บทที่ 33 คนผู้นี้ออกจะพิเศษอยู่สักหน่อย
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้แน่นอนเสมอไป
ในโลกใบนี้ ย่อมมีพวกแหกคอกอัจฉริยะบางคนที่ไม่ได้เป็นไปตามนั้น
ในเมืองหยุนเมิ่ง ศิษย์มากความสามารถบางคนที่มีพลังลมปราณอยู่ในระดับสูง พวกเขาจะหาซื้อคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์มาอย่างลับ ๆ และใช้เวลาในการฝึกฝนอย่างเงียบ ๆ หากพวกเขาโชคดีมากพอ ก็จะสามารถเข้าใจวิทยายุทธ์ระดับสูงเหล่านั้นได้ก่อนหน้าเพื่อนร่วมสถาบันรุ่นเดียวกัน
เช่นเดียวกับอู๋เสี่ยวฟาง
เขาเรียนรู้เพลงกระบี่อสรพิษร่ายรำมาเพียงเล็กน้อย แต่ก็มากพอที่จะสามารถเอาชนะศิษย์ในระดับเดียวกันได้
แต่โชคร้ายที่คู่ต่อสู้ในรอบสุดท้ายคือหลินเป่ยเฉิน ผู้มีตัวช่วยวิเศษ ทำให้อู๋เสี่ยวฟางต้องพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ
หากอู๋เสี่ยวฟางฝึกฝนวิชาอสรพิษร่ายรำมาอย่างหนักและลึกซึ้งกว่านี้ เขาต้องเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าคนที่มองเรื่องเหล่านี้ออก ก็มีแต่อาจารย์อาวุโสเท่านั้น
แต่ในตอนนี้ ทั้งมู่ซินเยว่และเยว่หงเซียงต่างก็ใช้วิชาและกระบวนท่าชั้นสูงที่ถูกฝึกปรือมาอย่างดี และเหนือชั้นกว่าการประลองของอู๋เสี่ยวฟางนัก
เมื่อเด็กสาวทั้งสองขยับตัว แสงพลังจากร่างกายของพวกนางก็ปรากฏขึ้นบนคมกระบี่
และเมื่อกระบี่ทั้งสองปะทะกัน เสียงคำรามกึกก้องก็ดังขึ้น
แสงประกายวาบสว่างออกมาจากจุดกระทบบนตัวกระบี่
กระแสลมพุ่งออกไปรอบทิศทางเหมือนระลอกคลื่น
เด็กสาวทั้งสองต่างก็สู้กันแบบไม่มีใครยอมใคร
ไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกนางจะแอบซุ่มฝึกฝนทักษะเหล่านี้อย่างเงียบ ๆ
ดูเหมือนว่าต่อให้อู๋เสี่ยวฟางจะสามารถเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้และได้เข้ารอบต่อไป ยังไงเสียเขาก็คงไม่มีทางเอาชนะเทพธิดาน้อยทั้งสองนางนี้ได้เด็ดขาด
อย่างที่กล่าวกันไว้ว่า คนวงในจะสนใจวิธีการ ส่วนคนวงนอกจะสนใจแค่ความครื้นเครงเท่านั้น
และหลินเป่ยเฉินคือคนนอกอย่างไม่ต้องสงสัย
เขารู้สึกเพียงแค่ว่าการต่อสู้นี้ช่างดูมีเสน่ห์เหลือเกิน
บรรดาศิษย์คนอื่น ๆ เองก็เห็นเช่นเดียวกัน
ไม่กี่อึดใจต่อมา
“แกร๊ง!”
เสียงคมกระบี่ทั้งสองยังคงปะทะกันไม่หยุดหย่อน
เยว่หงเซียงพลันอุทานขึ้น ก่อนจับข้อมือของตนเอง ถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่ง
เลือดสีแดงหลั่งไหลออกมาจากนิ้วมือของนาง
ผู้ชนะเผยโฉมออกมาแล้ว
ในขณะที่มู่ซินเยว่นั้นยังคงไม่หลุดจากอารมณ์สงบนิ่ง นางเก็บกระบี่เข้าฝักและกล่าวว่า “น้องเยว่ ขอบคุณที่ออมมือให้”
ทุกคนรอบ ๆ เวทีประลองต่างตกใจเมื่อได้ทราบผู้ชนะเสียที
การประลองนั้นไม่ได้ยาวนานนัก
เห็นได้ชัดว่ามู่ซินเยว่นั้นแข็งแกร่งอย่างหาข้อใดมาขัดมิได้เลย
เยว่หงเซียงมองไปยังข้อมือของตน ปรากฏว่าเส้นเอ็นบริเวณมือขวาถูกตัดขาด
นางรู้ได้ทันทีว่ามู่ซินเยว่นั้นฟันนางในจุดนั้นด้วยความตั้งใจ
การบาดเจ็บในลักษณะนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่พิเศษมาก ด้วยต้องอาศัยสมุนไพรผงขาวที่หายากในการสมานกระดูกรักษาเส้นเอ็น กว่าจะหายดีก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน ทำให้ฝีมือการต่อสู้ของนางไม่สามารถพัฒนาได้ไกลเท่าที่ควรจะเป็นอีกแล้ว
นี่ย่อมส่งผลต่อการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองเป็นแน่
“ข้าแพ้แล้ว”
เยว่หงเซียงนั้นไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด และไม่โทษมู่ซินเยว่แม้แต่น้อย
นางเก็บกระบี่คืนฝักด้วยมือข้างซ้าย ก่อนจะเดินลงจากเวทีประลองไป
“ผู้ชนะคือ…มู่ซินเยว่”
อาจารย์ติงผู้คุมสอบประกาศขึ้น
มู่ซินเยว่ยืนอยู่บนเวทีประลองด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ผมดำเงาของนางปลิวไสวท่ามกลางสายลม ผิวขาวละเอียดต้องประกายสีทองจากแสงแดดยามอัสดง ราวกับถูกเคลือบไปด้วยแสงจากสวรรค์ ภาพที่งดงามเบื้องหน้าถึงกับทำให้หัวใจของศิษย์หนุ่ม ๆ บางส่วนเต้นไม่เป็นจังหวะ
“การประลองในวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว”
จากแท่นสังเกตการณ์ อาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่ยืนขึ้นและกล่าวประกาศจบการประลองสำหรับวันนี้
การประลองในครั้งนี้เหลือเพียงรอบเดียวเท่านั้น นั่นคือการประลองสุดท้าย
และทุกคนจะได้เป็นประจักษ์พยานของผู้ที่ได้เป็นอันดับ 1 แห่งสถานศึกษานี้
หลังจากการพูดคุยกันจบลง ผู้คนต่างแยกย้ายกันกลับ
ศิษย์หญิงบางส่วนรวบรวมความกล้าเพื่อไปขอพบหน้าหลินเป่ยเฉิน แต่ก็ไม่มีใครสามารถหาตัวชายหนุ่มเจอสักคนเดียว
เวลาผ่านไป 1 ก้านธูป
ในห้องรับรองผู้คุมสอบ
“ฮะฮ่า พี่หลี่ ท่านคิดว่ายังไงบ้างกับสุดยอดศิษย์สองคนสุดท้ายจากการสอบกลางภาคของสถานศึกษาเราบ้างล่ะ”
อาจารย์ฉู่นั้นราวกับคนความจำเสื่อม เขาเอาแต่ถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ
หลี่ชิงสวนเหนื่อยใจกับชายชราผู้นี้เหลือเกิน
“นี่เขาหุบปากไม่ได้เลยหรือไงนะ”
เขารู้ดีว่าฉู่เหินนั้นอยากจะโอ้อวด แต่การถามแต่คำถามเดิม ๆ นี่มันน่าเบื่อเกินไปแล้ว
เขาจำต้องตอบไปว่า “ดี ดี ดีมาก”
ฉู่เหินหัวเราะอีกครั้ง “แล้วท่านคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะวันพรุ่งนี้ล่ะ ท่านพี่หลี่”
หลี่ชิงสวนคิดสักพักก่อนจะตอบว่า “สำหรับข้านั้นมีโอกาสพอกันทั้งคู่ แต่มู่ซินเยว่ดูจะเป็นต่อกว่าเสียหน่อย”
“หืม?”
