บทที่ 34 ก็หัวใจดวงเก่า เจ้าเป็นคนทำลายทิ้งเองไม่ใช่หรือ
หลินเป่ยเฉินนั้นอดจะโมโหไม่ได้เมื่อถูกปลุกขึ้นมากลางดึก เขาเดินออกมาจากที่พักก่อนจะก่นด่าและบ่นไม่หยุด “ใครกัน”
เด็กหนุ่มมองตรงไปข้างหน้า
ท่ามกลางเงาของต้นไม้ที่แสงจันทร์ทอดผ่าน ร่างระหงในสายคาดกระบี่สีครามได้ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา ราวกับดอกไม้ต้องแสงจันทร์จนบานไปทั่วป่าในยามราตรี
มู่ซินเยว่นั่นเอง
“หือ?”
หลินเป่ยเฉินประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพ่อบ้านหวังถึงมีน้ำเสียงเช่นนั้น”
เขาคงจะคิดว่าทั้งสองยังคงติดต่อคบหากันอยู่สินะ
“ข้ามาพบเจ้านั่นแหละ…นี่ข้าไม่เป็นที่ต้อนรับแล้วงั้นหรือ” มู่ซินเยว่กล่าว
“แน่นอน…” หลินเป่ยเฉินตอบ “เจ้าไม่เป็นที่ต้อนรับ”
มู่ซินเยว่ไม่ได้มีท่าทีผิดหวังแต่อย่างใด นางกลับยิ้มออกมา “คนบื้อเอ๊ย นี่เจ้ายังโกรธข้าอยู่งั้นหรือ”
หลินเป่ยเฉินยืนงงงัน
“อะไรของยัยนี่วะ?”
“จะมาไม้ไหนอีก”
“ดูก็รู้ว่ายัยนี่มันตัวแสบชัด ๆ ”
“นี่ไม่อายตัวเองบ้างหรือไงที่มาพูดแบบนี้ได้หน้าตาเฉย”
“ข้ารู้ดีมาตลอดว่าเจ้าโกรธข้ามากแค่ไหน ที่ทิ้งเจ้าไปในช่วงเวลายากลำบากแบบนี้ และข้าก็ยังพูดจาไม่ดีกับเจ้าอีก” มู่ซินเยว่กัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความรู้สึกเจ็บปวด “แต่ที่ข้าทำแบบนั้นก็เพื่อผลักดันเจ้า ตราบใดที่เจ้านั้นยังคงสิ้นหวังและไม่มีมือใด ๆ ยื่นเข้ามาช่วย เจ้าจะได้สามารถใช้พลังและปลดปล่อยความสามารถที่แท้จริงของตัวเองออกมา และเติบโตเป็นคนใหม่เสียที เห็นไหมล่ะว่าเจ้าทำได้แล้ว”
“แปะ แปะ แปะ แปะ”
หลินเป่ยเฉินอดจะปรบมือให้กับคำพูดของเด็กสาวไม่ได้
เขาหันหน้าไปด้านข้างและบอกพ่อบ้านหวังว่า “นี่หวังจง เอาถังมาให้ข้าที เร็วเข้า”
พ่อบ้านหวังจงกุลีกุจอจัดเตรียมให้ ในใจคิดว่านายน้อยของเขาอาจจะโดนวางยาในอาหารหรือเปล่า และกล่าวว่า “นายน้อยอย่าทำข้ากลัวสิ ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าหรอก แค่คำพูดของนางคนนี้ ทำให้ข้าอยากจะอ้วก”
หลินเป่ยเฉินแสร้งทำท่าอ้วกประชดพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ผู้หญิงคนนี้น่ะทำข้าอยากอ้วกเสียจริง ๆ เอาตรง ๆ เลยนะ ตั้งแต่เกิดมาจนตอนนี้ ข้าเพิ่งเคยเห็นคนหน้าด้านไร้ยางอายกว่าตัวเองเป็นครั้งแรก น่าขยะแขยงเป็นที่สุด”
“เอ่อ…นายน้อย ถ้างั้นอุดหูไว้ดีไหมท่าน”
พ่อบ้างหวังตอบอย่างจริงจังและกล่าวเสริมว่า “ต่อให้ข้างในนางจะเน่าหนอนเพียงใด อย่างน้อยภายนอกนางก็งดงามไม่เบาเลยนะ ต่อให้ท่านจะไม่อยากฟังนาง แต่เมื่อดูทรงจากหน้าตาและรูปร่างเช่นนี้ ตามประสบการณ์ด้านผู้หญิงของข้า คิดว่าในอีกไม่กี่ปี นางก็คงจะสมบูรณ์แบบทีเดียว”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ”
“หวังจง…ทีแบบนี้ทำเป็นรู้ดีขึ้นมาเชียว”
“ฉลาดนักนะ ตาแก่”
หลินเป่ยเฉินโบกไม้โบกมือให้อย่างประชดประชัน
“ถูกแล้ว” เขาลูบหน้าตนเองอย่างเสียดายและกล่าวว่า “เสียดายที่สวยซะเปล่า แต่ดันปากดีแบบนี้ ไม่งั้นก็คงสมบูรณ์แบบจริง ๆ นั่นแหละ”
แววตาของมู่ซินเยว่แข็งกร้าวขึ้น
แต่นางก็ยังคงควบคุมอารมณ์ได้ดีเสมอ
“เป่ยเฉิน…ถ้าการได้เหยียดหยามข้ามันทำให้รู้สึกดีนัก งั้นก็เอาเลย ยังไงซะสิ่งที่ข้าเคยพูดกับเจ้าก็รุนแรงไม่แพ้กัน” นางกล่าวเบา ๆ
