ตอนที่ 384 กางเกงของเจ้าหายไปไหน
นี่มันอะไรกัน
เขายังจะต้องติดต่อกับเทพีกระบี่หิมะไร้นามอยู่อีกหรือ?
นั่นเท่ากับเป็นการ…
โยนเขาเข้าใส่กองไฟเลยไม่ใช่หรือไง?
หลินเป่ยเฉินยิ่งนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ตนเองโดนโกงเงินก็รู้สึกดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาแล้ว
ถ้าจะให้เขาอธิบายคุณลักษณะของเทพีกระบี่หิมะไร้นามที่ถูกต้อง ก็ต้องบอกว่านางเป็นเทพีกระบี่หน้าตางดงาม แต่จิตใจสกปรก เจ้าเล่ห์ไม่มีใครเกิน และพร้อมที่จะหลอกเงินไปจากเขาได้ตลอดเวลา
“ท่านเทพีขอรับ ได้โปรดรับฟังคำอ้อนวอนของข้าน้อยด้วย ข้าน้อยเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ของท่าน ในหัวใจไม่มีพื้นที่ให้แก่เทพเจ้าองค์อื่นนอกจากท่านแต่เพียงผู้เดียว เพราะฉะนั้น อย่าให้ข้าน้อยต้องติดต่อท่านผ่านทางเทพเจ้าองค์อื่นเลยนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาในที่สุด
นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ
“ถ้าอย่างนั้น ทุกครั้งที่เจ้ามาติดต่อข้า เจ้าก็อย่าลืมเอาศิลาบูชามาด้วยก็แล้วกัน”
เทพีกระบี่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เอ๋?
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินเหลือบตามองถาดบูชาโดยทันที
บัดนี้ ศิลาบูชาที่เคยมีขนาดเท่ากำปั้นมือคน กลับกลายเป็นเพียงเศษกรวดก้อนหนึ่งเท่านั้น
ราคาในท้องตลาดของศิลาบูชาหนึ่งก้อน คือ 5,000 เหรียญทองคำ
และนี่เป็นสิ่งที่ถึงมีเงินก็ซื้อหาไม่ได้
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทุกคน ศิลาบูชามีค่ายิ่งกว่าของวิเศษ
มันเป็นสิ่งที่ดูดซับปราณต่างๆ ในโลกนี้อยู่ในตัวเอง เมื่อนำมาประกอบกับการฝึกวิชา พลังยุทธ์ก็จะรุดหน้าก้าวไกลกว่าปกติ
มีเพียงตระกูลขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรือไม่ก็ต้องเป็นครอบครัวมหาเศรษฐีประจำเมืองเท่านั้น ถึงจะมีวาสนาได้ครอบครองของวิเศษเช่นนี้
แต่เมื่อศิลาบูชามาอยู่ตรงหน้ารูปปั้นเทพีกระบี่ มันก็สูญสลายหายไปในเวลาเพียงชงน้ำชา 1 ถ้วยเท่านั้น
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ หลินเป่ยเฉินสามารถติดต่อกับเทพีกระบี่ได้โดยตรงก็จริง แต่เขาทำได้ในระยะเวลาเพียง 1 ก้านธูป และมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งถึง 5,000 เหรียญทองคำ!
เขาสามารถนำเงินจำนวนนี้มาชาร์จแบตโทรศัพท์ได้เป็นจำนวนนับพันครั้งเลยกระมัง
เมื่อหลินเป่ยเฉินลองคิดดูแล้ว เขาก็ถึงกับตัวสั่นเทา
“กราบเรียนท่านเทพี ข้าน้อยเป็นสาวกผู้ซื่อสัตย์ของท่าน… ข้าน้อยจะร่วมมือกับเทพีกระบี่หิมะไร้นามเป็นอย่างดี พวกเราจะช่วยกันสร้างชื่อเสียงของท่าน ให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากขึ้นและมากขึ้น…”
คราวนี้ หลินเป่ยเฉินพูดโดยไม่ลังเลอีกแล้ว
พลังศักดิ์สิทธิ์จากรูปปั้นเทพีกระบี่เจือจางลง
แล้วลำแสงที่เปล่งออกมาจากรูปปั้นก็หายวับไป
เด็กหนุ่มก้มหน้ามองไปที่ถาดบูชาอีกครั้ง
บัดนี้ ศิลาบูชามีสภาพไม่ต่างไปจากเศษขี้เถ้ากองหนึ่ง
ผลแอปเปิลสีแดงสดก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นผลแอปเปิลเน่าๆ ลูกหนึ่ง ไม่ได้มีหน้าตาชวนรับประทานอีกต่อไป
น่าเสียดายเหมือนกันนะเนี่ย
คงจะเก็บเอาไปทำยาให้อากวงไม่ได้แล้ว
แต่เหรียญทองคำยังวางกองอยู่ที่เดิม
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือไปเก็บเหรียญเหล่านั้นกลับมาโดยไม่ลังเล
“ขี้งก…”
เด็กหนุ่มหยุดชะงัก
เดี๋ยวก่อนนะ?
