บทที่ 314 หลุมพรางที่ถูกขุดเอาไว้
“เจ้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจไม่ใช่หรือ?” ไป๋ไห่ชินหัวเราะเยาะ “หลินเป่ยเฉิน เจ้าคือสาวกปีศาจที่แอบแฝงตัวอยู่ในเมืองนี้มานานแล้ว คิดหรือว่าจะกลบเกลื่อนความผิดของเจ้าต่อไปได้อีก?”
เกิดเสียงอุทานออกมาจากชาวเมืองด้วยความเหลือเชื่อ
คำว่า ‘สาวกปีศาจ’ นับเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง
“อาจารย์ไป๋ ท่านกำลังพูดอะไรอยู่?”
หลิงจุนเซวียนสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันทีและคำรามออกมาว่า “หากท่านไม่มีหลักฐาน กล้าดีอย่างไรถึงมาป่วนพิธีมอบรางวัลเช่นนี้?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ไป๋ไห่ชินเงยหน้าขึ้นระเบิดเสียงหัวเราะ สีหน้าเหยียดหยามเย้ยหยัน “ท่านเจ้าเมืองหลิง เรื่องราวมาถึงขนาดนี้ยังคิดที่จะปกป้องหลินเป่ยเฉินอยู่อีกหรือ? ท่านรู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นสาวกปีศาจ ยังคิดจะมอบรางวัลผู้ชนะให้แก่เขา เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่? หากเรื่องราวนี้หลุดรอดออกไป ท่านคิดว่าตนเองมีปัญญารับผิดชอบหรือไม่?”
หลิงจุนเซวียนตอบว่า “ข้ารู้ตัวดีว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ แต่อาจารย์ไป๋ ท่านมีหลักฐานหรือไม่ ว่าเฉาพั่วเถียนถูกพลังปราณปีศาจเล่นงาน และพลังนั้นมาจากหลินเป่ยเฉิน?”
ไป๋ไห่ชินแค่นหัวเราะ “อะไรกัน? หรือว่าท่านเจ้าเมืองหลิงคิดว่าลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุนจะเป็นสาวกปีศาจอย่างนั้นหรือ? ท่านกล้าพูดออกมาได้อย่างไรกัน?”
จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์อย่างหลิงจุนเซวียนไม่มีทางตกหลุมพรางของฝ่ายตรงข้ามโดยง่ายเด็ดขาด เขายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่อาการบาดเจ็บของเฉาพั่วเถียนยังคงอยู่ในการสืบสวน ผลสรุปเป็นอย่างไรยังไม่แน่ชัด แต่ท่านกลับมาโวยวายกลางพิธีมอบรางวัล รบกวนความสงบสุขของวิหารเทพกระบี่ รู้ตัวหรือไม่ว่ามันจะส่งผลอย่างไรกับท่านบ้าง?”
ไป๋ไห่ชินพูดเสียงแข็ง “ตราบใดที่ข้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของลูกศิษย์ได้ ข้าก็ไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งใดทั้งนั้น…”
พูดจบแล้ว ชายชราก็หันไปหาองค์ชายเจ็ดที่นั่งอยู่บนเวที เคียงข้างกับถังกู่จินและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ “กราบเรียนฝ่าบาท ลูกศิษย์ของหม่อมฉันถูกหลินเป่ยเฉินลอบทำร้าย หากองค์ชายไม่ยื่นมือเข้ามาจัดการ เห็นทีรางวัลผู้ชนะการแข่งขันประจำปีนี้ คงต้องตกไปอยู่ในมือสาวกปีศาจเป็นแน่แท้ พระองค์จะทรงปล่อยให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
คราวนี้ ลานจัตุรัสหน้าวิหารเกิดเสียงอุทานออกมาอีกครั้ง