หลินเป่ยเฉินนั้นแทบหมดคำจะพูด
อะไรก็เกิดขึ้นได้กับคนไม่มีศีลธรรมแบบนี้สินะ
ผู้หญิงคนนี้…น่ากลัวชะมัดเลยแฮะ
เดี๋ยวนะ
นี่ไม่ใช่ละครหลังข่าวสักหน่อย
ดูเหมือนเรื่องราวจะดูเพี้ยน ๆ ผิด ๆ ไปจากความจริง
หลินเป่ยเฉินนั้นไม่อยากคุยกับเด็กสาวคนนี้อีกต่อไป เพราะมันไม่มีความหมายใดอีกแล้ว เขาเพียงได้แต่กล่าวว่า “ไปซะ ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า เจอกันพรุ่งนี้ในการประลองก็แล้วกัน”
มู่ซินเยว่กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ไม่…หากเจ้าไม่ให้อภัย ข้าจะไม่ไปไหนเด็ดขาด”
“&(%#_$%^*+#” หลินเป่ยเฉินโมโหจนสบถออกมาไม่เป็นภาษา
“นี่เจ้ากำลังจะทำบ้าอะไรมิทราบ”
มู่ซินเยว่ยิ้มและตอบว่า “ข้ารู้ดีว่าเจ้าน่ะอยากให้อภัยข้า เจ้าน่ะ…ช่วยหลีกทางให้ข้าในการประลองพรุ่งนี้ได้ไหม”
“หา?”
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงกับคำขอของเด็กสาว
ทำไมถึงมีคนหน้าด้านขนาดนี้อยู่บนโลกได้เนี่ย
“การได้ที่หนึ่งในการประลองมันสำคัญมากสำหรับข้า” มู่ซินเยว่กล่าว “ถ้าเจ้าหลีกทางให้ ข้าสัญญาได้เลยว่าต่อจากนี้ ข้าจะยอมอยู่กับเจ้าตลอดไป”
“แต่เจ้าก็รู้ดีนี่ว่าอู๋เสี่ยวฟางกับข้าน่ะมีข้อตกลงกัน นี่เจ้าอยากให้ข้าเป็นทาสจริง ๆ งั้นหรือ” หลินเป่ยเฉินกล่าว
มู่ซินเยว่กล่าวตอบว่า “ไม่มีปัญหาหรอก ข้าสามารถทำให้พี่อู๋ยกเลิกสัญญาได้”
หลินเป่ยเฉินอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ก่อนจะกล่าวว่า “รีบไปซะ เจ้าทำข้าแทบอ้วกแล้ว ข้าจะเป็นคนคุมโชคชะตาของตัวเองคนเดียวเท่านั้น จะไม่พึ่งพาคนอื่นเป็นอันขาด ถ้าอยากได้ที่ 1 นักก็ทำเองสิ จะให้ข้าหลีกทางให้เนี่ยนะ ก็คงได้อยู่หรอก แต่รอให้ภูเขาทุกลูกพังถล่ม แม่น้ำทุกสายแห้งเหือด มีหิมะตกในฤดูร้อน และโลกกับสวรรค์มาบรรจบก่อนเถอะนะ”
“โธ่เอ๊ย”
มู่ซินเยว่ถอนหายใจ ตอบว่า “เป่ยเฉิน เจ้ากลายเป็นคนใจร้ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
หลินเป่ยเฉินนั้นยิ้มเยาะอยู่ในใจ “ก็หัวใจดวงเก่า เจ้าเป็นคนทำลายทิ้งเองไม่ใช่หรือ”
มู่ซินเยว่ตอบว่า “ยังไงซะเจ้าก็เป็นคนเดียวในใจข้า ข้ารู้สึกรักเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ ข้าไปล่ะ…เป่ยเฉิน”
หลังจากนั้น นางก็กลับไปด้วยความโศกเศร้า
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ยัยนี่ท่าทางจะบ้าจริง ๆ สินะ
คำที่เหมาะกับนางก็คงจะมีแต่ หน้าด้าน กับ เห็นแก่ตัว เท่านั้น
แบบนี้มัน…
หลินเป่ยเฉินคิดอยู่พักใหญ่ และสุดท้ายก็มาจบที่คำว่า ยัยตัวร้าย คงจะเหมาะกับนางที่สุด
ในมหาสมุทรนั้นมีปลาหลากหลายพันธุ์ เช่นเดียวกับมนุษย์
เขาหันหลังกลับและเข้าไปนอนต่อ
แต่ยังไม่ทันจะผ่านไปถึง 1 ก้านธูป เสียงของพ่อบ้านหวังก็ดังขึ้นอีกครั้ง “นายน้อย มีคนมาพบท่านอีกแล้ว”
“ไล่นางไปซะ”
“เอ่อ คนคนนี้ก็พิเศษเหมือนกัน ท่านน่าจะออกมาพบเขาดีกว่านะ”
“ตาเฒ่า เมื่อสักครู่เจ้าก็พูดแบบนี้” หลินเป่ยเฉินเดินกระทืบเท้าออกจากกระโจมมาด้วยความโมโห กล่าวว่า “ข้าบอกว่าข้าจะไม่หลีกทางให้ไงล่ะ เจ้าคนไร้ยางอาย ไปซะ ข้าไม่ต้องการ… อ้าว อาจารย์ติง มาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ?”
