ตอนที่ 354 สูญเสียวรยุทธ์ไปทั้งหมดเลยหรือ?
เทพีกระบี่เป็นเทพเจ้าที่ได้รับความเคารพสูงสุดในจักรวรรดิเป่ยไห่ แต่หลินเป่ยเฉินลืมเลือนไปสนิทเลยว่าจักรวรรดิอื่นไม่จำเป็นต้องนับถือเทพเจ้าองค์เดียวกันสักหน่อย…
และที่น่าตกใจก็คือดูเหมือนเทพเจ้าเหล่านี้จะไม่ค่อยกินเส้นกันด้วย
ข้อมูลจากตำราประวัติศาสตร์จักรวรรดิเป่ยไห่ฉบับร่วมสมัยแจ้งว่า ในอดีตพวกเขาเคยมีสงครามระหว่างดินแดนเกิดขึ้น 16 ครั้งในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา และสิบครั้งมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางศาสนา
“ท่านนักพรตใหญ่หมายความว่านักฆ่าพวกนั้นถูกส่งมาจากจักรวรรดิจี้กวงหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินหยิบตะเกียบกลับขึ้นมาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่เหมือนอยากจะร้องไห้
“น่าจะเป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่” นักพรตใหญ่กล่าวตอบ
“แต่ในเมื่อทุกคนก็เป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าเหมือนกัน ทำไมถึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขไม่ได้ล่ะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความเศร้า
นักพรตใหญ่หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
แม้ว่าก่อนหน้านี้นักพรตหญิงชินจะบอกข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับเด็กหนุ่มให้นางรับฟังเรียบร้อยแล้วว่าเขาแตกต่างไปจากผู้คนธรรมดา ทว่าเมื่อได้มาสัมผัสกับตนเอง นักพรตหญิงวัยกลางคนถึงได้เข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินมีความไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง
น่าจะเป็นเพราะในอดีตเขาเคยมีปัญหาทางสมองนั่นแหละนะ
“หากพิจารณาเพียงผิวเผิน ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่ศรัทธาในเทพเจ้าเหมือนกัน แต่ถ้าเจ้าพินิจดูรายละเอียดของคำสอน ก็จะพบว่าเทพเจ้าแต่ละองค์มีคำสอนแตกต่างกันไป โดยเฉพาะในแผ่นดินตงเต้าที่มีเทพเจ้าอยู่มากมาย ผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแต่ละองค์จึงเกิดความขัดแย้งกันเป็นธรรมดา นี่คือเรื่องที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย…”
นักพรตหญิงชินคลี่ยิ้มให้แก่หลินเป่ยเฉินแล้วถามปิดท้ายว่า “ที่พูดไปทั้งหมดนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เด็กหนุ่มพยักหน้า “เข้าใจขอรับ ทุกคนต่างก็อยากให้เทพเจ้าของตนเองเป็นเทพเจ้าอันดับหนึ่ง หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ถ้าอยากจะให้ศาสนาของตนเองได้รับความนิยมมากขึ้น สิ่งที่ต้องทำก็คือการแย่งชิงดินแดน ชาวเมืองและทรัพยากรของฝ่ายตรงข้ามมาให้ได้”
ความขัดแย้งแบบนี้มัน…ไม่ได้ต่างไปจากชนวนเหตุที่ก่อให้เกิดสงครามศาสนาในโลกมนุษย์เลยสักนิด
และไม่มีสงครามศาสนาครั้งใดจะโด่งดังมากไปกว่าสงครามครูเสดอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินนึกเสียใจขึ้นมาทันทีที่ตนเองมีตำแหน่งเป็นร่างทรงเทพเจ้า
แต่นักพรตใหญ่ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาตอบรับของเด็กหนุ่ม นางยังคงกล่าวต่อไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มใจดี “เมื่อสาวกเทพเจ้าแห่งธนูได้รับทราบข่าวว่าเมืองหยุนเมิ่งแห่งนี้มีตัวแทนของเทพีกระบี่ปรากฏตัวขึ้นมา เจ้าคิดว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง?”
มีปฏิกิริยาอย่างไรบ้างน่ะหรือ?
