บทที่ 339 ตระกูลหลิงแห่งหยุนเมิ่ง
หลิงจุนเเซวียนแทบจะเสียสติแล้ว
ท่านพ่อ
ท่านเมามายมากเกินไป จนไม่รู้แล้วใช่ไหมว่าพูดอะไรออกมา?
อยากจะปกป้องหลินเป่ยเฉินขนาดไหนก็ทำไปเถิด
แต่คำว่า ‘หลานเขย’ เมื่อถูกเอ่ยออกมาแล้ว มันจะทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว
โดยเฉพาะลูกชายของท่านคนนี้
ท่านพ่อก็รู้ดีนี่นาว่าหลิงเฉินหมั้นหมายว่าจะต้องแต่งงานกับเว่ยหมิงเฉินไว้นานแล้ว ถ้าเกิดเรื่องราวนี้หลุดรอดออกไปจนเว่ยหมิงเฉินรับทราบ ชีวิตแต่งงานในอนาคตของหลานสาวท่านจะเป็นเช่นไร?
หลิงจุนเเซวียนแทบจะเสียสติแล้วจริงๆ
บรรดาชาวเมืองที่รวมตัวกันอยู่ในจัตุรัสก็ตกตะลึงเช่นกัน
หลิงไท่ซวีกล้าพูดออกมาได้อย่างไรว่าหลินเป่ยเฉินเป็นหลานเขยของตนเอง?
เขาคิดอะไรอยู่
นี่คือการประกาศให้ทุกคนทราบว่าสาวกปีศาจกลายเป็นหลานเขยของเขา… ไม่ทราบเลยว่าหากหลิงไท่ซวีสร่างเมาขึ้นมาแล้ว เขาจะจำคำพูดของตนเองได้บ้างหรือไม่?
ถังกู่จินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่รอยยิ้มด้วยความดีใจจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างไม่สามารถห้ามได้อีก เช่นเดียวกับดวงตาของเขาที่เป็นประกายวาววับ
ตาเฒ่านี่
ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา หลิงไท่ซวีเอาแต่วุ่นวายอยู่กับสุรานารีกีฬาบัตร ทำลายภาพลักษณ์ของตนเองไม่เหลือชิ้นดี คิดไม่ถึงเลยว่าชายชราจะกล้าทำลายชื่อเสียงของตนเองถึงขนาดนี้
สงสัยคงจะหมดหวังแล้วกระมัง?
ไม่ทราบว่าท่านต้องการจะวางอำนาจบาตรใหญ่?
หรือเพียงแค่รนหาที่ตายกันแน่
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ถังกู่จินเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะ “เมื่อสักครู่นี้ผู้เฒ่าหลิงพูดอะไรออกมา ข้าน้อยได้ยินไม่ค่อยถนัด ไม่ทราบว่าพอจะพูดอีกทีได้หรือไม่?”
รอยยิ้มที่ค้างอยู่บนใบหน้าของผู้ตรวจการมณฑลพลันสลายหายวับไปแล้ว
เขาไม่ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจอีกต่อไป “ข้าน้อยคงต้องขอย้ำเตือนท่านผู้เฒ่าอีกสักครั้ง หลินเป่ยเฉินเป็นสาวกปีศาจ ไม่ว่าท่านจะเอ็นดูเขาอย่างไร ก็เปลี่ยนความจริงในข้อนี้ไม่ได้ อย่าว่าแต่เดิมทีท่านมีภาพลักษณ์เป็นคนเสเพลรุ่นใหญ่ประจำเมือง ท่านไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรก”
“แล้วถ้าข้าอยากจะยุ่งล่ะ” หลิงไท่ซวีมีดวงตาเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที
ถังกู่จินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าน้อยก็อยากได้รับคำชี้แนะจากผู้เฒ่าสักหน่อยแล้ว”
หลิงจุนเเซวียนกำลังจะเดินไปที่อีกเวทีหนึ่งเพื่อหานักโทษเหล่านั้นด้วยความปวดหัว แต่เมื่อได้ยินคำท้าทายของถังกู่จิน เขาก็หันกลับมาชักสีหน้าด้วยความโกรธแค้น “เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงพูดกับพ่อข้าเช่นนี้?”
เสียงพูดยังไม่ทันจางหาย
วูบ!
คมกระบี่ก็สาดประกายเจิดจ้า
หลิงอู๋ นายทหารหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังบิดา บัดนี้ได้ชักกระบี่ออกมาแล้ว
กระบี่ของเขาเป็นสีเงินสว่างไสว
อัดแน่นด้วยพลังของความโกรธแค้นและจิตสังหาร
คมกระบี่พุ่งตรงเข้าไปหาถังกู่จิน
ผู้ตรวจการมณฑลเบิกตาโตในขณะที่คมกระบี่กำลังจะเข้าถึงตัว
“ใต้เท้าระวัง” อู๋ซางหยางเป็นองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายถังกู่จิน เขาลงมือตอบสนองต่ออันตรายอย่างเร็วไว ผลักถังกู่จินไปด้านข้างระหว่างที่ตนเองชักกระบี่ออกมาจากข้างเอว
เคล้ง!
ปลายกระบี่ของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรง
หลายกระบวนท่าถูกใช้ออกมาด้วยความเร็วสูงสุด
เสียงกระบี่ปะทะกันดังเป็นจังหวะไม่ต่างจากท่วงทำนองเสียงดนตรี
หลิงอู๋สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยระหว่างที่ฟาดฟันกระบี่ต่อไปไม่หยุดยั้ง
อู๋ซางหยางก็ยกกระบี่ขึ้นปัดป้องได้อย่างทันท่วงที
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
กระบี่ของพวกเขาปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่า
อู๋ซางหยางรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกหนักหน่วงที่บริเวณข้อมือ จึงอดรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้
เขามีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 9 อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็จะสามารถขึ้นสูงขั้นยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จ ชายหนุ่มจึงมั่นใจตั้งแต่ไหนแต่ไรเวลาที่ต้องประลองยุทธ์กับใครก็ตาม เพราะฉะนั้น อู๋ซางหยางจึงคิดไม่ถึงเลยว่านายทหารหนุ่มผู้นี้จะทำให้เขาถึงกับเหงื่อตกแล้ว
องครักษ์หนุ่มไม่แปลกใจอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดหลิงอู๋กับหลิงฉือ ถึงได้รับการยกย่องให้เป็นนายทหารอนาคตไกลของกองทัพ
หลังจากได้รับทราบฝีมือกันเรียบร้อยแล้ว อู๋ซางหยางก็ไม่กล้าประมาทอีกต่อไป
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
หลิงอู๋โจมตีอย่างรวดเร็ว กระบี่ของเขาเคลื่อนไหวไม่ต่างจากงูสายฟ้า แต่พลังลมปราณที่แฝงมากับคมกระบี่นั้นมีความน่ากลัวมากกว่าความเร็วหลายเท่า ไม่มีใครเดาออกเลยว่านายทหารหนุ่มมีระดับพลังอยู่ในขั้นไหนแล้ว เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังใช้วิชากระบี่ชนิดใด เพราะมันรวดเร็วมากเกินไปจนมองได้ไม่ถนัดตา
อู๋ซางหยางไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้อีกต่อไป
“เคล้ง!”
กระบี่ตกลงบนพื้น
อู๋ซางหยางส่งเสียงคำรามในลำคอ เซถอยหลัง เลือดเป็นสายพุ่งกระฉูดออกมาจากหัวไหล่
นี่คือความพ่ายแพ้ใช่หรือไม่?
อู๋ซางหยางรู้สึกตื่นตระหนกจนพูดอะไรไม่ออก
หลิงอู๋ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำเดียว
ถังกู่จินยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอาการประหลาดใจออกมาสักนิดขณะที่เอ่ยปากชื่นชมว่า “ประเสริฐมาก ควรค่าแล้วที่เจ้าถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะของตระกูลหลิงและเป็นนายทหารอนาคตไกล แต่วันนี้เจ้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ หุหุ …คิดหรือว่าจะรอดพ้นจากความผิดนี้ไปได้ง่ายๆ”
ผู้ตรวจการมณฑลพูดยังไม่ทันจบประโยคดี…
เคล้ง!
