บทที่ 35 จู่ ๆ ข้าก็ฉลาดขึ้น
เดี๋ยวนะ…
นี่เจ้าหนุ่มนี่พูดจริงหรือพูดเล่นกัน ?
ติงซานฉือรู้สึกราวกับจะเป็นลม
ใครจะไปสนเรื่องพรรค์นั้นกันเล่า
“เมื่อสองสามวันก่อน เจ้ายังเป็นแค่คนไม่เอาไหนอยู่เลย แต่จู่ ๆ เจ้ากลับพัฒนาความสามารถได้ขนาดนั้นในการประลอง แถมยังทำได้ดีกว่าที่คาดมากเสียด้วย เจ้าทำได้ยังไงกัน?”
“อ๋า เรื่องนั้นเองหรือ ตอนที่ข้าได้ยินเรื่องที่เกิดกับท่านพ่อ ข้าน่ะแทบจะสิ้นสติจนคิดอะไรไม่ออก ราวกับความรู้สึกและความคิดที่เคยมีมันหายไปหมด แต่หลังจากนั้น ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ข้าก็เกิดปวดหัวขึ้นมา และก็เกิดเรื่องแปลก ๆ พวกนี้เสียได้ เดาสิอาจารย์ติง ว่าเรื่องแปลก ๆ นั่นคืออะไร”
หลินเป่ยเฉินกลอกตาและกำลังคิดสร้างเรื่องโกหกด้วยความร้อนรน
อาจารย์ติงกล่าวถามว่า “นี่เจ้าฉลาดขึ้นแค่เพราะปวดหัวเนี่ยนะ”
“อ๋า ใช่แล้วท่านอาจารย์ ท่านนี่เป็นคนที่สุดยอดมากนะ ความนับถือที่ข้ามีต่อท่านนี่มากมายยิ่งกว่าสายน้ำไหลเสียอีกนะรู้ไหม”
“พอ ๆ ๆ เข้าเรื่องได้แล้ว”
“เอาล่ะ ๆ ก็เป็นไปตามนั้นนั่นแหละ หลังจากข้าได้ยินข่าว ข้าก็ตื้อตันไปเลย แล้วจู่ ๆ ก็ดันฉลาดขึ้นได้ยังไงไม่รู้ เมื่อได้เห็นอะไร ข้าก็จำได้ภายในปราดเดียวเสียอย่างนั้น”
หลินเป่ยเฉินรีบสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
อาจารย์ติงตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “นี่เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ เจ้าได้คะแนนภาคทฤษฎีสูงขนาดนั้นเพราะสามารถจำสิ่ง ๆ ต่าง ๆ ได้ภายในการมองครั้งเดียว”
“ใช่แล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก
นี่อาจารย์ติงเชื่อทั้งหมดนี่เลยงั้นหรือ
“ว่าต่อสิ” อาจารย์ติงกล่าว
หืม?
ต่อยังไงล่ะ?
เขายังไม่ทันได้คิดอะไรเพิ่มจากเดิมเลย
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกกังวลหน่อย ๆ
เขาใช้จินตนาการเท่าที่จะทำได้ แต่จู่ ๆ ก็นึกได้ถึงฉากหนึ่งในภาพยนตร์เก่าเรื่อง ยาจกซู ไม้เท้าประกาศิต ดวงตาเขาก็เป็นประกายวาบทันที
“อ้อ ไม่เพียงเท่านั้นนะท่านอาจารย์ แต่ข้ายังพบหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจอีกด้วย คือไม่ว่าเมื่อใดที่ข้าเข้าสู่นิทรา ข้าสามารถฝึกวิชาในฝันได้อีกด้วย ข้าสามารถจดจำกระบวนท่าต่าง ๆ ที่ข้าไม่ได้ฝึกหรือเรียนรู้มาดีพอในยามตื่น แต่เมื่อข้าตื่นขึ้น ข้าก็สามารถใช้วิชานั้นได้ทันที”
อาจารย์ติงอ้าปากค้าง
ฝึกวิชาในฝันเนี่ยนะ?
หากเป็นผู้อื่นกล่าวเช่นนี้ เขาก็คงได้สั่งสอนคนผู้นั้นในเรื่องความซื่อสัตย์เสียยกหนึ่งด้วยกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาต
แต่นี่คือหลินเป่ยเฉิน
อาจารย์ติงนึกไปถึงเมื่อคืนก่อนที่เขาได้มาเฝ้าดูเด็กหนุ่มคนนี้ และนึกไปถึงเสียงกรนดังกังวานที่ได้ยิน แถมในการเรียนปกติ หลินเป่ยเฉินก็แอบหลับอยู่บ่อยครั้ง
เจ้านี่มันฝึกวิชาในฝันจริง ๆ งั้นหรือ?