ทำไมเหมือนเขาได้ยินใครสักคนแอบด่าลับหลังว่าเขาขี้งกเลยล่ะ?
แต่หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็เก็บผลแอปเปิลเน่าลูกนั้นมาพร้อมกับเหรียญทองคำด้วยเช่นกัน
เพียงไม่นาน วิหารเทพกระบี่ก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติอีกครั้ง
บัดนี้ ติงซานฉือรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาพลันลืมตาขึ้นมา ก่อนจะต้องกะพริบตาติดๆ กันหลายครั้งเหมือนมีลำแสงเจิดจ้าที่ทำให้แสบตา เมื่อดวงตาปรับสภาพกับแสงสว่างได้เรียบร้อย ชายชราก็หันมาจ้องมองหลินเป่ยเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เหมือนพบเห็นคนแปลกหน้าก็ไม่ปาน
“อาจารย์ทำไมมองข้าแบบนั้นล่ะขอรับ ข้าคือลูกศิษย์ผู้น่ารักของท่านไง”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มฝืดฝืนและรีบอธิบายอย่างต่อเนื่อง “อย่าถามข้าน้อยนะขอรับว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะข้าน้อยก็ไม่ทราบเหมือนกัน หลังจากเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุเป็นครั้งที่สองได้แล้ว พลังของข้าน้อยก็เปลี่ยนจากธาตุน้ำเป็นธาตุไฟ… ได้อย่างไรไม่รู้”
“เปล่า”
ติงซานฉือชี้มือไปที่ช่วงล่างของลำตัวเด็กหนุ่มและกล่าวว่า “ข้ากำลังสงสัยอยู่ว่ากางเกงกับรองเท้าของเจ้าหายไปไหน?”
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกขึ้นมาทันที
เขาเพิ่งจะนึกออกว่าในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์มีชุดเสื้อคลุมสำรองอยู่ก็จริง แต่มันเป็นเสื้อคลุมตัวสั้น ที่สามารถปิดบังได้แค่ส่วนบนของร่างกายเท่านั้น
มิน่าเล่า ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปจนถึงข้อเท้า หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้สึกเย็นวูบวาบอย่างแปลกประหลาด… โชคดีที่ไม่มีใครมาพบเห็นเขาในสภาพเช่นนี้ มิเช่นนั้นแล้ว คนเหล่านั้นก็คงต้องสงสัยกันเป็นแน่แท้ว่า เพราะเหตุใดหลินเป่ยเฉินถึงได้มีช่วงขาเรียวงามยิ่งกว่าสตรีเสียอีก
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ ตอบว่า “เรื่องมันยาวขอรับท่านอาจารย์ ไว้คุยกันภายหลังดีกว่า”
ติงซานฉือจ้องมองใบหน้าเด็กหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์อีกเล็กน้อย ก่อนจะผงกศีรษะและปรับเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นปกติ “เจ้าเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุได้เป็นครั้งที่สอง แต่กลับเปิดได้ธาตุไฟแทนที่จะเป็นธาตุน้ำ เรื่องราวเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…อาจารย์ก็ไม่รู้จะตอบเจ้าอย่างไรดี เอาเป็นว่าเดี๋ยวเจ้าลองถามกับนักพรตหญิงชินดูก็แล้วกัน”
“ขอรับอาจารย์”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน จึงกล่าวต่อ “อาจารย์ขอรับ ในเมื่อบัดนี้ศิษย์มีพลังปราณธาตุไฟ วิทยายุทธ์และทักษะการต่อสู้ทั้งหมด คงต้องเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นวิชากระบี่ของชาวทะเลหรือวิชามัจฉากลายร่างเป็นมังกร ศิษย์ก็ไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพอีกแล้ว… ไม่ทราบว่าอาจารย์พอจะมีวิชาไหนแนะนำให้ศิษย์ใช้แทนวิชาเหล่านั้นได้บ้างไหมขอรับ?”
