปล่าได้ในพริบตา
ผู้คนจึงเรียกขานหลินเป่ยเฉินกันว่า เจ้าเศษขยะแห่งหยุนเมิ่ง
และนั่นคือตัวตนของหลินเป่ยเฉิน ก่อนที่วิญญาณของไอ้หนุ่มเนิร์ดจะทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของเขา
ลูกศิษย์ทุกคนในห้องนี้ ไม่ว่าชายหรือหญิง ล้วนต่างเคยถูกกลั่นแกล้งโดยหลินเป่ยเฉินมาก่อน
ใครจะกล้าต่อต้านกับอันธพาลแบบนี้กันล่ะ
เด็กทุกคนต่างหลีกหนีเขาราวกับเชื้อโรค
แต่หลินเป่ยเฉินกลับมีความสุขมากที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้
มันเป็นเรื่องดีที่เขาไม่มีเพื่อนเลย
ยิ่งเขาติดต่อกับผู้คนในโลกนี้น้อยเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสน้อยที่ตัวตนของเด็กหนุ่มจะถูกเปิดเผยออกมา
ภายในระยะเวลา 3 วันหลังจากหลินเป่ยเฉินมาอยู่ในโลกจอมยุทธ์ เขาก็พอจะจับใจความได้แล้วว่า โลกใบนี้ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ตัวอย่างเช่น ในโลกนี้ไม่เพียงแต่มีผู้ฝึกยุทธ์ผู้เต็มไปด้วยความสามารถและพลังพิเศษเท่านั้น หากแต่ยังมีผู้คนที่เหมือนกับเทพเจ้าผู้ทรงพลังอยู่อีกด้วย และถ้าหากว่าเรื่องที่เขาไม่ใช่เจ้าของร่างที่อาศัยอยู่นี้หลุดรอดไปถึงหูใครละก็ เขาก็คงมีจุดจบได้เพียงแบบเดียว หลินเป่ยเฉินจะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นสาวกปีศาจ และต้องถูกลากตัวไปยังวิหารเทพกระบี่ที่ใจกลางเมือง ก่อนจะถูกสำเร็จโทษด้วยการเผาไฟทั้งเป็น
หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ…เขาจะต้องถูกย่างสด
เพราะฉะนั้น เด็กหนุ่มถึงต้องระมัดระวังตัวให้มาก
ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปหมดไป กระดิ่งเข้าเรียนพลันดังขึ้น
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
เวลาพักได้หมดลงแล้ว
และคาบเรียนใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น
ติงซานฉือผู้เป็นอาจารย์ก้าวเข้ามาในห้องเรียน และขึ้นไปยืนบนแท่นบรรยาย
“เอาล่ะ เรามาเข้าสู่บทเรียนต่อไปกันเถอะ”
“ศิษย์ทุกคน ตามที่อาจารย์ได้พูดไปในคาบที่แล้ว คาบนี้อาจารย์จะทำการสอนวิชากระบี่สามพิฆาตให้พวกเจ้า และเผื่อจะมีพวกเจ้าบางคนลืมไปแล้ว ต่อให้นี่เป็นวิชากระบี่พื้นฐาน แต่ก็เป็นวิชาที่อาจารย์ได้คิดค้นขึ้นมาด้วยตัวเอง ซึ่งมันก็เป็นเหมือนสุดยอดวิชาในระดับพื้นฐาน และแน่นอนว่ามันทรงพลังมาก หากพวกเจ้าคนใดสามารถเรียนรู้และสำเร็จวิชานี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว พวกเจ้าจะสามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 3 ได้อย่างแน่นอน อีกทั้งมันยังช่วยพวกเจ้าให้ได้คะแนนดีในการประลองกลางภาคและเพิ่มโอกาสในการสอบผ่านอีกด้วย”
ศิษย์ทุกคนต่างนั่งฟังอย่างตั้งใจ เว้นเพียงหลินเป่ยเฉินผู้นั่งอยู่ในแถวหน้าสุดของห้องเรียน
เขากำลังง่วนอยู่กับโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้น
แต่แล้วหลังจากจบไปอีกคาบหนึ่ง แทนที่จะทำการศึกษาเจ้าเครื่องนี้ต่อเพื่อหาทางกลับโลกมนุษย์ เด็กหนุ่มก็พบว่าแบตเตอรี่ของมันลดลงจาก 21% เหลือเพียง 19% เท่านั้น ภาพแถบแสดงแบตเตอรี่สีเหลืองขึ้นเตือนถึงพลังงานที่ลดน้อยลง
ตอนนี้แบตเตอรี่ใกล้จะหมดแล้ว
ซึ่งมันก็ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกสิ้นหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน