บทที่ 31 ชัยชนะของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือไปคว้ากระบี่จากอาจารย์ติงไว้ ในใจแทบจะกลั้นน้ำตาจากความซาบซึ้งไว้ไม่อยู่
ขอบคุณสวรรค์
“อาจารย์ติง ผมจะไม่มีวันแอบด่าจารย์อีกเลย”
เมื่อเห็นดังนั้น อู๋เสี่ยวฟางก็ทักท้วงออกมาเสียงดัง “เดี๋ยว! นี่มันไม่ยุติธรรม ทำไมหลินเป่ยเฉินจึงรับความช่วยเหลือจากผู้คุมสอบได้ล่ะ นี่มันโกงชัด ๆ ”
อาจารย์ติงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่จำเป็นจะต้องประท้วงใด ๆ การประลองนี้มุ่งเน้นไปที่ความสามารถในวิชากระบี่และความแข็งแกร่งของแต่ละบุคคล ไม่ได้เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของกระบี่สักหน่อย”
“ท่าน…”
อู๋เสี่ยวฟางมองไปยังแท่นสังเกตการณ์ของอาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่และกล่าวประท้วงว่า “ข้าไม่เห็นด้วย ท่านอาจารย์ฉู่และผู้สังเกตการณ์หลี่ เห็นได้ชัดเลยว่าอาจารย์ติงนั้นช่วยหลินเป่ยเฉินโกงการประลอง แบบนี้มันไม่ถูกต้อง”
“ยังไงซะ อาจารย์ฉู่ก็ต้องเข้าข้างข้า”
“และยังไงซะ ผู้สังเกตการณ์หลี่ก็ต้องเกลียดคนไม่เอาไหนแบบหลินเป่ยเฉินอยู่แล้ว” อู๋เสี่ยวฟางคิดในใจอย่างแน่วแน่
“ข้าจำต้องปัดตกการประท้วงของเจ้า” ฉู่เหินกล่าวขึ้น
ในขณะที่ผู้สังเกตการณ์หลี่นั้นไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเลย เห็นได้ชัดว่าเขานั้นไม่ได้สังเกตถึงการประท้วงของอู๋เสี่ยวฟางเลยด้วยซ้ำ
อู๋เสี่ยวฟางนิ่งงันไม่รู้จะทำเช่นไรต่อ
“นะ นี่…มันเกิดอะไรขึ้น”
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตนเองถูกมองข้ามอย่างไรอย่างนั้น
แม้แต่ด้านล่างเวทีประลองก็มีศิษย์บางคนกล่าวขึ้นว่า “ถ้าเจ้าเก่งจริง…ก็เอาชนะหลินเป่ยเฉินให้ได้ด้วยวิชากระบี่ของเจ้าสิ การที่เจ้าทำแบบนี้ ไม่สมกับเป็นลูกผู้ชายเอาซะเลย”
“ข้าเห็นด้วยกับความคิดของอาจารย์ติง”
“หลินเป่ยเฉินหล่ออะไรแบบนี้”
เสียงกรีดร้องของบรรดาศิษย์หญิงดังขึ้นไม่ขาดสาย
จำนวนผู้ที่นิยมชมชอบในตัวหลินเป่ยเฉินเพิ่มขึ้นพรวดพราดอย่างน่าตกใจ
ใบหน้าของอู๋เสี่ยวฟางซีดเผือด
หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมา
ดูเหมือนว่าความนิยมของหลินเป่ยเฉินจะนำโด่งไปมากโขโดยไม่ทันรู้ตัว
อู๋เสี่ยวฟางขยับกระบี่ในมือ ตามมาด้วยเสียงฉวัดเฉวียนของคมกระบี่ ก่อนจะกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “ฮึ หลินเป่ยเฉิน อย่าได้ใจไปนักเลย ต่อให้เจ้ามีกระบี่ซัก 10 เล่ม ข้าก็สามารถหั่นเจ้าเป็นชิ้น ๆ ได้อยู่ดี”
เขาวิ่งตรงไปหาหลินเป่ยเฉินพร้อมกับกระบี่ในมือ
และในพริบตาเดียวเท่านั้น เงากระบี่ก็ปรากฏขึ้นราวกับอสรพิษนับสิบที่อ้าปากพร้อมเขมือบร่างคู่ต่อสู้ด้วยคมเขี้ยวของมัน
หลินเป่ยเฉินตวัดกระบี่ออกมา
วิ่งตรงไปหาอู๋เสี่ยวฟางขณะเสือกแทงกระบี่ไปด้านหน้า
“ชวิ้ง!”
แสงสะท้อนจากคมกระบี่นั้นแหวกผ่านอากาศวิบวับ
เขายังคงใช้วิชากระบี่สามพิฆาตอยู่
“แกร๊ง!”
เสียงปะทะกันของเหล็กกล้าดังขึ้นบนลานประลองเป็นครั้งที่ 3
และในรอบนี้ มันก็ไม่มีชิ้นส่วนใดของกระบี่ลอยขึ้นไปในอากาศอีกแล้ว
วิชาอสรพิษร่ายรำหายไปจากลานประลอง
คมเขี้ยวของอสรพิษนั้นถูกตัดครึ่งด้วยแสงวาบครั้งเดียวจากคมกระบี่
“ซวบ!”
เสียงของมีคมทะลุผ่านเนื้อคนดังขึ้น
“อ๊าก”
อู๋เสี่ยวฟางหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด
แขนข้างซ้ายของเขาถูกแทงจนทะลุด้วยกระบี่ด้ามยาวในมือของหลินเป่ยเฉิน
และยังไม่ทันจะกรีดร้องสุดเสียง หลินเป่ยเฉินก็ชักกระบี่กลับคืน
อู๋เสี่ยวฟางนั้นราวกับได้ยินเสียงเนื้อและกระดูกของตนเองเสียดสีกับคมกระบี่
ความหวาดกลัวแล่นขึ้นมาถึงขั้วหัวใจ
“ชวิ้ง”
เสียงกระบี่ดังขึ้นอีกครั้ง
พร้อมกับที่อู๋เสี่ยวฟางรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่หูข้างขวา
“อ๊าก หูของข้า!”
เขากรีดร้องออกมาสุดเสียง
หลินเป่ยเฉินยังคงไม่ปรานีแต่อย่างใด
“ฉึบ!”
หลินเป่ยเฉิ่นนั้นตวัดกระบี่ไปยังใบหน้าของอู๋เสี่ยวฟางจนเกิดเป็นแผลลึก
พอดีกับที่เสียงหวีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง
รอยบากขนาดใหญ่บนใบหน้า ทำให้อู๋เสี่ยวฟางนั้นถึงกับเสียการทรงตัว และในที่สุดก็ล้มลงไป
ใบหน้าของเขาที่กระแทกลงกับพื้น เต็มไปด้วยเลือด ดูเละเทะราวกับเนื้อของลูกพีชที่สุกงอมก็ไม่ปาน
หลินเป่ยเฉินก้าวไปหาและยกเท้าขึ้น ก่อนจะกระทืบเข้าที่ใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามเสียเต็มแรง
“แทง ตัดหู และรอยบากที่หน้า…”
“ทั้งหมดนี่คือการล้างแค้นให้กับเพื่อนร่วมห้องของข้า” เขาพูดช้า ๆ อย่างชัดเจนทีละคำ
“อ๊าก” อู๋เสี่ยวฟางหวีดร้องออกมาและตะโกนตอบว่า “หลินเป่ยเฉิน…เจ้า…เจ้าสวะโสโครกชั้นต่ำ เจ้ากล้าดียังไงมาทำกับข้าแบบนี้ ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป เจ้าจะต้องเสียใจแน่ ๆ คอยดูให้ดีเถอะ”
“เจ้านี่ปากเหม็นชะมัดเลยว่ะ”
หลินเป่ยเฉินเตะเข้าที่ท้องของอู๋เสี่ยวฟางอีกครั้ง จนเด็กหนุ่มบนพื้นกระเด็นไปไกลเกือบสามผิง ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “เกือบลืมไปแน่ะว่าเจ้าก็เตะเพื่อนข้าแบบนี้เหมือนกัน ตอนนี้ข้าสะสางแค้นเรียบร้อยแล้ว”
ร่างกายของอู๋เสี่ยวฟางงอเป็นกุ้งด้วยความเจ็บปวด ราวกับร่างกายภายในจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ความเจ็บปวดนั้นทำให้เส้นเลือดของเขาเต้นตุบ ๆ เสียงครวญครางอู้อี้ดังอยู่ภายในลำคอราวกับสัตว์ป่าติดกับดัก
หลินเป่ยเฉินมองไปยังกระบี่ในมือตน
มันช่างดูเป็นกระบี่เรียบ ๆ และหมองตามอายุการใช้งาน แต่มันก็แข็งแกร่งพอจะช่วยให้เขาเอาชนะอู๋เสี่ยวฟางได้
การประลองในครั้งนี้ ไม่มีริ้วรอยเกิดขึ้นบนตัวกระบี่เลยสักนิด
นี่เป็นกระบี่ที่ดีจริง ๆ
“แกร๊ง”
หลินเป่ยเฉินสอดกระบี่เข้าฝัก
“ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าข้าน่ะชอบเหยียบย่ำพวกอัจฉริยะแบบเจ้าจริง ๆ ทีนี้เชื่อหรือยัง”
เขาเดินไปหาอู๋เสี่ยวฟางและโน้มตัวลง ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “อันที่จริงข้าน่ะอยากจะขอบคุณเจ้านะ…พี่อู๋ ถ้าไม่ได้ 20 เหรียญทองจากเจ้า ตอนนี้ข้าก็คงไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้หรอก ขอบคุณที่ช่วยข้านะ ข้าจะจำไว้เสมอเลยว่าเจ้าใจกว้างขนาดไหน ข้าซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง”
อู๋เสี่ยวฟางเบิกตากว้าง
ต่อให้เขาจะไม่เข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินกำลังพูดถึงอะไร แต่ก็ชวนให้รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้ทำอะไรผิดพลาดลงไปสักอย่าง
หลินเป่ยเฉินยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนกล่าวว่า “ลูกเตะสุดท้ายนี่ถือว่าข้าให้เป็นของขวัญแล้วกัน”
“ตุบ!”