แม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะมีสถานะเป็นขวัญใจชาวเมือง แต่ถ้าเขาเกี่ยวข้องกับการเป็นสาวกปีศาจ เด็กหนุ่มก็จะถูกเกลียดชังอย่างไม่มีข้อยกเว้น
ยิ่งไปกว่านั้น สภาพร่างกายที่น่าเวทนาของเฉาพั่วเถียน ก็สามารถเรียกคะแนนสงสารได้พอสมควรทีเดียว
องค์ชายเจ็ดค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน “ว่าอย่างไร เจ้ามีคำใดอยากจะอธิบายบ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อยขณะพูดเสียงดังว่า “กราบเรียนฝ่าบาท หม่อมฉันไม่มีสิ่งใดต้องอธิบาย… นี่เป็นเพียงเรื่องของศิษย์อาจารย์ที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เขาไม่รู้จะหาทางออกให้ตนเองอย่างไร จึงพยายามใส่ร้ายหม่อมฉันเท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ นี่คือการใส่ร้ายที่ไม่มีมูลความจริงเลย”
“คิดจะกล่าวหาผู้อื่นเป็นสาวกปีศาจ อย่างน้อยก็สมควรมีหลักฐานมายืนยันให้มากกว่านี้”
“ข้าขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันว่าหลินเป่ยเฉินไม่ใช่สาวกปีศาจเด็ดขาด”
ฮันปู้ฟู่ และสมาชิกร่วมกลุ่มของหลินเป่ยเฉิน อย่างเช่น ไป๋ชินหยุนกับเยว่เว่ยหยาง ต่างก็พร้อมใจกันประสานเสียงออกมาเป็นหนึ่งเดียว
“ไป๋ไห่ชิน ลูกศิษย์ของข้าไม่ได้ทำอะไรผิด เจ้ากลับมาใส่ร้ายเขาอย่างหน้าไม่อาย นับว่าเจ้าทำให้เมืองไป๋หยุนต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงแล้วจริงๆ” ฉู่เหินคำรามออกมาเสียงดังในบรรยากาศที่เริ่มปั่นป่วน
พานเว่ยหมินได้โอกาสคำรามออกมาเช่นกันว่า “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพวกเขาเดิมพันชีวิตก่อนเริ่มการแข่งขัน สุดท้ายแล้วลูกศิษย์ของท่านก็หวาดกลัวใช่ไหมล่ะ? ท่านจึงคิดจะใช้วิธีนี้ล้มเลิกการเดิมพันทั้งหมด? เพราะพวกท่านไม่กล้าทำตามสัญญาที่รับปากเอาไว้”
เมื่อคืนนี้ คณะอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามได้ออกตามหาอาจารย์ใหญ่หลิงไท่ซวีไปตามหอนางโลมทั่วเมืองหยุนเมิ่ง แต่กลับหาตัวไม่พบเจอ บัดนี้เกิดเหตุไป๋ไห่ชินใส่ร้ายหลินเป่ยเฉิน ทุกคนจึงอดกังวลใจไม่ได้
ได้ยินดังนั้น ชาวเมืองก็เริ่มกลับมาเข้าข้างหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
ชาวเมืองแทบทุกคนทราบดีถึงการเดิมพันชีวิตระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้
เฉาพั่วเถียนประพฤติตัวเป็นฝ่ายชั่วร้ายตลอดมา
ชาวเมืองตัดสินใจได้ไม่ยากว่าควรจะเข้าข้างฝ่ายไหนดี
ถังกู่จินพลันพูดออกมาเสียงเข้มว่า “อาจารย์ไป๋ ท่านจะมีเพียงคำพูดมากล่าวหาหลินเป่ยเฉินว่าเขาเป็นสาวกปีศาจไม่ได้หรอก หากท่านไม่มีหลักฐานที่มากกว่านี้ ก็จงกลับไปซะ อย่าได้มารบกวนพิธีมอบรางวัลอีกเลย”
ไป๋ไห่ชินมีสีหน้าเศร้าหมองระคนขุ่นเคืองใจ “ข้า…ข้า…”
หลิงจุนเซวียนเกิดความประหลาดใจไม่ใช่น้อย
ถังกู่จินเข้าข้างหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือ?
สถานการณ์ออกจะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
ทันใดนั้นเอง…
“ใต้เท้าขอรับ… ข้าต้องการพบใต้เท้าถัง ข้าต้องการพบองค์ชายเจ็ด ข้าต้องการพบนักพรตหญิงชิน… ทุกคนหลีกทางไปให้หมดเดี๋ยวนี้”
เสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้น
เมื่อหันไปมองจึงได้พบเข้ากับหลินเจิ้นหนานผู้สวมใส่เสื้อคลุมลายทางกำลังวิ่งหน้าตาตื่นแหวกชาวเมืองขึ้นมาคุกเข่าลงตรงหน้าองค์ชายเจ็ดบนเวที พูดละล่ำละลักว่า “กราบเรียนฝ่าบาท ไม่ได้การแล้วพ่ะย่ะค่ะ… หม่อมฉัน… หม่อมฉันเพิ่งตรวจค้นคฤหาสน์ตระกูลหลินโดยละเอียด… และได้พบเครื่องรางบูชาปีศาจจำนวนมาก…. หม่อมฉัน…”
“ตั้งสติก่อน ท่านพบเจออะไรมากันแน่?” ถังกู่จินพูด “ลุกขึ้นมารายงานให้หมดเดี๋ยวนี้”
หลินเจิ้นหนานตัวสั่นเทาในขณะที่พูดว่า “ใต้เท้าขอรับ เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ… เมื่อวานนี้ หลังจากได้รับจดหมายแต่งตั้งจากเบื้องบน ข้าน้อยจึงกลับไปเก็บกวาดข้าวของในจวนสกุลหลิน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในขณะที่กำลังซ่อมแซมที่พักอยู่นั่นเอง ได้มีข้ารับใช้ค้นพบห้องใต้ดินอยู่ในบ้านพักหลังหนึ่ง และในห้องใต้ดินนั้นก็เต็มไปด้วยข้าวของบูชาปีศาจเต็มไปหมดขอรับ…”
ว่าไงนะ?
สีหน้าของชาวเมืองเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
แต่พวกเขายังไม่ได้ส่งเสียงอุทานออกมา
ทว่า หลิงจุนเซวียน องค์ชายเจ็ดและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมืองหยุนเมิ่ง ต่างก็หัวใจกระตุกวูบพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
พบเจอห้องบูชาปีศาจในจวนตระกูลหลินอย่างนั้นหรือ?
“หลินเจิ้นหนาน ท่านพูดความจริงหรือไม่?”
ถังกู่จินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน
หลินเจิ้นหนานตอบรับตัวสั่นงันงก “ทุกถ้อยคำที่ข้าพูดออกมาล้วนแต่เป็นความจริงขอรับใต้เท้า บัดนี้ห้องใต้ดินแห่งนั้นยังคงเปิดอยู่ และไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องเครื่องรางบูชาปีศาจเหล่านั้นเลยขอรับ”
ถังกู่จินหันหน้ากลับมาหาองค์ชายเจ็ด “เหตุการณ์ครั้งนี้องค์ชายจะปล่อยผ่านไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
แล้วเขาก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน ก่อนเลื่อนสายตาไปจ้องมองหลิงจุนเซวียน “ท่านเจ้าเมืองหลิง เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นแล้ว ข้าเกรงว่าพวกเราคงต้องเดินทางไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลินเพื่อพิสูจน์ความจริงสักหน่อย”
หลิงจุนเซวียนสูดหายใจลึก
เหตุการณ์ทั้งหมดไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือ?
ในความคิดของเขา เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวโทษจากไป๋ไห่ชิน หรือการปรากฏตัวของหลินเจิ้นหนาน เห็นได้ชัดว่าต้องผ่านการซักซ้อมมาเป็นอย่างดี
แต่ในเมื่อค้นพบหลักฐานสำคัญที่จวนตระกูลหลิน หลิงจุนเซวียนในฐานะเจ้าเมืองก็ไม่สามารถเมินเฉยได้จริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัดนี้มีการถ่ายทอดสดไปทั่วเมือง ไม่มีทางที่เขาจะปิดข่าวได้อีกแล้ว
“ไม่มีปัญหา”
หลิงจุนเซวียนตัดสินใจเด็ดขาดและกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “พวกเราจะไปพิสูจน์ความจริงกันที่คฤหาสน์ตระกูลหลิน ขอให้หยุดพิธีการมอบรางวัลไว้ก่อนชั่วคราว… เรียนเชิญองค์ชายร่วมเป็นสักขีพยานการสืบสวนร่วมกับพวกหม่อมฉันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากผู้ว่าการประจำเมืองพูดประโยคนั้นออกมา ผู้คนที่รวมกันอยู่ในลานจัตุรัสหน้าวิหารก็ส่งเสียงอุทานออกมาเซ็งแซ่
พิธีการมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะการแข่งขันประจำปี จำเป็นต้องหยุดลงชั่วคราวอย่างนั้นหรือ?