อาจารย์ฉู่ตกใจเล็กน้อย “ทำไมท่านคิดเช่นนั้นเล่า”
“ข้าก็แค่เดาจากประสบการณ์น่ะ” ผู้สังเกตการณ์หลี่ตอบ
ฉู่เหินพยักหน้า ตอบว่า “ข้าเองก็ด้วย ไม่รู้ทำไมเหมือนจะมีลางสังหรณ์เช่นนั้น ต่อให้ค่าพลังของหลินเป่ยเฉินจะมากกว่านางก็ตาม”
“ยังไงก็เถอะท่านฉู่ ท่านเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมจู่ ๆ เจ้าเด็กที่ไม่สนโลกคนนั้น กลับกลายเป็นสุดยอดมือกระบี่ได้ในข้ามคืน เขาซ่อนความลับอะไรอยู่กันแน่” หลี่ชิงสวนยกประเด็นนี้ขึ้นมา
ใบหน้าของฉู่เหินดูเคร่งเครียดขึ้นทันตาเห็น “แน่นอนว่าข้าก็คิดอยู่ นี่ต้องเป็นแผนการของท่านขุนนางนักรบสวรรค์แน่ ๆ เขาเป็นหนึ่งในตำนานแห่งสนามรบและได้สร้างเกียรติประวัติไว้มากมาย เขานั้นตามใจลูกชายของตนเป็นอย่างมาก ดังนั้นคงไม่แปลกหากเขาจะทิ้งอะไรไว้ให้ลูกชายบ้าง”
หลี่ชิงสวนพยักหน้า
เขาเองก็คิดเช่นเดียวกัน
แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้ลืมข้อเท็จจริงที่ว่าท่านจักรพรรดิไม่ได้สั่งฆ่าหลินเป่ยเฉินเพราะเหตุผลอะไร เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้หลินเป่ยเฉินนั้นเป็นเพียงคนโง่เขลาที่ไม่มีพิษภัย ปล่อยชีวิตหรือฆ่าทิ้งไป ก็ไม่มีความแตกต่างใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่ตอนนี้ เขากลับกลายเป็นอัจฉริยะขึ้นมาเสียอย่างนั้น
หากท่านจักรพรรดิทรงทราบเรื่อง เขาจะยังคงเก็บบุตรชายของขุนนางผู้เป็นนักโทษหลบหนีคดีไว้ไหมนะ
ในที่สุด ความมืดก็มาเยือน
สถานศึกษาวิชากระบี่ที่สามนั้นตกอยู่ในความเงียบและมืดมิด
ที่บริเวณชายป่าข้างลานประลองนั้น
เมื่อหลินเป่ยเฉินกลับไปถึงหน้ากระโจมที่พัก เขาก็เห็นใบหน้าและแววตาที่โศกเศร้าของพ่อบ้านหวังจ้องมายังตนเองตั้งแต่ไกล
“นายน้อย…กระบี่ข้า…”
“มันหักแล้วล่ะ”
“อ๋า ไม่นะ นั่นเป็นกระบี่ของบรรพบุรุษข้าเชียวนะ”
“ก็มันหักไปแล้ว”
“นายน้อย นั่นมันเป็นกระบี่แห่งความภาคภูมิใจของตระกูลข้าเลยนะ แต่ท่าน…”
“ก็มันหักไปแล้วจริง ๆ ”
“พุทโธ่เอ๋ย กระบี่นั้นส่งต่อมาถึง 18 รุ่นเลยนะ แต่ดันมาหักไปเพราะท่านเสียแล้ว”
“หุบปากทีน่า หยุดร้องได้แล้ว เดี๋ยวข้าซื้อเล่มใหม่ให้”
“จริงรึ? งั้นข้าอยากได้กระบี่ปักษานภาของท่านฟ่านที่เขากำลังนิยมกันอยู่น่ะ”
“เออ ได้”
“ขอบพระคุณมากนายน้อย เดี๋ยวข้ารีบไปเตรียมอาหารเย็นให้นะขอรับ”
เห็นได้ชัดว่าหวังจงผู้น่าสมเพชเป็นลูกน้องที่ประหลาดและไม่เหมือนใครจริง ๆ
และในที่สุด อาหารเย็นสุดหรูก็ตระเตรียมเรียบร้อย ด้วยสัดส่วนของผักและเนื้อสัตว์แสนอร่อยอย่างลงตัว คู่กับสุราดอกพีชสูตรพิเศษ ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกราวกับนั่งอยู่ในภัตตาคารหรู
หวังจงนั้นดูแลเขาเป็นอย่างดี
หลินเป่ยเฉินรู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้ชายชราคนนี้เป็นผู้ติดตาม
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มก็กลับเข้าไปในกระโจมที่พัก
หลังจากเปิดโทรศัพท์ดูอยู่หลายรอบ เขาก็ไม่พบอะไรใหม่
จึงเข้านอนทันที
หลังจบการประลองในวันนี้ ต่อให้เขาจะมีพลังลมปราณมากเพียงใด ก็ยังอดที่จะหมดแรงไม่ได้
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ในขณะที่กำลังหลับอยู่ เสียงของพ่อบ้านหวังก็ดังขึ้นด้านนอก
“นายน้อย…นายน้อย มีคนมาหาท่านแน่ะ”
หวังจงยืนอยู่หน้าทางเข้ากระโจม
หลินเป่ยเฉินหันมามองและกล่าวว่า “ใครน่ะ ข้าไม่มีเวลาพบหรอกนะ ให้มันกลับไปซะ”
“เอ่อ นายน้อย…คนผู้นี้ออกจะพิเศษอยู่หน่อย ๆ ท่านน่าจะออกมาพบดีกว่า” น้ำเสียงของพ่อบ้านหวังแฝงความสัปดนอยู่ไม่น้อย