บทที่ 37 การประลองกับมู่ซินเยว่ (ภาคต้น)
ในวันถัดมา
เป็นวันที่ท้องฟ้าแสนขมุกขมัว
เมฆดำลอยต่ำ
และท้องฟ้าก็แสนจะมืดมิด
หากแต่มันก็ไม่ได้ลดความตื่นเต้นของบรรดาศิษย์ในการชมการประลองรอบสุดท้ายลงเลย
ในตอนแรกนั้น ทั้งสถานศึกษาต่างก็ตื่นเต้น
ทั้งศิษย์ชั้นปีที่ 1 2 และ 3 ต่างก็มารวมตัวกันเพื่อดูการประลองในรอบสุดท้าย
เวทีประลองของศิษย์ชั้นปีที่ 2 นั้นถูกปิดล้อมด้วยบรรดาฝูงชนหนาแน่นเต็มไปหมด
เพียงอึดใจต่อมา
กรรมการคุมสอบก็เข้ามายังเวทีประลอง
อาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่และผู้สังเกตการณ์หลี่ต่างก็ปรากฏตัวขึ้นบนแท่นสังเกตการณ์ด้านบน
ก่อนที่เด็กสาวผู้แสนจะโด่งดังปรากฏตัว
เสียงเชียร์ก็ดังกระหึ่มขึ้นเพื่อต้อนรับนาง
ซึ่งส่วนมากก็จะมาจากศิษย์ชายเสียด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ความโด่งดังของหลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันนัก
เพราะเมื่อหลินเป่ยเฉินปรากฏตัวขึ้น บรรดาศิษย์จากห้อง 9 ต่างก็เข้ามาห้อมล้อมเขา และศิษย์หญิงอีก 30 ถึง 40 คนจากห้องอื่น ๆ ต่างก็แทรกตัวเข้ามา ราวกับดวงดาวห้อมล้อมดวงจันทร์ พวกเขาต่างเข้ามารุมหลินเป่ยเฉินที่ยืนอยู่ตรงกลางเพียงคนเดียว เสียงเชียร์ดังอื้ออึงทั้งคำว่า เจ้าต้องชนะให้ได้นะ ท่านช่างหล่อเหลาเหลือเกิน และคำอื่น ๆ อีกมากมายดังขึ้น และในที่สุดหลินเป่ยเฉินก็เดินฝ่าไปยังเวทีประลองได้อย่างทุลักทุเล
ผู้คุมสอบนั้นเข้ามาตรวจสอบเวทีประลอง และในที่สุดการประลองก็ถูกจัดเตรียมเสร็จสิ้น
“น้องมู่ เจ้าคิดว่าวันนี้จะชนะการประลองไหม”
กวนเฟยตู้ รุ่นพี่ชั้นปีที่ 3 ในเครื่องแบบสีขาวเดินตรงมาหามู่ซินเยว่พร้อมรอยยิ้ม
ทันใดนั้นรอบบริเวณก็วุ่นวายขึ้นทันที
ถึงแม้เขาจะไม่ใช่อันดับ 1 ของชั้นปีที่ 3 ในการประลองเมื่อวานนี้ แต่เขาก็เป็น 1 ใน 4 ของสุดยอดศิษย์ชั้นปีที่ 3 ที่ไม่เพียงหล่อเหลา แต่ยังมีความรู้และสุขุมนุ่มลึก จนแทบเรียกได้ว่าเป็นเทพบุตรรูปงามในใจของศิษย์หญิงหลาย ๆ คน
เขานั้นโด่งดังกว่าอู๋เสี่ยวฟางมากนัก
และนอกจากกวนเฟยตู้นั้น หนีอวี้ฉวน จั่วชิวอู๋ชวง และบรรดาศิษย์อัจฉริยะปี 3 คนอื่น ๆ ต่างก็เข้ามาทักทายและให้กำลังใจนางไม่ขาดสาย
แต่อย่างไรก็ตาม ศิษย์อัจฉริยะจากชั้นปีที่ 3 ก็ได้เดินเข้ามาห้อมล้อมหลินเป่ยเฉินด้วยเช่นกัน
“เพราะข้าเห็นเจ้าเป็นรุ่นน้องหรอกนะ จึงต้องบอกความลับสำคัญให้เจ้ารู้เสียหน่อย”
หลินเป่ยเฉินยิ้มบาง ๆ และมองไปยังกวนเฟยตู้
“ข้าได้ดูการประลองของเจ้าเมื่อ 2-3 วันก่อน ไม่เคยมีใครในสถานศึกษาแห่งนี้ ที่สามารถใช้กระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตได้ดีเท่าเจ้า แต่เพียงแค่กระบวนท่าแบบนั้น มันไม่เพียงพอหรอก เมื่อนานมาแล้ว มีข่าวลือว่ามีวิธีการบางอย่างที่สามารถเอาชนะกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตได้ แหม บังเอิญเสียจริง ไม่น่าเชื่อเลยว่าข้าน่ะ ได้เอาคัมภีร์รวบรวมกลยุทธ์เหล่านั้นให้กับน้องมู่ไปเสียแล้ว และข้าคิดว่านางก็คงจะสำเร็จวิชานั้นแล้วด้วย ยังไงก็เถอะ…สู้ ๆ นะน้องหลิน”
กวนเฟยตู้แจ้งให้ทราบด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นห่วงเป็นใย
