ตอนที่ 363 จิตวิญญาณแห่งนายทหารผู้กล้า
“เฮอะ เจ้าพวกตัวโสโครก”
หวังจงที่ยืนมองพวกของเหลียวหวังซูเดินหายลับสายตาไปพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองแล้วถามว่า “ตาเฒ่าหวัง ทำไมวันนี้ไม่ต้อนรับแขก”
พ่อบ้านชราตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแค้นใจ “นายน้อยอาจจะลืมไปแล้ว แต่หวังจงไม่เคยลืม ขุนนางและเจ้าหน้าที่มือปราบเหล่านี้ไม่ใช่ตัวดี ก่อนหน้านี้พวกมันประจบบิดาของนายน้อยยิ่งกว่าอะไร แต่เมื่อเกิดเหตุบิดาของนายน้อยถูกใส่ร้าย บุคคลเหล่านี้กลับหลบซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ไม่คิดยื่นมือให้ความช่วยเหลือ… หวังจงขอเตือนนายน้อยด้วยความภักดีว่าอย่าได้ไปข้องเกี่ยวกับกลุ่มคนนี้เด็ดขาด”
“แล้วสรุปว่าพวกเขาเป็นสหายกับบิดาข้าจริงๆ หรือ?”
หลินเป่ยเฉินถาม
หวังจงหัวเราะในลำคอ “พวกมันมีค่าอันใดจะมาเป็นสหายกับนายท่าน? คนกลุ่มนี้พูดไปเองทั้งนั้น ภายนอกทำเป็นห่วงใยผู้อื่น แต่ความจริงพวกมันนี่แหละคือตัวปัญหา… ถ้านายน้อยยังพูดจาฉันมิตรกับพวกมันอยู่ อีกไม่นานขุนนางและเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้จะต้องนำปัญหามาให้ท่านอย่างแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะฮ่าฮ่า “คิดไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าเจ้าก็ซื่อสัตย์ใช้ได้เหมือนกัน…”
หวังจงรีบก้มหน้าหัวเราะอย่างถ่อมตน “นายน้อยอย่าลืมสิขอรับ คำว่าจงในชื่อหวังจง มาจากจงรักภัก…”
หลินเป่ยเฉินขัดขึ้นในทันใด “เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว เอามาซะ”
พ่อบ้านชราแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “นายน้อยจะเอาอะไรขอรับ?”
“เงินไงล่ะ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ “เจ้าไม่ต้องแกล้งทำเป็นไขสือ หวังจง ข้าเป็นคนมอบบัตรเงินสดของเสี่ยวไป๋ให้เจ้าไปสั่งอาหารที่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง แต่มีเงินทอนส่วนหนึ่งที่ไม่ได้คืนเจ้าของ รีบเอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
หวังจงหน้าเศร้า รีบควักถุงใส่เหรียญทองหนึ่งร้อยเหรียญออกมาจากด้านในเป้ากางเกง
“เอาออกมาให้หมด”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
หวังจงหัวเราะแหะๆ “สมแล้วที่เป็นนายน้อย หวังจงไม่สามารถตบตาท่านได้เลยจริงๆ…”
แล้วชายชราก็นำเหรียญทองคำอีกสิบเหรียญออกมาจากในรองเท้า
เหรียญทองเหล่านั้นส่งกลิ่นเหม็นหึ่ง
“เอาไปล้างน้ำแล้วค่อยเอามาให้ข้า”
เด็กหนุ่มออกคำสั่งพร้อมรอยยิ้ม
หวังจงยกมือปาดน้ำตาและนำเหรียญทองคำทั้ง 110 เหรียญไปล้างน้ำในห้องครัวพร้อมกับรู้สึกสงสัยอยู่ในใจว่า นายน้อยสมควรจะเมามายแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงยังมีสติรู้เรื่องเงินทอนเหล่านี้อีก?