ผู้ยืนอยู่นอกกระโจมที่พักในตอนนี้ไม่ใช่มู่ซินเยว่
หากแต่เป็นอาจารย์ติงซานฉือ
“เจ้าคนไร้ยางอาย?” อาจารย์ติงถามขึ้น “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน”
“ก็…” หลินเป่ยเฉินหน้าเสีย “ข้าหมายถึงคนอื่นน่ะขอรับ”
“นี่มู่ซินเยว่มาหาเจ้างั้นหรือ” อาจารย์ติงถามขึ้น
หลินเป่ยเฉินตกใจเล็กน้อย ถามว่า “เอ๋ นี่ท่านมาแอบดูข้างั้นหรือ”
อาจารย์ติงไม่ตอบอะไรอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ข้าเห็นนางเดินสวนกลับไปพอดี”
“อ้อ” หลินเป่ยเฉินถามต่อ “แล้วท่านมาหาข้าดึกขนาดนี้มีเรื่องอะไรรึ?”
“แล้วเจ้าคิดว่าไงล่ะ กระบี่ข้าอยู่ที่ใด” อาจารย์ติงกล่าวตอบ
วันนี้ในการประลอง อาจารย์ติงมอบกระบี่ให้เขา
แต่เมื่อการประลองจบลง หลินเป่ยเฉินก็รีบจากมาก่อนจะได้คืนกระบี่ให้แก่อาจารย์
“เอ๋?”
หลินเป่ยเฉินสับสนและถามว่า “ท่านอาจารย์ ข้ามีการประลองอีกรอบหนึ่งในวันพรุ่งนี้ แล้วข้าจะสู้ได้อย่างไรเล่าหากไม่มีกระบี่ กระบี่ท่านล้ำค่ามาก ข้าขอยืมอีกสักวันไม่ได้หรือ ท่านน่ะสอนข้ามานานมาก ท่านจะทนดูข้าสู้กับมู่ซินเยว่โดยไม่มีอาวุธได้อย่างไร”
เขาตั้งใจอยู่แล้วว่าจะคืนกระบี่ให้อาจารย์
แต่ที่คิดไว้ไม่ใช่วันนี้
เด็กหนุ่มรู้ดีว่ากระบี่ของอาจารย์ติงนั้นสุดยอดมากแค่ไหน
การประลองกับกระบี่แสงจันทร์นั้น ไม่ได้สร้างริ้วรอยใดให้กับกระบี่เล่มนี้เลย
การประลองกับอู๋เสี่ยวฟางทำให้เขานึกขึ้นได้ว่า อาวุธนั้นก็สำคัญไม่แพ้กระบวนท่า
เขาต้องใช้กระบี่เล่มนี้ เพื่อที่จะได้แสดงพลังออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพ
กระบี่ที่หลินเป่ยเฉินใช้งาน ต้องเป็นของดีมีคุณภาพเท่านั้น
อาจารย์ติงหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าแกะดำ ไม่คิดเลยว่าเจ้านี่ตาคมนัก เอาล่ะ…ตราบใดที่เจ้าตอบคำถามข้าได้ เจ้าสามารถเก็บกระบี่เล่มนี้ไว้ได้เลย”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตและขมวดคิ้ว “อาจารย์พูดจริงนะขอรับ?”
อาจารย์ติงกล่าวว่า “ข้าน่ะแก่แล้ว ทั้งยังเป็นอาจารย์อีกด้วย จะหลอกเจ้าให้ได้อะไรขึ้นมา”
“งั้นก็ดีเลย” หลินเป่ยเฉินกล่าว “งั้นท่านจะถามอะไรข้าก็ถามมาได้เลย ต่อให้ท่านอยากรู้ว่าพี่สาวข้ามีประจำเดือนครั้งแรกเมื่อไหร่ ข้าก็จะตอบให้”