โลกนี้ได้ให้กำเนิดสุดยอดนักรบหลายต่อหลายคน และความเป็นอมตะก็มีอยู่จริง
เพราะฉะนั้น ต่อให้นี่จะฟังดูน่าเหลือเชื่อมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้
อาจารย์ติงซานฉือถามต่อว่า “งั้น…หลังจากข้าได้สอนกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตไปแล้ว เจ้าก็ใช้เวลาแค่เพียงสามวันในการฝึกฝนเพื่อการประลองในวันนี้งั้นสิ”
“ไม่เพียงเท่านั้นนะท่าน ข้ายังคงฝึกการโคจรพลังลมปราณในขณะที่ฝันอยู่อีกด้วย” เขาตอบ
อาจารย์ติงอ้าปากค้างอีกครั้ง
ไม่เพียงแค่วิชากระบี่งั้นหรือ?
แต่ยังเป็นพลังลมปราณอีกด้วย
นี่หลินเป่ยเฉินฆ่าคนในฝันได้ไหมเนี่ย
“มันฟังดู…น่าเหลือเชื่อมาก นี่เจ้าสามารถใช้กระบวนท่าได้ขนาดนี้ ด้วยการฝึกเพียงแค่ 3 วัน แถมยังเป็นการฝึกในฝันเนี่ยนะ” อาจารย์ติงรู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วนี่เจ้ามั่นใจในการประลองพรุ่งนี้มากแค่ไหน?”
เขายิ้มและกล่าวตอบว่า “ข้าก็หวังว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นน่ะนะ”
อาจารย์ติงถึงกับขมวดคิ้วนิ่วหน้า
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อด้วยความมั่นใจว่า “มู่ซินเยว่น่ะเป็นตัวร้ายกาจของแท้ นางมาหาข้าเมื่อครู่และขอให้ข้ายอมแพ้นางในวันพรุ่งนี้ คิดดูสิว่านางหวาดกลัวที่จะต้องต่อสู้กับข้าขนาดไหน”
“ถ้าเจ้าคิดแบบนั้น เจ้าก็ตกอยู่ในอันตรายแล้วละ”
“หือ? หมายความว่ายังไง ท่านอาจารย์”
ก่อนที่อาจารย์ติงจะตอบว่า “นางทำแบบนั้น ก็เพื่อให้เจ้าตายใจ เจ้าไม่ได้เห็นวิชาที่นางใช้ในการประลองวันนี้งั้นหรือ?”
ภาพงาม ๆ ของเด็กสาวทั้งสองผุดขึ้นมาในหัวของเขา หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “แน่ล่ะ ข้าเห็นทุกอย่างชัดเจนดี พวกนางน่ะอกตู้ม อวบ ขาว…”
“หือ?”
อาจารย์ติงงงงวยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกได้ เขาโมโหขึ้นมาทันทีและยกมือเขกหัวหลินเป่ยเฉินเข้าให้หนึ่งโป๊ก
อาจารย์ชรากล่าวด้วยความโกรธ “เด็กสาวพวกนั้นน่ะ ใช้วิชากระบี่ชั้นสูงหรือเชียวนะ แถมยังเป็นระดับสูงสุดอีกด้วย นางน่ะก้าวไปสู่การบรรลุเป้าหมายได้แล้วด้วยซ้ำ นี่เจ้าคิดว่ากับแค่กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตของเจ้า จะสามารถมีโอกาสเอาชนะวิชาของนางได้อีกหรือ?”
“ระดับสูงสุด? ก้าวไปสู่การบรรลุเป้าหมาย?”
หลินเป่ยเฉินยกมือลูบหัวตัวเองด้วยความเจ็บปวด ก่อนกล่าวว่า “นี่อาจารย์หมายถึงระดับการฝึกฝนของพวกนางงั้นหรือ?”