และร่างของอู๋เสี่ยวฟางก็กระเด็นออกนอกเวทีประลองไป
ไม่มีใครรอรับเขาอยู่เบื้องล่าง เด็กหนุ่มจึงตกลงกระแทกพื้นดินอย่างแรง
เขานั้นสลบไปทันทีที่ร่วงลงถึงพื้น
เพื่อนศิษย์ห้อง 1 บางคนแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นร่างของอู๋เสี่ยวฟางที่ตกลงมาเบื้องหน้า
ในเวลาปกติ อู๋เสี่ยวฟางมักจะข่มเหงผู้อื่นเสมอมา ทั้งทำตัวจองหองและโหดเหี้ยม รังแกเพื่อนร่วมชั้นหลายต่อหลายคน แต่ด้วยความสามารถอันโดดเด่น จึงทำให้อู๋เสี่ยวฟางได้รับคำเยินยอจากผู้คนที่อยู่รอบตัวเสมอ
แต่ในตอนนี้ เขานั้นพ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉินจนเกือบตาย
อู๋เสี่ยวฟางคงไม่มีทางทำตัวแบบเดิมได้อีกแล้ว
ภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งของเขาหมดสิ้นแล้ว
และในทางกลับกัน เสียงกู่ร้องให้กำลังใจ ก็ดังมาจากบรรดาศิษย์ห้อง 9
“พี่หลิน ท่านแก้แค้นให้เพื่อนของเรา”
“ข้าขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมานะพี่หลิน ท่านคือความภาคภูมิใจของห้องเรา”
“ข้ารักท่าน หลินเป่ยเฉิน”
เสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่วบริเวณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลินเสวี่ยอิ๋น สาวงามจากห้อง 9
สาวงามผู้เรียบร้อยและอ่อนโยน บัดนี้ได้ส่งเสียงเชียร์ร่วมไปกับเด็กสาวคนอื่นจากห้อง 9 ด้วยใบหน้าแดงซ่านราวกลีบกุหลาบ แต้มไปด้วยความตื่นเต้นแตกต่างจากปกติ
และในขณะเดียวกัน เฉิงขู่ เซวียเยว่ และอินอี้ ผู้ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับอู๋เสี่ยวฟาง ต่างก็ยืนอยู่ในฝูงชนร่วมกับบรรดาเพื่อนร่วมชั้นในสภาพที่พันผ้าพันแผลเกือบทั้งตัว พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นและส่งเสียงเชียร์โดยไม่ได้สนใจบาดแผลของตนเองแม้แต่น้อย
หลินเป่ยเฉินนั้นแก้แค้นแทนพวกเขาแล้ว
และทำให้ห้อง 9 รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
คนนอกคอก? เจ้าแกะดำ? คนโหลยโท่ย? ทุกคนลืมชื่อเสียงอันฉาวโฉ่เหล่านั้นไปหมดแล้ว
ตอนนี้พวกเขาเห็นตรงกันว่า หลินเป่ยเฉินน่ะ…เป็นวีรบุรุษนักสู้อันดับ 1
บนแท่นสังเกตการณ์ อาจารย์ฉู่นั้นถอนหายใจออกมายาวเหยียดด้วยความโล่งอก ก่อนจะนั่งลงอย่างช้า ๆ
“เอ๋? อู๋เสี่ยวฟางบาดเจ็บงั้นหรือ พาเขาไปรักษาเสียสิ”
เหมือนอาจารย์หัวหน้าชั้นปีนั้นจะไม่ได้รู้สึกรู้สากับการบาดเจ็บกับเสียงร้องโหยหวนของอู๋เสี่ยวฟางเลยแม้แต่น้อย
เหล่าคณะอาจารย์ต่างพากันมาหามตัวอู๋เสี่ยวฟางที่อยู่ในอาการสลบไสลไม่ได้สติไปรักษาตัว
และในตอนนั้นเอง อาจารย์ติงซานฉือ ผู้คุมสอบประกาศขึ้นเสียงดังว่า “ผู้ชนะคือ…หลินเป่ยเฉิน!”