ตอนที่ 355 “ข้าน้อยไม่มีทางลืมรากเหง้าของตนเอง….”
เมื่อสักครู่นี้ หลินเป่ยเฉินตกใจจนเกือบฉี่ราดออกมาแล้ว
เด็กหนุ่มยกน้ำผลไม้ขึ้นดื่มดับกระหายอีกครั้ง
“แล้วผู้ที่ถูกเลือกทุกคนต้องไปอยู่ที่มหาวิหารทั้งหมดเลยหรือขอรับ?”
เขาถามออกมาอย่างระมัดระวัง
นักพรตใหญ่ตอบว่า “ในจักรวรรดิของเรามีวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่มากมาย แต่มหาวิหารได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจและความศรัทธาของประชาชนทั้งเก้ามณฑลอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น มันย่อมมีความแตกต่างระหว่างวิหารทั่วไปกับมหาวิหาร ถ้าเจ้าอยากจะมีตำแหน่งและระดับพลังสูงส่งมากกว่านี้ เจ้าก็ต้องเข้าสังกัดมหาวิหารเท่านั้น…”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบๆ ด้วยความสับสน
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
วิหารเทพกระบี่มีสาขาหลักกับสาขารองด้วยหรือ?
นี่เปรียบเสมือนว่าถ้าอยากจะเลื่อนตำแหน่ง เขาก็ต้องเข้าไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ใช่ไหม?
“มิใช่ขอรับ ท่านนักพรตใหญ่เข้าใจข้าน้อยผิดไปแล้ว ที่ข้าน้อยอยากจะถามก็คือมันเป็นกฎเกณฑ์บังคับหรือไม่ ว่าผู้ที่ถูกเลือกต้องเข้าสังกัดมหาวิหารโดยทันที หรือว่าข้าน้อยพอมีหนทางที่จะเข้าศึกษาต่อในสถาบันกระบี่อื่นๆ ได้หรือไม่?”
เด็กหนุ่มพยายามชี้แจง
“เจ้าไม่อยากเข้าสังกัดมหาวิหารหรือ?”
หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มขวยเขิน พูดว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่าตนเองยังไม่ดีพอที่จะเข้าสังกัดมหาวิหารขอรับ และข้ายินดีมอบตำแหน่งนี้ให้แก่ร่างทรงเทพเจ้าคนอื่นๆ…ที่มีความเหมาะสมมากกว่า”
ซะที่ไหนกันเล่า
เขาคือคนที่ทะลุมิติมาจากโลกอื่นนะ หลินเป่ยเฉินแค่อยากจะหาทางกลับบ้าน
ไม่ได้อยากอยู่ต่อเพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับเทพเจ้าอย่างจริงจังสักหน่อย
แถมงานนี้มันก็อันตรายมากเกินไป
อีกอย่าง หลินเป่ยเฉินก็ไม่ใช่ผู้ที่ศรัทธาในเทพเจ้าแบบสุดลิ่มทิ่มประตูอะไรขนาดนั้น
หลินเป่ยเฉินไม่อยากออกไปจากเมืองหยุนเมิ่ง
โลกภายนอกมันน่ากลัวมากเกินไป
และเขายังไม่อยากเป็นนักบวช
ท่านนักพรตใหญ่ได้รับฟังดังนั้นก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมาแล้ว “เจ้าพูดจริงหรือเปล่า?”
หลินเป่ยเฉินหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะขณะที่พยักหน้าตอบรับกลับไป
“ไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะตัดสินใจเช่นนี้”
หญิงวัยกลางคนชะงักเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อว่า “แต่ถ้าเจ้าเข้าสังกัดมหาวิหาร ข้าก็สามารถใช้เส้นสายให้เจ้าเข้ารับการศึกษาที่สำนักกระบี่หลวงระดับสามัญได้เช่นกัน ไม่ทราบว่าเจ้าสนใจหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินรีบตอบรับกลับโดยเร็ว “แต่บัดนี้ข้าน้อยเป็นเพียงลูกศิษย์ชั้นปีที่ 2 ของสถานศึกษากระบี่รุ่นเยาว์ คงเร็วเกินไปหน่อยที่ข้าน้อยจะเข้าเรียนในสำนักกระบี่หลวงระดับสามัญขอรับ”
นักพรตใหญ่หัวเราะเล็กน้อย “ด้วยระดับฝีมือของเจ้า ย่อมสามารถเข้าเรียนได้อยู่แล้ว ยิ่งที่ผ่านมามีการแก้ไขกฎระเบียบการรับลูกศิษย์แบบเลื่อนชั้นพิเศษ ข้าสามารถรับประกันได้เลยว่า เจ้าจะศึกษาต่อในสำนักกระบี่หลวงระดับสามัญได้โดยไม่มีเสียงซุบซิบนินทาแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินยังคงยืนกรานตามความตั้งใจเดิม “แต่ข้าน้อยอยากจะอยู่ที่สถานศึกษากระบี่ที่สามต่ออีกสักปีขอรับ”
“เพราะเหตุใด?”