ประกายสีเงินพุ่งวาบออกจากข้างกายของถังกู่จินและกระทบเข้ากับกระบี่ในมือหลิงอู๋
“หืม?” นายทหารหนุ่มอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อสัมผัสได้ถึงการโจมตีอันรุนแรงจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว
ไป๋ไห่ชิน เซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุน ค่อยๆ ก้าวเดินออกมาข้างหน้าอย่างแช่มช้า
เมื่อสักครู่นี้เป็นการโจมตีของเขาเอง
นั่นคือการตอบโต้หลิงอู๋อย่างซึ่งหน้า
“อายุเพียงเท่านี้ หาได้ยากนักที่จะมีผู้ใดฝีมือแข็งแกร่งทัดเทียมคุณชายหลิง แต่น่าเสียดายที่ท่านเป็นสาวกปีศาจ… จงวางกระบี่และยอมมอบตัวเสียดีๆ อย่ารนหาความทรมานให้แก่ตัวของท่านเลย”
ไป๋ไห่ชินพูดด้วยน้ำเสียงสอนสั่ง
หลิงอู๋หัวเราะในลำคอเหมือนได้ยินเรื่องราวตลกขบขันที่สุดในชีวิต “คนแซ่ไป๋ เจ้าไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน? ลืมแล้วหรือไงว่าตอนที่สู้กับพี่ชายของข้า เจ้าไม่สามารถรับมือเขาได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว แล้วคิดที่จะมีปัญหากับคนสกุลหลิงอีกได้อย่างไร?”
“พี่ชายอย่างนั้นหรือ?” ไป๋ไห่ชินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปาก “ข้าเคยสู้กับพี่ชายของท่านตอนไหนกัน…”
เสียงพูดยังไม่ทันจางหายไป
“อาจารย์ไป๋คงแก่มากแล้ว สงสัยจะลืมเลือนไปแล้วจริงๆ”
น้ำเสียงที่เย็นชาปราศจากความรู้สึกดังขึ้นจากด้านหลังหลิงอู๋ นายทหารหนุ่มขยับหลีกทางเล็กน้อย ก็ปรากฏหนุ่มหล่ออีกคนหนึ่งเดินออกมาจากเงามืด ทันใดนั้น บรรยากาศบนเวทีมอบรางวัลก็แปรเปลี่ยนไปทันที
“เป็นเจ้าเองหรือ?” ไป๋ไห่ชินสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงนั้น
ชายชราจำได้ดีว่านี่คือเสียงของบุรุษลึกลับที่อยู่ในห้องรับประทานอาหาร ณ โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง… และเหตุการณ์นั้นก็เป็นเสมือนฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนอยู่ในจิตใจของไป๋ไห่ชินเรื่อยมา
มันเป็นเสียงที่เขาจำได้ดี
ไป๋ไห่ชินไม่มีทางจำผิดเด็ดขาด
“เจ้าคือ…” เซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุนพยายามจะถามว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“ข้าคือหลิงฉือ” ชายหนุ่มหน้านิ่งพูดเน้นทีละคำ “เจ้ากับถังกู่จินเลือกมาว่าใครจะยอมตายก่อน ข้าให้เวลาพวกเจ้าปรึกษากันห้าลมหายใจ”
รังสีอํามหิตแผ่จากร่างกายของชายหนุ่มปกคลุมม่านรัตติกาล ทุกคนที่ยืนอยู่บนเวทีมอบรางวัลรู้สึกหนักอึ้งขนลุกเกรียว ไป๋ไห่ชินหรี่ตาลงเล็กน้อยและชักกระบี่ออกมา ทันใดนั้น อู๋ซางหยางที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ปรากฏบาดแผลฉกรรจ์ทั่วลำตัว แม้แต่ชุดเกราะที่เขาสวมใส่อยู่ก็ปรากฏรอยกระบี่เป็นจำนวนมาก
น่ากลัวเกินไปแล้ว
อู๋ซางหยางทรุดลงไปด้วยความเหลือเชื่อ
หลิงฉือน่าจะมีอายุน้อยกว่าเขาไม่ต่ำกว่า 10 ปี
เหตุไฉนถึงได้มีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้?
นี่มันเป็นพลังระดับมือกระบี่ในตำนานชัดๆ
เขาสงสัยว่าหลิงฉือสามารถโจมตีได้อย่างไร ในเมื่อก็เห็นอยู่ว่าชายหนุ่มยังไม่ได้ชักกระบี่ออกมา แต่คิดยังไม่ทันจบ อู๋ซางหยางก็ถูกโจมตีอีกครั้งจนสติดับวูบไป
Related