บรรดาสาวกและผู้สนับสนุนของหลินเป่ยเฉินต่างก็หน้าซีดเมื่อได้ยินเช่นนั้น
กลยุทธ์เพื่อเอาชนะกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตงั้นหรือ
ถ้าอย่างนั้น…
ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่ได้แปลว่าถึงคราวซวยของหลินเป่ยเฉินแล้วหรือ
แต่หลินเป่ยเฉินนั้นไม่แม้แต่จะเอาคำพูดของกวนเฟยตู้มาใส่ใจ
ต่อให้เขาจะเป็นถึงรุ่นพี่ปี 3 ก็เถอะ
แต่เขาก็ยังเป็นเพียงแค่เสือผู้หญิงที่ทำอะไรเพื่อเอาใจสาว ๆ เท่านั้น
กระจอกอะไรขนาดนี้
คงคิดว่าเรื่องพวกนี้คงทำให้เราไขว้เขวได้สินะ
ใช้วิธีการเด็กน้อยเหลือเกิน
“เจ้าต้องแพ้แน่ ๆ ข้าจะรออยู่ด้านล่างเวทีและเจ้าจะต้องเป็นทาสของข้า”
เสียงอันโกรธเกรี้ยวดังขึ้นมา
อู๋เสี่ยวฟางนั่นเอง ทั่วร่างเขานั้นพันไปด้วยผ้าพันแผล ทั้งมือและแขนทั้งสองข้างนั้นถูกพันราวกับมัมมี่ ในมือถือไม้ค้ำยันและถึงขนาดต้องเดินมายังเวทีประลองด้วยความช่วยเหลือจากคนอื่น
สายตาของเขานั้นเฉียบคมราวกับใบมีด มองไปยังหลินเป่ยเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับต้องการหั่นเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
อู๋เสี่ยวฟางนั้นมาดูการแข่งขันทั้ง ๆ ที่ร่างกายตัวเองแทบจะไม่ไหว
เพราะเขานั้นรับไม่ได้กับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน และในวันนี้ เขาก็ต้องการที่จะดูหลินเป่ยเฉินถูกเอาชนะเพื่อให้หายแค้น
“เริ่มการประลองได้”
ผู้คุมสอบประกาศขึ้น
ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองก็เดินขึ้นมาบนเวทีประลอง
มู่ซินเยว่แต่งกายอย่างสวยงามพิถีพิถัน
ต่อให้นางไม่ได้แต่งหน้าใด ๆ เลย เด็กสาวก็ยังคงเปล่งประกายความงดงามออกมาโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องสำอาง
ผนวกกับชุดเครื่องแบบมือกระบี่ที่ถูกสั่งตัดโดยพิเศษนั้น มันก็ยิ่งเข้ารูปกับรูปร่างของนางเป็นอย่างดี ทำให้เห็นถึงส่วนโค้งส่วนเว้าและเรือนร่างที่แสนจะอ้อนแอ้นอรชร
เมื่อนางยิ้มออกมาน้อย ๆ ก็ราวกับแสงสว่างนั้นปรากฏขึ้นในวันที่ฟ้ามืดหม่นเช่นนี้
อีกทางด้านหนึ่ง หลินเป่ยเฉินใส่ชุดมือกระบี่สายคาดสีดำ รูปร่างของเขาสูงชะลูดและดูแข็งแรง ในขณะที่ใบหน้ายังคงหล่อเหลาอย่างหาที่ติไม่ได้ ละอองฝนหยดลงตามผมสีดำและละลงมายังพวงแก้มเล็กน้อย ดวงตาของเขาเป็นสีดำเข้ม ในขณะที่ใบหน้าขาวสะอาดราวกับหยกขาว ไม่ว่าจะทั้งหน้าตาหรือท่าที หลินเป่ยเฉินนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ามู่ซินเยว่เลยแม้แต่น้อย
คู่ต่อสู้ทั้งสองคนนี้ราวกับถูกสร้างมาจากสวรรค์ก็ไม่ปาน
ทำให้ผู้ชมทั้งหลายพากันรู้สึกว่ามีดอกไม้บานขึ้นมาในใจของตน
พวกเขาช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน
ผู้ชมต่างก็อดใจไม่ไหวที่จะแอบชื่นชมและลุ้นให้สองคนนี้มีความสัมพันธ์ต่อกัน…ทำไมมันถึงไม่เป็นแบบนั้นนะ
“วันนี้ข้าจะเป็นผู้คุมการประลองเอง”
อาจารย์ฉู่กล่าวขึ้นบนแท่นสังเกตการณ์ที่ตั้งอยู่ห่างไปราวสามผิง ดวงตาของเขาเป็นประกายแวววาวเหมือนตาเหยี่ยว
เด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นี้ต่างก็เป็นสมบัติอันล้ำค่าของชั้นปีที่ 2 และเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายหรืออันตรายกับทั้งคู่ ชายชราจึงตัดสินใจที่จะลงมาควบคุมการแข่งขันด้วยตัวเอง หากเกิดอุบัติเหตุใด เขาจะได้เข้าไปห้ามได้อย่างทันท่วงที
“เริ่มการประลองได้”
มู่ซินเยว่ค่อย ๆ ชักกระบี่ออกมาจากบริเวณเอวอย่างช้า ๆ และกล่าวกับเขาอีกครั้ง “หลินเป่ยเฉิน เชิญ”
เขายิ้มตอบ และยกมือทำท่าหมุนวนช้า ๆ
ช่างเป็นท่าทีที่กวนประสาทอะไรเช่นนี้
รอบเวทีต่างก็มีคนจับกลุ่มพูดคุยกัน
“ช่างเป็นเจ้าแกะดำที่ดูไร้การศึกษาเสียจริง”
กวนเฟยตู้เลิกคิ้วขึ้น
หนีอวี้ฉวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าวว่า “พี่กวนอย่าห่วงไปเลย ยังไงซะพี่สะใภ้ในดวงใจของเราก็คงจะต้องสั่งสอนเจ้าหมอนี่ได้สำเร็จแน่นอน ข้าสามารถรับประกันได้เลยว่านางจะต้องไม่แพ้แน่”
เหล่าสหายรอบ ๆ ตัวต่างก็รู้ดีว่าลูกพี่ใหญ่สนใจมู่ซินเยว่เป็นพิเศษ และเรียกนางว่า พี่สะใภ้ ภายในกลุ่มด้วยกันเอง
เมื่อคืนนี้ กวนเฟยตู้ถึงกับได้ไปสอนวิชาให้แก่นางในยามวิกาลเสียด้วยซ้ำ
กวนเฟยตู้พยักหน้าและกล่าวว่า “แน่ล่ะ เรามาตั้งใจดูการประลองกันดีกว่า”
ในบรรดาศิษย์ชั้นปีที่ 3 นั้น ทุกคนต่างก็คิดว่าพวกตนเองนั้นพิเศษและเหนือกว่าคนอื่น
บนเวทีประลองนั้นเอง
“เจ้าจงระวังตัวให้ดี”
กระบวนท่าแรกของเด็กสาวโจมตีออกมาด้วยกระบวนท่าพื้นฐานวิชากระบี่
กระบวนท่าพื้นฐานของวิชากระบี่นั้น ไม่จำเป็นจะต้องใช้พลังลมปราณในร่างกายใด ๆ ต่อให้เป็นผู้ที่ไม่เคยฝึกฝนพลังลมปราณในร่างกายก็ยังสามารถใช้วิชานี้ได้ หัวใจหลักของกระบวนท่าพื้นฐานก็คือการเคลื่อนไหวของร่างกายเท่านั้น
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเปล่งประกายขึ้นราวกับประกายไฟ
“ควับ ควับ ควับ”
ประกายกระบี่ปรากฏขึ้นในอากาศ
หลินเป่ยเฉินได้ใช้ออกด้วยกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตอีกครั้ง
ประกายกระบี่นั้นรวดเร็วมากจนแทบมองไม่ทัน
แววตาเย้ยหยันปรากฏขึ้นในดวงตาของมู่ซินเยว่ นางเปลี่ยนกระบวนท่าการต่อสู้ที่ตัวเองใช้อยู่ กระบวนท่านั้นแม้จะดูเชื่องช้าหากแต่ที่จริงแล้ว เร็วจนแทบมองไม่ทัน นางเสือกแทงกระบี่จนเกิดแสงวาบขึ้นผ่านอากาศ ด้วยองศาหักเหที่ดูแปลกประหลาดนัก
“แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!”
เสียงกระบี่กระทบกันดังขึ้น 3 ครั้ง
และในที่สุด แสงสว่างก็วาบขึ้นราวกับระเบิดขนาดเล็ก
คู่ต่อสู้ทั้งสองนั้นพุ่งเข้าหากันและแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว
เสียงเชียร์ดังอื้ออึงจากรอบเวทีประลอง
“นางต้านมันได้”
“นางต้านวิชากระบี่สามพิฆาตของหลินเป่ยเฉินได้”
“ในที่สุดก็มีคนหยุดมันได้สักที”
นี่สิถึงจะเรียกว่าการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ การประลองนั้นจะน่าสนใจก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อกันเท่านั้น
“แล้วนี่เขาใช้กระบวนท่าอื่นเป็นหรือเปล่าเนี่ย”
เสียงพูดคุยดังขึ้นรอบ ๆ ตัว
และในขณะนั้นเอง ทั้งคู่ก็ลดกระบี่ลง
มู่ซินเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย กล่าวว่า “ถ้าเข้าใจไม่ผิด จนถึงตอนนี้ เจ้าสามารถใช้ได้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตใช่ไหมล่ะ”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “น่าเสียดาย เจ้าเดาผิดเสียแล้ว”