เพราะมั่นใจว่านายน้อยเมามาย หวังจงถึงได้กล้าเก็บเงินไว้ที่ตนเอง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาประมาทนายน้อยเกินไป เหรียญทองคำเหล่านี้จึงหลุดลอยออกไปจากมือของเขาอีกครั้ง
…
หลินเป่ยเฉินเดินกลับขึ้นไปที่ห้องนอนเพื่อพักผ่อน
งานเลี้ยงที่เกิดขึ้นทำให้เด็กหนุ่มนึกถึงบรรยากาศของงานฉลองวันสุดท้ายในการสอบปลายภาคระดับมัธยม ทุกคนจะรับประทานดื่มกินอย่างสนุกสนาน บางคนแหกปากร้องเพลง บางคนแหกปากร้องไห้ เพื่อเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจสู่ชีวิตที่เติบโตขึ้นอีกระดับ
หลินเป่ยเฉินคิดถึงบรรยากาศเหล่านั้นเหลือเกิน
เขาทิ้งตัวลงไปบนเตียงแล้วเปิดโทรศัพท์มือถือ
เนื่องจากพลังลมปราณยังไม่ฟื้นตัว ระดับพลังในปัจจุบันของเด็กหนุ่มอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 2 เพียงพอแค่ให้แอปฝึกวิชาต่างๆ ในโทรศัพท์มือถือทำงานต่อไปตามปกติเท่านั้น
ทุกอย่างเป็นปกติ มีเพียงแอปมัจฉากลายร่างเป็นมังกรเท่านั้นที่ทำงานได้อย่างเชื่องช้า และความคืบหน้าของการฝึกวิชาก็ย่ำแย่มากกว่าก่อน หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
“แอปเมจิก คาเมร่าก็เอามาใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้ แถมยังคิดค่าบริการแพงอีก…”
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินกลับมาเป็นยาจกอีกครั้ง เขาไม่สามารถใช้เงินได้อย่างที่ต้องการอีกแล้ว สุดท้ายก็ต้องปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือและโยนทิ้งไปที่ข้างตัวด้วยความปวดใจ
“ความแข็งแกร่งของร่างกายเราติดอยู่กับวิชากระบี่เร้นกายนานเกินไปแล้ว ต่อจากนี้เราต้องหาคัมภีร์ฝึกความแข็งแกร่งของร่างกายเพิ่มเติมแล้วสินะ”
“แล้วก็คัมภีร์เกี่ยวกับพลังจิตด้วย”
“ถึงตอนนี้พลังลมปราณของเรายังไม่ฟื้นตัว คงฝึกวิชาอะไรเพิ่มไม่ได้ แต่ถ้ามีโอกาสเก็บคัมภีร์เพิ่มเติมอีก ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เพราะเอาไว้ฝึกทีหลังก็ได้นี่นา”
หลินเป่ยเฉินหยิบโทรศัพท์มือถือกลับมาสำรวจดูแอปพลิเคชันต่างๆ ในเครื่องอีกครั้ง แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้
การปรากฏตัวของขุนนางและเจ้าหน้าที่มือปราบเมื่อสักครู่นี้ทำให้เด็กหนุ่มตาสว่าง
นั่นหมายความว่าในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้มีอันตรายอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ต่อให้ทำตัวราบเรียบ อยู่นิ่งเฉยไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่สุดท้ายก็ต้องมีคนเข้ามาหาเรื่องถึงที่จนได้
เพราะชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป
แต่จะดำเนินได้อย่างอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ นั่นก็เป็นอีกเรื่อง
แม้ภายนอกหลินเป่ยเฉินจะดูไม่อาทรร้อนใจกับสิ่งใด ทว่า ความรู้สึกในใจจริงนั้น เด็กหนุ่มกำลังร้อนรนมากกว่าก่อนสูญเสียพลังเสียอีก
แล้วไหนจะเรื่องของเว่ยหมิงเฉินอะไรนั่นอีกละ?
หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองไม่ได้แย่งคนรักของใคร และเขาก็พูดคุยกับท่านเจ้าเมืองหลิงเรียบร้อยแล้วด้วยว่าไม่ได้อยากข้องเกี่ยวกับหลิงเฉินเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้น ปัญหารักสามเส้าคงไม่ได้มาจากเขาแน่ๆ
ส่วนเรื่องความตายของไป๋ไห่ชิน โบ้ยให้เป็นความผิดของเทพีกระบี่ไปก็แล้วกัน
ถ้าเกิดมีลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุนคนอื่นๆ ตามมาตอแยเขาอีก หลินเป่ยเฉินก็จะขอยืมเงินไป๋ชินหยุนมาเป็นค่าดำเนินการติดต่อเทพีกระบี่ และจัดการสั่งสอนกลุ่มคนเหล่านั้นให้หลาบจำดูสักครั้ง
เมื่อรับรู้ว่าตนเองมีคำตอบสำหรับทุกปัญหาแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ไม่ตื่นตระหนกเลยสักนิด
และก่อนที่เขาจะทันรู้ตัว เด็กหนุ่มก็เผลอหลับไป
…
หลายวันต่อมา
เมืองหยุนเมิ่งยังคงอยู่ภายใต้ความสงบร่มเย็น
พิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองถูกจัดขึ้นอีกครั้ง และใช้เวลาเตรียมการทั้งสิ้นถึง 2 วันเต็ม