อาจารย์ติงถอนหายใจ
เจ้าแกะดำนี่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลยหรือไงนะ
อาจารย์ติงกล่าวตอบว่า “ในการฝึกฝนวิทยายุทธ์ใด ๆ ก็ตามน่ะ จากระดับแรก จนถึงระดับสูงสุดนั้นแบ่งเป็น 5 ระดับด้วยกัน นั่นก็คือ ระดับฝึกหัด ระดับพื้นฐาน ระดับเชี่ยวชาญ ระดับยอดยุทธ์ และสุดท้ายคือระดับบรรลุเคล็ดวิชา กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตของเจ้า ได้อยู่ในระดับบรรลุเคล็ดวิชาเรียบร้อยแล้ว และไม่สามารถพัฒนาไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเริ่มจะเข้าใจสถานการณ์ของตนเองขึ้นมาทันที
“แล้วแบบนี้ข้าต้องทำยังไงถึงจะสามารถเอาชนะมู่ซินเยว่ได้ล่ะ”
หลินเป่ยเฉินนั้นไม่สงสัยในความสามารถและประสบการณ์ในการตัดสินของอาจารย์ผู้นี้เลย
ดังนั้น เขาจึงเลือกทำตัวนอบน้อม และขอคำปรึกษาจากอาจารย์ดีกว่า
“จริง ๆ แล้วต่อให้วิชากระบี่สามพิฆาตของเจ้าบรรลุระดับสูงสุด มันก็ยังมีกระบวนท่าลับที่เรียกว่า กระบี่ดาราคล้อย อยู่ ดูให้ดี ๆ ล่ะ ข้าจะทำให้ดูแค่สามครั้งเท่านั้น”
สีหน้าของอาจารย์ติงดูจริงจังขึ้น
เขายกมือขึ้น
แกร๊ง!
กระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอวหลินเป่ยเฉินปลิวไปสู่มือของชายชราราวกับมีแม่เหล็กดึงดูดเข้าไป
ควับ ควับ ควับ
สามกระบวนท่าแรกนั้น ไม่ได้มีอะไรต่างจากกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตเลย
เมื่อกระบวนท่าจบลง กระบี่ในมือของอาจารย์ติงก็สาดประกายออกมา เป็นเงากระบี่เจ็ดแฉกราวกันนกยูงรำแพนแหวกอากาศไปข้างหน้า
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ต้นไม้แถบนั้นปรากฏรูโบ๋ขึ้นตรงกลาง
หลินเป่ยเฉินนั้นขนลุกตั้งชันทั้งร่างกาย
เมื่อกระบี่สาดประกายออกมา ความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงนั่น ทำให้ร่างของเด็กหนุ่มถึงกับเย็นเยียบ ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
กระบวนท่ากระบี่ดาราคล้อยนี่ช่างทรงพลังนัก
อาจารย์ติงชักกระบี่กลับคืนและหันมาถามว่า “เจ้าเห็นมันชัดไหม”
หลินเป่ยเฉินหยักหน้า “ข้าเห็นแล้ว”
อันที่จริง เขาได้อัดมันไว้ทั้งหมดแล้ว
เขาได้อัดวิดีโอกระบวนท่าทั้งหมดเอาไว้ในโทรศัพท์
การเคลื่อนไหวของกระบวนท่านั้น ช่างดูสุขุมและดุดันอย่างยิ่ง
ถึงแม้วิชาอสรพิษร่ายรำที่อู๋เซี่ยวฟางใช้ในวันนี้ จะมีประกายกระบี่เป็นเงาของอสรพิษถึง 7 แฉก แต่คมกระบี่ของจริงยังมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่เหลือนั้นเป็นเพียงแสงเงาจับต้องมิได้
ทว่า กระบวนท่ากระบี่ดาราคล้อยนี่มันคนละเรื่องเลย
เงาทั้ง 7 มีพลังโจมตีทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะโดนเงากระบี่ใดเข้า ก็ย่อมบาดเจ็บแน่นอน
นี่เรียกว่าเป็นกระบวนท่าที่สุดยอดเหนือสุดยอดอีกชั้น!
หลินเป่ยเฉินนั้นแอบยกนิ้วโป้งให้ชายชราอยู่ในใจ
อาจารย์ติงกล่าวว่า “เอาล่ะ เบิกตาดูให้กว้าง ๆ ข้าจะทำให้ดูอีกรอบ”
หลินเป่ยเฉินรีบยกมือห้าม ก่อนกล่าวว่า “ไม่ต้องแล้วท่านอาจารย์ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ข้าเห็นชัดเจนเต็มสองตา ไม่จำเป็นต้องลำบากท่านอีกแล้ว”