นักพรตใหญ่ถามด้วยความไม่เข้าใจ
หลินเป่ยเฉินพยายามบังคับตนเองไม่ให้ตื่นเต้นในขณะที่เรียบเรียงคำพูดอธิบายว่า “ที่ข้าน้อยมีวันนี้ได้ ก็เพราะความอดทนและความเสียสละของคณะอาจารย์ในสถานศึกษากระบี่ที่สามขอรับ ไม่ว่าข้าน้อยจะอยู่ในสถานะบุตรชายขุนนางผู้สูงส่ง หรืออยู่ในสถานะเจ้าแกะดำที่ไม่มีใครเหลียวแล พวกเขาก็ดูแลข้าน้อยเป็นอย่างดีเสมอ มิหนำซ้ำ ในตอนที่บิดาของข้าน้อยหลบหนีคดี ทางสถาบันก็ยังไม่ได้ไล่ข้าน้อยออก และยังมอบโอกาสให้ข้าน้อยได้พิสูจน์ตนเองอีกด้วย…”
“…ข้าน้อยไม่มีทางลืมรากเหง้าของตนเองเด็ดขาดขอรับ ข้าน้อยอยากจะอยู่ที่สถานศึกษากระบี่ที่สามต่ออีกปี ข้าอยากจะสร้างเกียรติยศมาประดับให้แก่สถาบันมากกว่านี้ ข้าอยากจะทำให้พวกเขาได้รับการแบ่งปันทรัพยากรจากกระทรวงศึกษามากขึ้น เพื่อเป็นการกรุยทางให้ศิษย์น้องรุ่นต่อไป สามารถศึกษาวิชาต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้นขอรับ”
พูดจบ เด็กหนุ่มก็ตื้นตันใจจนรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา
เขานี่มันอัจฉริยะเรียกพี่จริงๆ
นักพรตใหญ่มองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความลำบากใจเล็กน้อย
นางคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัวใจ
มีบุญคุณต้องทดแทน มีความแค้นต้องชำระ
นี่คือบุคลิกของมือกระบี่ตัวจริง
นักพรตใหญ่มั่นใจว่าถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงไม่มีใครปฏิเสธข้อเสนอการเข้าสังกัดมหาวิหารแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหลินเป่ยเฉินตกลงรับข้อเสนอ สถานศึกษากระบี่ที่สามประจำเมืองห่างไกลแห่งนี้ ก็จะได้รับทรัพยากรพิเศษเป็นเวลายาวนาน 2 ถึง 3 ปีเลยทีเดียว
และการที่เขาสามารถคว้าตำแหน่งผู้ชนะการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้สำเร็จ ก็ยิ่งทำให้สถานศึกษากระบี่ที่สาม กลายเป็นตำนานที่ยังมีอยู่จริง
หากหลินเป่ยเฉินเลือกรับข้อเสนอ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถว่าอะไรเขาได้เด็ดขาด
ไม่มีทางเลยที่คณะอาจารย์ของเขาจะไม่พอใจ
ทุกคนจะยกย่องให้เขาเป็นวีรบุรุษด้วยซ้ำ
แต่เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะปฏิเสธข้อเสนอและขออยู่ต่อในเมืองที่เงียบสงบแห่งนี้
ภายใต้ภาพลักษณ์เจ้าเล่ห์และกะล่อน รวมถึงลามกสัปดนในบางครั้ง แต่ในหัวใจที่แท้จริงของเด็กหนุ่ม เขาช่างเป็นคนที่อบอุ่นและห่วงใยผู้อื่นเหลือเกิน
และคงเป็นด้วยสาเหตุนี้กระมัง ที่ทำให้หลินเป่ยเฉินกลายเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่ ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่นักบวชหรือผู้ทรงศีลที่มีความเกี่ยวข้องทางศาสนาแต่อย่างใด
นักพรตใหญ่รู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอเต็มสองเบ้า
“เรื่องนี้เจ้ายิ่งไม่ต้องเป็นกังวล ขอเพียงเจ้ารับข้อเสนอ ข้าก็มีอำนาจมากพอที่จะเพิ่มเติมทรัพยากรสำหรับการฝึกวิชาให้แก่สถานศึกษากระบี่ที่สามตลอดไป เจ้าว่าแบบนี้ดีหรือไม่ เจ้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่ไปอีกทั้งปีไงล่ะ”
หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดียังคงพยายามโน้มน้าวเด็กหนุ่มต่อไป
สำหรับกับเด็กหนุ่มเช่นหลินเป่ยเฉิน การเสียเวลา 1 ปีไปโดยเปล่าประโยชน์ ก็จะทำให้เขาล้าหลังคู่แข่งหลายช่วงตัวแล้ว
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
ได้แต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
ป้านะป้า ทำไมต้องบังคับให้พูดสิ่งที่ไม่อยากพูดเลยเนี่ย
“ข้าน้อยคงต้องขอปฏิเสธขอรับ” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ความสำเร็จของสถานศึกษากระบี่ที่สาม ควรได้มาเพราะฝีมือลูกศิษย์ของพวกเขาขอรับ หากใช้ตำแหน่งผู้ที่ถูกเลือกอำนวยความสะดวกให้แก่ทุกคนเช่นนี้ มันจะกลายเป็นตราบาปติดตัวข้าน้อยไปจนตาย เพราะฉะนั้น…ท่านนักพรตใหญ่ไม่ต้องยื่นข้อเสนอให้ข้าน้อยแล้วขอรับ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าน้อยก็จะขออยู่ที่นี่ต่อไปอีก 1 ปี เพื่อทำตามความฝันของตนเองให้สำเร็จ”
เวลาตั้ง 1 ปี ถึงตอนนั้นโทรศัพท์มือถือของเขาคงหาทางกลับบ้านได้แล้วแน่นอน
นี่แหละความฝันที่หลินเป่ยเฉินอยากทำให้สำเร็จ
หลังจากรับฟังคำตอบ นักพรตใหญ่ก็นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน
สุดท้ายนางก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจด้วยตนเองไม่ได้ คงต้องส่งรายงานกลับไปที่มหาวิหารก่อน แต่ถ้าเจ้ายืนยันตามนี้จริงๆ ก็คงไม่มีใครห้ามเจ้าได้อีก”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
นักพรตใหญ่พูดขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า “แต่ถ้าเจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อไป ขอให้เจ้าระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี ความตายของถังกู่จินกับไป๋ไห่ชิน ทำให้คนในวังหลวงบางส่วนและมือกระบี่จากเมืองไป๋หยุนมองเจ้าเป็นคู่อาฆาต นับจากนี้ไป ไม่ว่าเจ้าจะพูดหรือทำอะไร จงไตร่ตรองให้ละเอียดรอบคอบ อย่าทำให้ตนเองถูกจับกุมอีกเด็ดขาด เพราะถ้าเจ้าทำผิดกฎหมาย ก็จะต้องถูกลงโทษตามเดิม ไม่สามารถใช้สิทธิพิเศษของการเป็นผู้ที่ถูกเลือกลบล้างความผิดได้เด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินรีบพยักหน้าโดยเร็ว “ข้าน้อยรับปากว่าจะอยู่เงียบๆ ไม่ทำอะไรเลยขอรับ”
นักพรตใหญ่เป็นฝ่ายที่พูดอะไรไม่ออกบ้าง
“ในเมื่อเจ้ายืนกรานจะอยู่ที่นี่ต่อจริงๆ ก็มีอีกหนึ่งเรื่องที่เจ้าควรรู้เอาไว้” สุดท้าย หญิงวัยกลางคนก็พูดออกมาอย่างเชื่องช้า “ในเมืองหยุนเมิ่งยังเหลือสาวกปีศาจอยู่อีก 2 คน พวกมันสามารถอำพรางซ่อนเร้นตนเองได้อย่างแนบเนียน ข้าลงมาสืบสวนเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่พบเจอเบาะแสที่จะสาวไปถึงตัวตนที่แท้จริงของพวกมันได้ ก่อนที่ทางวิหารจะรู้ตัวตนของพวกมัน เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดี โดยเฉพาะเมื่อเจ้าเป็นร่างทรงเทพเจ้า พวกมันก็คงอยากฆ่าเจ้ามากกว่าเดิมแล้ว”
หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้าง
ป้าจ๋า
เปลี่ยนใจขอเข้าสังกัดมหาวิหารตอนนี้ยังจะทันไหมนะ?
Related