แน่นอนว่าก็ต้องอยากฆ่าเขาทิ้งอยู่แล้ว
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด
เหล่าสาวกผู้ที่ศรัทธาเทพเจ้าแห่งธนู ย่อมทนเห็นไม่ได้ที่สาวกของเทพีกระบี่จะมีร่างทรงเทพเจ้าขึ้นมาเช่นนี้
หลินเป่ยเฉินรีบกระดกเครื่องดื่มเพื่อดับความคิดฟุ้งซ่านอีกครั้ง
รู้สึกหดหู่
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด ยิ่งหงุดหงิดก็ยิ่งรู้สึกโกรธ
ยิ่งโกรธก็ยิ่งแค้น…
เด็กหนุ่มเริ่มเกิดความคิดที่จะหาเงินให้มากขึ้นและเขาจะใช้ช่องทางติดต่อของเทพีกระบี่หิมะไร้นาม จ้างวานให้เทพีกระบี่ไปสังหารเทพเจ้าเแห่งธนูบนดินแดนทวยเทพซะ เพียงเท่านี้ชีวิตของเขาก็คงอยู่สุขสบายไปอีกนาน
ถ้าหากนักพรตใหญ่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ นางคงจะต้องเสียสติเป็นแน่
หากหลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลทั่วไปที่ถูกผู้คนของวิหารฝ่ายตรงข้ามตามล่า ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ถูกตามล่าก็จะต้องปลอมแปลงหน้าตาและซ่อนตัวตนเพื่อหลบหนีจากอันตราย ความคิดที่จะเผชิญหน้าเพื่อต่อสู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน จึงไม่ใช่สิ่งที่นิยมทำกันสักเท่าไหร่ เพราะนั่นเป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย
นักพรตใหญ่ผู้มีจิตใจเมตตาเมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินมีสีหน้าคับแค้นใจขนาดนั้น ก็เข้าใจผิดคิดว่าเด็กหนุ่มเป็นห่วงความปลอดภัยในชีวิต นางจึงปลอบประโลมเขาว่า “แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ การระดมมือสังหารรอบแรกจากวิหารเทพเจ้าแห่งธนูผ่านพ้นไปแล้ว นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในการลอบสังหารจบสิ้นลงแล้วเช่นกัน ขณะนี้ ทางวังหลวงได้ส่งคนไปเจรจากับวิหารเทพเจ้าแห่งธนูแล้ว อีกไม่นานพวกเราคงจะได้รู้ผลลัพธ์ของการเจรจา แต่ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะต้องล้มเลิกการลอบสังหารเจ้าแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินได้ยินคำอธิบายดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เฮ้อ
งั้นแบบนี้ต่างคนต่างอยู่ก็คงไม่มีปัญหาอะไรสินะ
“แต่ที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ เพราะมีเรื่องอื่นอยากจะมาพูดคุยด้วยต่างหาก” นักพรตใหญ่วกกลับมาเข้าประเด็นอีกครั้ง “บัดนี้เจ้าเป็นผู้มีสถานะพิเศษ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของจักรวรรดิเป่ยไห่ บุคคลผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นร่างทรงเทพเจ้าจะได้รับการอวยตำแหน่งเป็นกรณีพิเศษ อีกทั้งจะได้รับการศึกษาและความสะดวกสบายทุกอย่างต่างจากคนทั่วไป ไม่ทราบว่าเจ้าพร้อมที่จะเดินทางไปยังมหาวิหารเจาฮุยเลยหรือไม่?”
“ธรรมเนียมปฏิบัติหรือขอรับ?” หลินเป่ยเฉินอุทานด้วยความประหลาดใจ “ท่านนักพรตใหญ่หมายถึงอะไรหรือ ข้าน้อยไม่เข้าใจเลย”
นักพรตใหญ่เบิกตาโตด้วยความพิศวง “เจ้าไม่รู้หรือ? ผู้ที่มีสถานะเป็นหัวหน้าร่างทรงเทพเจ้าจะได้รับการอวยยศอวยตำแหน่งระดับสูงสุด แต่ไม่ใช่ว่าจักรวรรดินี้จะมีเจ้าเป็นร่างทรงเทพเจ้าแค่คนเดียวเท่านั้น ตามมณฑลหรือเมืองต่างๆ ก็มีร่างทรงเทพเจ้าอยู่มากมายเช่นกัน… นี่หมายความว่าเจ้ามีคู่แข่งเยอะทีเดียว”
หลินเป่ยเฉินอยากจะยกมือตบหัวตัวเองสักฉาดหนึ่ง
นี่เขาโชว์โง่ออกมาแล้วสินะ
“ข้าน้อยนึกว่าตนเองเป็นบุคคลพิเศษเสียอีก”
เขาไม่มีทางเลือกนอกจากหาทางกลบเกลื่อนไปตามเรื่องตามราว
นักพรตใหญ่วัยกลางคนยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน “แต่ผู้ที่เทพเจ้าเลือกมาด้วยตนเองเช่นเจ้า ย่อมได้รับการดูแลจากมหาวิหารเป็นพิเศษกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการฝึกพลังจิต พลังศักดิ์สิทธิ์ และพลังในอีกหลายๆ ด้าน แต่สิ่งที่ต้องแลกมากับการรับตำแหน่งนี้ก็คือ เจ้าจะต้องสูญเสียพลังยุทธ์ไปทั้งหมด…”
เฮ้ย?
สูญเสียวรยุทธ์ไปทั้งหมดเลยหรือ?
ฉิบหายแล้วไง
ตะเกียบหลุดออกจากมือของเด็กหนุ่มอีกครั้ง “หมายความว่าข้าน้อยต้อง…สะ…สูญเสียวรยุทธ์หรือขอรับ?”
นักพรตใหญ่ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าไม่ทราบหรือ?”
เขาจะไปทราบได้ยังไงกันเล่า
แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินต้องไม่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนอยากจะล้มโต๊ะอาหารให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
เทพีกระบี่หิมะไร้นามไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ให้เขาฟังสักครั้ง
และเมื่อเช้านี้ นักพรตหญิงชินก็ไม่ได้บอกอะไรให้เขาฟังเช่นกัน นางพูดเพียงแต่ว่าอีกไม่นานหลินเป่ยเฉินจะหายกลับมาเป็นปกติดังเดิม
นักพรตใหญ่รีบอธิบายว่า “แต่เจ้าไม่ใช่นักบวช เจ้าก็คงไม่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่ถูกเลือกในอดีตมักจะเป็นนักบวชเสมอ…พลังของเทพเจ้ามีความบริสุทธิ์และรุนแรงมาก มันมีพลังสูงล้ำมากกว่าปราณธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า เมื่อรับพลังเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกาย ระดับพลังยุทธ์และพลังลมปราณที่เจ้าเคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ ก็จะสูญสลายหายไปหมดสิ้น แต่มันก็เป็นภาวะที่เกิดขึ้นแค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อร่างกายของเจ้าสามารถปรับตัวกับพลังศักดิ์สิทธิ์ได้เต็มที่ ใช้เวลานานสุดไม่เกิน 2 ปี และใช้เวลาเร็วสุดไม่เกิน 6 เดือน พลังยุทธ์และพลังลมปราณของเจ้าก็จะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติดังเดิม”
อ๋อ
เป็นแบบนี้นี่เอง
แล้วก็พูดให้กลัวไปได้!
Related