นี่คือเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่การค้นพบห้องบูชาปีศาจในคฤหาสน์ตระกูลหลิน ซึ่งเคยเป็นจวนประจำตำแหน่งของขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ ถือเป็นเรื่องราวใหญ่โตที่สะเทือนฟ้าสะท้านดิน
บรรยากาศวุ่นวายโกลาหลขึ้นเล็กน้อย
นักพรตหญิงชินยังคงยืนเงียบๆ อยู่ใต้รูปปั้นเทพีกระบี่ ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว
“ช้าก่อน” ไป๋ไห่ชินพลันตะโกนเสียงดัง “ท่านเจ้าเมืองหลิงจะปล่อยทุกอย่างไว้เช่นนี้จริงหรือ?”
หลิงจุนเซวียนหันกลับมามองหน้าชายชราด้วยแววตาครุ่นคิด “ท่านยังต้องการสิ่งใดอีก?”
ไป๋ไห่ชินพูดเสียงดังฟังชัด “ขุนนางนักรบแห่งสวรรค์คนเก่าเป็นนักโทษหนีคดีในข้อหากบฏ มิหนำซ้ำ บัดนี้เรายังรู้แล้วว่าเขาเป็นผู้บูชาปีศาจ ไม่แปลกใจเลยตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เขาถึงได้มีฝีมือแข็งแกร่งในสนามรบขนาดนั้น และการเป็นสาวกปีศาจย่อมส่งต่อจากบิดามาสู่บุตรชายแน่นอน นี่คือหลักฐานที่พิสูจน์แล้วว่าหลินเป่ยเฉินคือสาวกปีศาจใช่หรือไม่?”
ชาวเมืองส่งเสียงอุทานออกมาแล้ว
หากก่อนหน้านี้คำพูดปากเปล่าของไป๋ไห่ชินไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะจูงใจชาวเมืองให้หลงเชื่อ… บัดนี้ คำพูดของเขาก็มีน้ำหนักมากพอแล้ว
“ต่อให้ท่านเจ้าเมืองหลิงอยากจะปกป้องเขานักหนา แต่อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็ควรมีสถานะเป็นผู้ต้องสงสัย สมควรถูกควบคุมตัวในระหว่างที่ท่านกับองค์ชายเดินทางไปตรวจสอบความจริงที่คฤหาสน์สกุลหลิน เขาจะได้ไม่ใช้โอกาสนี้หลบหนีไปอย่างไรเล่า” ไป๋ไห่ชินยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งแข็งกร้าว
หลิงจุนเซวียนขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินสลัดความมึนงงออกไปได้สำเร็จแล้ว
แม่งเอ๊ย
พ่อเขาแอบสร้างห้องใต้ดินเอาไว้ทำไมวะนั่น?
หรือว่าจะเป็นสาวกปีศาจจริงๆ?
หรือว่านี่เป็นเพียงการใส่ความจากหลินเจิ้นหนานเท่านั้น?
“พวกท่านคิดว่าหลินเป่ยเฉินคนนี้เป็นตัวอะไรกัน?” เด็กหนุ่มหัวเราะและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าขอสาบานต่อหน้าเทพีกระบี่เลยว่าข้าจะอยู่ที่นี่ไม่มีไปไหน หากข้าผิดคำสาบาน ขอให้ดวงวิญญาณมีอันเป็นไปในทันที”
การสาบานเป็นวิธีสร้างความเชื่อใจที่ใช้ต้นทุนน้อยที่สุดแล้ว
คำสาบานก็แค่ลมปาก
หากเกิดเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล หลินเป่ยเฉินก็พร้อมที่จะหลบหนีได้ทันที
พ่อเขาเล่นสร้างห้องใต้ดินไว้ขนาดนั้น มิน่าเล่า ถึงต้องหลบหนีไปโดยไม่ห่วงชีวิตลูกชายสักนิด
แต่น่าเสียดายที่หลินเป่ยเฉินตัวจริงน่ะตายไปนานแล้ว ส่วนหลินเป่ยเฉินคนนี้ แค่มาขอยืมร่างอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น
——————
Related