จุดสนใจของชาวเมืองในพิธีครั้งนี้ คงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มยืนอยู่บนเวทีรับรางวัล ได้รับรางวัลมากที่สุด ได้รับเสียงผิวปากและโห่ร้องให้กำลังใจจากชาวเมืองมากที่สุด นอกจากนี้ หลินเป่ยเฉินยังได้รับคัมภีร์ฝึกวิชากระบี่ระดับ 4 ดาวที่ชื่อว่าวิชากระบี่ถล่มดารา ได้รับศิลาเสริมความแข็งแกร่งของพลังลมปราณ รวมถึงยังได้รับเงินรางวัลอีก 500 เหรียญทองคำอีกด้วย
ส่วนสมาชิกกลุ่มประจำเรือร้านขายอัญมณีหลิวไคคนอื่นๆ รวมถึงผู้เข้าแข่งขันในรอบศึกชิงธงอย่างเช่น หวังซินอวี่ เยว่เว่ยหยาง เซียวปิง คังซานเสว่และซูเสี่ยวหยาน ต่างก็ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติกันอย่างถ้วนหน้า แม้แต่ผู้เข้าแข่งขันที่ตกรอบไปก่อนหน้านั้นก็ได้รับรางวัลปลอบใจเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรางวัลความพยายามดีเด่น รางวัลจิตใจมั่นคงดีเด่น รางวัลผู้มีสมาธิดีเด่น และมีอีกมากมายหลากหลายรางวัลกล่าวไม่หมด ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าพิธีมอบรางวัลในครั้งนี้ ทำให้เกือบทุกคนมีความสุขอย่างแท้จริง
แต่เมื่อมีคนหัวเราะ ก็ต้องมีคนร้องไห้
ในขณะที่สถานศึกษากระบี่ที่สามเจริญรุ่งเรืองมีเงินทองไหลมาเทมา สถานศึกษากระบี่ที่หกกลับต้องทนทุกข์ทรมานอย่างน่าอนาถใจ นอกจากพวกเขาจะไม่ได้รางวัลติดมือเลยสักชิ้นเดียวแล้ว การปล่อยปละละเลยให้เฉาพั่วเถียนใช้กลโกงระหว่างการแข่งขัน ก็ทำให้กระทรวงศึกษานำชื่อของสถานศึกษากระบี่ที่หกออกมาประจานหยามหมิ่นให้ชาวเมืองทุกคนได้รับรู้
ชิวเทียน อาจารย์ร่างอ้วนก็เสียชีวิตไปที่ลานจัตุรัสเมื่อวันเกิดเหตุครั้งนั้นแล้ว
และบรรดาผู้มีส่วนร่วมในแผนการร้ายทำลายหลินเป่ยเฉิน ก็หนีไม่พ้นการดำเนินคดีเช่นกัน
มีอาจารย์จำนวนมากภาพลักษณ์เสื่อมเสีย ทำให้ไม่สามารถมีส่วนร่วมในการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองครั้งต่อไปได้อีก…
ทุกอย่างสมควรจบลงที่ตรงนี้
ภายใต้บรรยากาศที่คึกคักแจ่มใส ในที่สุดพิธีมอบรางวัลก็จบลงพร้อมกับรอยยิ้มมีความสุขบนใบหน้าของทุกคน เพราะว่าคนดีได้รับการเชิดชู ส่วนคนชั่วก็ถูกจับตัวไปลงโทษ
แต่ถ้าจะสังเกตดูให้ดีก็พบว่าพิธีมอบรางวัลในครั้งนี้ ยังคงไร้เงาหลิงเฉินที่ตั้งใจพ่ายแพ้ให้แก่ฮันปู้ฟู่ในรอบการประลองตัวต่อตัว และนับตั้งแต่ตกรอบไป หลิงเฉินก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อสายตาสาธารณชนเลยสักครั้ง
กล่าวได้ว่าถ้าพิธีมอบรางวัลในครั้งนี้มีสิ่งใดขาดไปจนทำให้มันไม่สมบูรณ์ สิ่งนั้นก็คือสาวงามผู้เพียบพร้อมอย่างเช่นบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองนี่เอง
ระหว่างที่ชาวเมืองทุกคนกำลังดื่มด่ำไปกับบรรยากาศแห่งความสุขหลังพิธีมอบรางวัล ฮันปู้ฟู่ก็กำลังเตรียมตัวออกเดินทางไกลเพียงลำพัง
…
ยามเย็น
ลมทะเลโชยพัด
หลินเป่ยเฉิน มี่หรู่หยาน เยว่หงเซียง และไป๋ชินหยุนยกโขยงกันมาที่ท่าเรือประจำเมืองหยุนเมิ่ง เพื่อมาส่งศิษย์พี่ของพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อฮันปู้ฟู่สวมใส่ชุดเกราะและเครื่องแบบนายทหาร เขาก็ดูองอาจมีสง่าราศี ราวกับว่าเป็นนายทหารรับใช้กองทัพมาแล้วหลายปี เด็กหนุ่มกำลังยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือรบหลวงลำหนึ่ง รอคอยการมาถึงของพวกหลินเป่ยเฉิน เมื่อเห็นหน้าแล้วก็ยกมือทักทายกันอย่างกระตือรือร้น
การเดินทางในครั้งนี้นอกจากฮันปู้ฟู่แล้ว ก็ยังมีนายทหารหนุ่มหน้าใหม่อีก 300 นายที่จะไปประจำการรบในแดนเหนือ พวกเขามีปูมหลังต่างกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นเด็กหนุ่มอายุ 14 ปีจากสถานศึกษาต่างๆ และบางคนก็มีสถานะเป็นอัจฉริยะประจำเมืองด้วยเช่นกัน
เด็กหนุ่มกลุ่มนี้มีเลือดแห่งความเป็นลูกผู้ชายเต็มเปี่ยม พวกเขาพร้อมแล้วที่จะประจัญบานกับศัตรู และยินดีที่จะปกป้องเขตแดนเหนือเสมือนเป็นบ้านของตนเอง
….ภาพตรงหน้าทำเอาหลินเป่ยเฉินรู้สึกละอายใจขึ้นมาชอบกล
Related