บทที่ 32 เจ้าคือผู้เดียวที่สามารถโน้มน้าวใจตนเองได้
มีเสียงร้องแสดงความยินดีจากอีกกลุ่มหนึ่งดังขึ้นเบื้องล่าง
บรรดาศิษย์จากห้อง 1 นั่นเอง พวกเขาส่งเสียงร้องแสดงความดีใจราวกับสัตว์ป่า
เวทีประลองนั้นถูกทำความสะอาดจนหมดจดเพื่อรองรับการประลองคู่ต่อไประหว่างมู่ซินเยว่และเยว่หงเซียง
บรรดาศิษย์ที่ชมการประลองอยู่นั้นต่างก็ตื่นเต้นกับการต่อสู้ที่จะมาถึง
บนแท่นสังเกตการณ์ อาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่นั้นแทบจะอดกลั้นความตื่นเต้นไว้ไม่ไหว เขาหันไปมองผู้สังเกตการณ์หลี่และกล่าวว่า “ท่านหลี่ ทีนี้ท่านก็คงจะพูดไม่ได้แล้วสินะว่า คู่ต่อสู้ของหลินเป่ยเฉินนั้นอ่อนหัดเกินไป”
ผู้สังเกตการณ์หลี่ตอบกลับอย่างเสียมิได้ “นี่ท่านอยากจะฟังข้าชื่นชมเจ้าเด็กไม่เอาไหนคนนั้นเสียให้ได้ใช่ไหม”
อาจารย์ฉู่ขัดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ท่านหลี่ หลินเป่ยเฉินเป็นถึงสุดยอดศิษย์แห่งสถานศึกษาที่สามเลยนะ อย่าดูถูกเขาด้วยคำพูดแบบนั้น”
หลี่ชิงสวนถึงกับพูดไม่ออกอีกแล้ว เมื่อเห็นอาจารย์ฉู่นั้นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“หลินเป่ยเฉินกลายเป็นสุดยอดศิษย์ไปแล้วงั้นสิ”
ในตอนแรก ผู้สังเกตการณ์หลี่ยังไม่เห็นว่าอาจารย์ฉู่จะสนับสนุนหลินเป่ยเฉินเสียเท่าไหร่
และตอนนี้ ในฐานะผู้สังเกตการณ์ เขาก็ยังคงไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้อยู่ดี
ทว่าอาจารย์ฉู่นั้นตื่นเต้นและอดจะถามความเห็นของหลี่ชิงสวนไม่ได้
“ไม่เอาน่าพี่หลี่ อย่าเงียบไปเลย ไหนบอกข้าสิว่าท่านคิดเห็นยังไง”
“แค่ออกความเห็นมาหน่อยก็พอ”
“พี่หลี่ พูดอะไรหน่อยสิ ท่านน่ะถูกเรียกว่าบุรุษหน้าตายแล้วนะ ลอง ๆ คิดถึงเรื่องสุดยอดศิษย์ของเราหน่อยได้ไหม”
หลี่ชิงสวนนั้นรำคาญและโมโหไปพร้อม ๆ กัน เขาแสนจะเหนื่อยหน่ายกับคำถามไม่จบไม่สิ้นของฉู่เหิน และในที่สุดก็กล่าวตอบว่า “สำหรับข้าในตอนนี้ หลินเป่ยเฉินน่ะถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดศิษย์ของเมืองนี้เลยก็ว่าได้”
“ฮ่า ๆ ๆ ”
อาจารย์ฉู่มองขึ้นไปยังท้องฟ้าและหัวเราะออกมาด้วยความภูมิใจ
และในที่สุด การประลองครั้งต่อมาก็ถูกเตรียมจนเสร็จสิ้น
มู่ซินเยว่และเยว่หงเซียงปรากฏตัวขึ้นบนเวทีประลอง
“บรรยากาศดีอะไรแบบนี้นะ” หลินเป่ยเฉินมองจากรอบนอกเวทีประลองและถอนหายใจ
เจ้าหญิงแห่งปวงชน มู่ซินเยว่นั้นยืนอยู่กลางเวทีประลองด้วยร่างระหง แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและกล้าหาญไม่ต่างจากบุรุษ นางนั้นรักษาภาพลักษณ์ของตนเองอย่างดีเสมอมา รวมถึงใบหน้าที่งดงามและผิวขาวสว่าง นางช่างเป็นเด็กสาวที่มีเสน่ห์เหลือล้นเกินบรรยาย
และเยว่หงเซียงผู้เป็นดั่ง บุปผางามจากห้อง 8 มีดวงตาที่ใสสว่างราวกับลูกแก้ว ความงามของนางนั้นเรียบง่ายและดูอ่อนโยนนัก ซึ่งนับว่าหาได้ยากจากเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน นางแสนจะสุภาพ นุ่มนวล และฉลาด ยิ่งได้รู้จักนางดีเท่าไหร่และพินิจใกล้เท่าใด ก็จะยิ่งเห็นความงามของนางชัดขึ้นอย่างปฏิเสธมิได้
“แต่มู่ซินเยว่อกตู้มกว่านะ”
“เยว่หงเซียงอกกระดานมากกว่า”
“ผิวโคตรขาวโอโม่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผิวใครจะนุ่มกว่ากัน เอาเถอะ อีกไม่นานเราคงใกล้จะได้กลับโลกแล้วล่ะนะ น่าเสียดายนักที่พวกเธอคงไม่อาจได้ครอบครองหัวใจหนุ่มโสดหน้าตาดีแถมยังมีความสามารถอย่างเรา”
“ว่าแต่สงสัยจังว่าวิชากระบี่ของใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน”
“ป๊าบ!”