คำถามนี้ของเด็กหนุ่มทำให้ใบหน้าของติงซานฉือกระตุกขึ้นมาในฉับพลัน…
เรื่องนั้นทำไมเขาจะทำไม่ได้
แต่มันเสียเวลาน่ะสิ!
ชายชรานึกอยากจะล้มโต๊ะที่วางข้าวของบูชาให้คว่ำไปทั้งหมด
เขาอยากจะสบถคำหยาบ
เพราะเมื่อคืนนี้ ติงซานฉือใช้เวลาทั้งหมดไปกับการปรับเปลี่ยนแผนการสอนให้แก่หลินเป่ยเฉิน
เขาวางแผนการสอนโดยยึดว่าเด็กหนุ่มมีพลังปราณธาตุน้ำ จวบจนถึงรุ่งเช้า แผนการสอนทุกอย่างจึงลงตัว
แต่เมื่อเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินกลับได้พลังปราณธาตุไฟ
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เหมือนเดิม
ติงซานฉือต้องกลับไปวางแผนการสอนใหม่อีกครั้ง!
นั่นเท่ากับว่า ชายชราต้องเสียเวลาไปอีกทั้งวันเลยทีเดียว
“เจ้าไปหานักพรตหญิงชินก่อนเถอะ”
ติงซานฉือพยายามสงบจิตสงบใจ พูดจบก็หมุนตัวเดินกำหมัดออกจากวิหารเทพกระบี่
เฮ้อ
ชายชราไม่เคยรู้สึกเหนื่อยล้าเท่านี้มาก่อน
หลินเป่ยเฉินได้แต่มองแผ่นหลังของอาจารย์เดินหายลับไปจากสายตาด้วยแววตาซาบซึ้ง
ต่อให้หลายครั้งอาจารย์ของเขาจะพึ่งพาไม่ค่อยได้ แต่ถึงอย่างไร ท่านก็มีจิตใจเมตตาต่อหลินเป่ยเฉินคนนี้เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ สมุนไพรวิเศษ ของวิเศษหายาก…
ทั้งหมดนั้น ติงซานฉือมอบให้แก่หลินเป่ยเฉินได้โดยไม่คิดเสียดาย
นอกจากนี้ อาจารย์ติงยังยอมเสียสละศิลาบูชาให้กับเขาถึง 2 ก้อน คิดเป็นเงินถึงหนึ่งหมื่นเหรียญทองคำ ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่ใครหลายคนต้องใช้เวลาเก็บออมค่อนชีวิต
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับท่านอาจารย์ ข้าน้อยหลินเป่ยเฉินขอยืนยันว่าจะต้องตอบแทนให้ท่านได้ภูมิใจ หากวันไหนท่านเสียชีวิต ข้าน้อยจะนำศพของท่านใส่ลงไปในโลงทองคำ และสร้างสุสานทองคำให้ท่านได้ฝังร่างไปตลอดกาล หรือถ้าท่านอาจารย์ต้องการ ข้าก็พร้อมที่จะนำต้นหญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์มาปลูกไว้บนหลุมศพของท่านด้วย!”
หลินเป่ยเฉินสาบานด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
แต่หลังจากนั้น เขาก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่า โลกจอมยุทธ์แห่งนี้ยามที่ผู้มีพลังปราณธาตุไฟต่อสู้กัน เสื้อผ้าของพวกเขาจะไม่ถูกเผาไหม้จนต้องเปลือยกายล่อนจ้อนต่อหน้าทุกคนหรือ?
หรือว่าพวกเขามีวิธีการพิเศษที่สามารถควบคุมเปลวไฟไม่ให้เผาไหม้เสื้อผ้าได้?
หรือว่ามีแค่เขาเพียงคนเดียวที่ทำให้เสื้อผ้าของตนเองไหม้ไฟ?
สงสัยคงต้องไปสอบถามเอาจากนักพรตหญิงชินแล้วจริงๆ
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็เดินไปหานักพรตหญิงชิน ระหว่างทางมีนักบวชสาวมากมายส่งเสียงทักทายเขาเจื้อยแจ้ว
ในห้องเรียนประจำวิหารเทพกระบี่
เมื่อได้ยินคำถามเกี่ยวกับเปลวไฟและเสื้อผ้าจากปากของหลินเป่ยเฉิน ใบหน้าอันสวยงามของนักพรตหญิงชินที่ปกติมีแต่ความเย็นชาปราศจากอารมณ์ความรู้สึก ก็พลันปรากฏความประหลาดใจขึ้นมาแล้ว