เมื่อคิดไปคิดมา หลินเป่ยเฉินถึงกับต้องตบใบหน้าตัวเองให้หลุดจากภวังค์
“นี่เราคิดอะไรประหลาด ๆ แบบนั้นได้ยังเนี่ย อย่าไขว้เขวสิ หยุดคิดแต่เรื่องวิชากระบี่ได้แล้ว ฉันไม่ใช่คนบ้าเรียนที่มีแต่เรื่องการฝึกกระบี่ในหัวเสียหน่อย ใจเย็นไว้แล้วชื่นชมกับหน้าอกตู้ม ๆ ของสาว ๆ ดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินจึงยืนมองอย่างเงียบ ๆ
เขาใช้สายตาสแกนเด็กสาวทั้งสองราวกับเรดาร์ และใช้จินตนาการเท่าที่มีในการคิดพิเรนทร์ขึ้นมา
บรรดาศิษย์ร่วมสถาบันรอบ ๆ ตัวต่างก็ตกใจที่เห็นหลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาตบหน้าตนเองเช่นนั้น
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“พี่หลินเป็นอะไรงั้นหรือ”
“หรืออาการทางสมองจะกำเริบอีกแล้วนะ”
“แต่ความสามารถในสองสามวันที่ผ่านมาก็ชัดแล้วนี่ว่าเขาหายดีแล้ว”
“อ๋า ข้ารู้แล้ว พี่หลินต้องใช้วิธีนี้ในการบังคับให้ตนเองไม่ไขว้เขวไปกับความงามของสาว ๆ พวกนี้ แต่สนใจแค่วิชากระบี่ของพวกนางก็เป็นได้ นี่สินะมือกระบี่ตัวจริง”
อินอี้ผู้ถูกห่อด้วยผ้าพันแผลราวกับมัมมี่ ทำหน้าทำตาเหมือนเข้าใจแจ่มแจ้งและพูดขึ้นมา
เป็นจินตนาการที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงสุด ๆ
พวกเขาต่างก็ชื่นชมหลินเป่ยเฉินราวกับคนตาบอด
และทันใดนั้นเอง บรรดาเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็รู้สึกอับอายตัวเองในคำพูดของอินอี้ขึ้นมาชอบกล
“ตอนนี้พี่หลินน่ะแสนจะแข็งแกร่ง แต่กระนั้น เขาก็ยังคงไม่สนใจตัณหาราคะ สนใจเพียงการประลองเท่านั้น”
“นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เขาพัฒนาได้ไวขนาดนี้ก็ได้”
เซวียเยว่และเฉิงขู่ถอนหายใจด้วยความขมขื่น
ผู้ชมรอบ ๆ เวทีต่างก็เงียบเสียงลงเพื่อเฝ้ารอให้การประลองของสองเทพธิดาแห่งสถานศึกษาที่สามนั้นเริ่มต้นขึ้น
บรรยากาศรอบเวทีประลองนั้น จากที่เคยวุ่นวายและเสียงดัง ก็กลับเงียบลงราวกับต้องมนต์
และอาจารย์ติงผู้คุมสอบก็ได้ประกาศขึ้นว่า “เริ่มการประลองได้”
“ชวิ้งงง”
“ชวิ้งงง”
กระบี่สองเล่มตัดฝ่าผ่านอากาศในเวลาเดียวกัน
“แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!”
กระบี่ในมือเด็กสาวทั้งสองฟาดฟันกันก่อให้เกิดประกายสว่างวาบ
แน่นอนว่าการที่คู่ต่อสู้ต่างเป็นเด็กสาวนั้น ทำให้การประลองนี้น่าตื่นตาขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า
ทั้งสองไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
และต่อสู้กันอย่างไม่รีรอ
การประลองเริ่มในทันที
และในตอนแรกนั้น เด็กสาวทั้งสองใช้การต่อสู้ด้วยท่ากระบี่พื้นฐาน
การเคลื่อนไหวที่สอดคล้องราวกับการเริงระบำนั้น แสดงให้เห็นถึงความชำนาญและความเป็นธรรมชาติ
หรือจะเรียกได้ว่า ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวของนางทั้งสองนั้น เผยให้เห็นกระบวนท่าและเรือนร่างที่งดงามราวกับภาพฉายในจินตนาการ
โดยเฉพาะทั้งส่วนหน้าอกและบั้นท้ายที่เด้งขึ้นลงตามจังหวะการขยับตัว
นี่ช่างเร่าร้อนอะไรแบบนี้เนี่ย
การประลองอย่างดุเดือดของทั้งสองสาวดูราวกับการร่ายรำจากนักระบำมืออาชีพไม่มีผิด
“มีฝีมือเหมือนกันนะเนี่ย” หลินเป่ยเฉินถอนหายใจเบา ๆ
และทันใดนั้น เสียงตบก็ดังขึ้นมาจากด้านล่างเวทีประลอง
“เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!”
เด็กหนุ่มหลายคนต่างก็กำลังตบหน้าตนเอง
“เป็นอะไรกันอีกวะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินหันมองด้วยความงงงวย
บรรดาศิษย์ชายนั้นต่างตบหน้าตนเองด้วยความอับอายและพยายามบอกตัวเองให้เลิกสนใจแต่ความงามของเด็กสาวทั้งสอง เช่นเดียวกับที่เรียนรู้จากหลินเป่ยเฉิน และสนใจแต่เพียงกระบวนท่าการต่อสู้ของทั้งสองเท่านั้น
เมื่อหลินเป่ยเฉินรู้เช่นนั้น เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจ
เด็กหนุ่มพวกนี้ยังใสซื่ออยู่มากนัก
การต่อสู้บนเวทีประลองนั้นผ่านไป 1 ก้านธูปแล้ว
เด็กสาวทั้งสองคนนั้นราวกับเดาใจของอีกฝ่ายออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พวกนางกู่ร้องออกมา ก่อนที่จะถอยไปข้างหลังสามก้าวในเวลาเดียวกัน และบรรยากาศรอบตัวพวกนางทั้งสองก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“ชวิ้งงง ชวิ้งงง”
ทันทีที่พวกนางขยับตัว เสียงกระบี่ฟาดฟันก็ดังขึ้นแหวกอากาศ
กระบี่ในมือของเด็กสาวทั้งสองดูราวกับมีชีวิต แสงสะท้อนบนกระบี่ปรากฏขึ้น ทำให้เห็นว่าการต่อสู้นี้เข้มข้นขนาดไหน
“อ๊ะ นั่นมันวิชากระบี่ระดับสูงอีกแล้ว” อาจารย์ผู้สังเกตการณ์อดอุทานออกมาไม่ได้
พวกเขานั้นตื่นเต้นตกใจตั้งแต่ตอนที่อู๋เสี่ยวฟางใช้วิชากระบี่อสรพิษร่ายรำ ซึ่งเป็นวิชากระบี่ 1 ดาวแล้ว
เพราะสถานศึกษาระดับเยาวชน จะไม่ได้มีการสอนวิชากระบี่ชั้นสูงแต่อย่างใด
แต่นี่เป็นเพราะพลังลมปราณของศิษย์เหล่านี้สูงมากพอจะใช้วิชากระบี่ชั้นสูงได้แล้วต่างหาก
การจะสามารถใช้วิชากระบี่ระดับสูงได้นั้น ย่อมต้องมีการฝึกฝนและมีระดับพลังลมปราณที่สูงมากพอ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผู้ใช้วิชากระบี่สามารถใช้กระบวนท่าระดับสูงได้อย่างมีพลังและทรงประสิทธิภาพมากที่สุด
เห็นได้ชัดว่าการฝึกฝนนั้น มิได้ทำไปโดยไร้จุดมุ่งหมายแต่อย่างใด ยิ่งฝึกหนักเท่าไหร่ ก็ยิ่งใช้กระบวนท่าได้คล่องแคล่วมากเท่านั้น นอกจากนี้ ยังเสริมจุดเด่นให้แก่ผู้ฝึกฝน ทำให้สามารถใช้เพื่อสมัครเข้าสำนักกระบี่ระดับสูงต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย