ตอนที่ 386 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน
เจ้าเมืองคนใหม่มีนามว่าฉุยเฮาเฟิง นอกจากสุภาพอ่อนน้อมและสง่าผ่าเผย ยังมีวิสัยทัศน์กว้างไกล
เขาเดินตามรอยหลิงจุนเซวียนผู้เป็นเจ้าเมืองคนเก่า สิ่งใดที่เจ้าเมืองคนก่อนทำไว้ดี ฉุยเฮาเฟิงก็ไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ฉุยเฮาเฟิงจึงสามารถเข้ามารับตำแหน่งได้อย่างราบรื่น และสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ชาวเมืองได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ บุตรชายของเขาจึงพลอยมีภาพลักษณ์ที่ดีไปด้วย
เมื่อเห็นว่าผู้ที่อยู่ชั้นบนของโรงเตี๊ยมคือฉุยหมิงโหลว เหล่าลูกค้าที่รอคอยอยู่หน้าประตูก็รู้ทันทีว่าคืนนี้ที่นี่มีงานเลี้ยงสำคัญเป็นแน่แท้
ลูกค้าที่เคยโวยวายไม่พอใจอยู่ก่อนหน้า บัดนี้กลับพร้อมใจหันมาประสานมืออำลาเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมด้วยความสามัคคี
จังหวะนั้น รถม้าสีดำคันหนึ่งปรากฏขึ้นที่มุมถนน เสียงฝีเท้าม้าย่ำไปบนพื้นถนนดังปานฟ้าคำราม
รถม้าคันนี้ทำให้ถนนสะเทือนไปทั้งสาย
“หยุด!” สารถีประจำรถม้าบังคับม้าให้หยุดลงที่หน้าโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง
บนผนังด้านนอกห้องโดยสารของรถม้ามีสัญลักษณ์รูปดอกไม้ทองคำประดับเด่นหรา
ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อเกราะ 4 คนทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศ แม้แต่ใบหน้าของพวกเขาก็ถูกอำพรางอยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำ รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างกายนั้นคือคำเตือนที่บอกทุกคนไม่ให้เข้าใกล้ หลังจากนั้น กระสอบป่านสองถุงที่อะไรบางอย่างในนั้นกำลังดิ้นขลุกขลักตลอดเวลา ก็ถูกขนลงมาจากห้องโดยสารของรถม้า
“อื้อ…”
เสียงครวญครางที่แปลกประหลาดดังออกมาจากด้านในกระสอบ
พิจารณาจากการเคลื่อนไหวของรูปทรงกระสอบแล้ว สิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ด้านใน ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแน่นอน
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่รีบแบกกระสอบทั้งสองถุงเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง
เหตุการณ์นี้ดึงดูดความสนใจชาวเมืองได้เป็นจำนวนมาก
“เกิดอะไรขึ้น?”
“สัญลักษณ์ที่ประดับอยู่บนห้องโดยสารของรถม้า บอกชัดว่ามาจากตระกูลชนชั้นสูง อย่างน้อยก็ต้องเป็นตระกูลผู้เป็นเจ้าปกครองแคว้นขึ้นไป…”
“แล้วชายฉกรรจ์ทั้งสี่เมื่อสักครู่นี้ ก็คือคนของตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลนี้อย่างนั้นหรือ แล้วสิ่งที่อยู่ในกระสอบ ใช่มนุษย์หรือไม่?”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“บางทีอาจเป็นใครสักคนที่หลบหนีออกมาจากตระกูลของพวกเขาก็ได้”
ชาวเมืองเริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นี่คือเหตุการณ์ตื่นเต้นที่หาได้ยากยิ่งในเมืองหยุนเมิ่ง ผู้คนที่อาศัยอยู่แถวโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งต่างก็รู้สึกว่ากลุ่มคนของตระกูลสูงศักดิ์เหล่านี้ ช่างลงมือด้วยความโหดร้ายและไม่เกรงกลัวกฎหมายเลยจริงๆ
…
“สรุปก็คือ ในช่วงแรกของการเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณ ร่างกายของเจ้ายังคงปรับตัวกับพลังใหม่ไม่ได้ มันจึงทำให้เสื้อผ้าถูกเผาไหม้โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หากขยันฝึกฝนควบคุมพลังให้ดี อีกไม่นานเสื้อผ้าก็ไม่ต้องไหม้ไฟแล้ว”
รถม้าคันหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปบนถนนที่ทอดผ่านหุบเขายามราตรี
ในห้องโดยสารของรถม้า หลินเป่ยเฉินกำลังนึกถึงคำพูดของนักพรตหญิงชิน
หัวหน้านักบวชแห่งวิหารเทพกระบี่ประจำเมืองมีความเข้าใจในเรื่องทฤษฎีการฝึกวรยุทธ์สูงส่ง และระดับฝีมือของนางก็ไม่ต่ำต้อยไปกว่าติงซานฉือ ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงเชื่อสิ่งที่นางพูดทุกถ้อยคำ
ระหว่างที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารของรถม้า หลินเป่ยเฉินก็ลองพยายามควบคุมเปลวไฟดูอีกครั้ง
ฟู่!
แขนทั้งสองข้างของเขามีเปลวไฟลุกพรึบ แขนเสื้อที่ยาวจรดข้อมือถูกเผาไหม้ไปทันที
เด็กหนุ่มถอนหายใจ มองสองแขนที่เปลือยเปล่าของตนเอง ในหัวใจกำลังปวดร้าว
เสื้อผ้าพวกนี้ก็เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น
ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินพยายามควบคุมพลังปราณธาตุไฟของตนเอง จนต้องอุทิศเสื้อคลุมตัวยาวไปแล้วถึง 4 ตัว
ให้ตายเถอะ
ขอเปลี่ยนเป็นพลังอย่างอื่นที่มันไม่ทำให้สิ้นเปลืองเสื้อผ้าแทนจะได้ไหม?
หลินเป่ยเฉินจมตัวอยู่ในภวังค์แห่งความคิด รู้ตัวอีกที รถม้าคันนี้ก็นำเขามาถึงสถานศึกษากระบี่ที่สาม และมาหยุดจอดอยู่ที่หน้าทางเข้าตำหนักไม้ไผ่เรียบร้อยแล้ว
“ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน”
ติงซานฉือพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า รีบเดินกลับไปที่หอพักของตนเองทันที
ชายชราจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนการสอนให้แก่หลินเป่ยเฉินเป็นครั้งที่สาม
คาดการณ์ได้ว่าคืนนี้ติงซานฉือคงไม่ได้นอนอีกแล้ว
เงาร่างของชายชราหายวับไปในความมืดยามราตรี
หลินเป่ยเฉินเดินลากเท้าเข้าไปที่ตำหนักไม้ไผ่
แต่บรรยากาศในสนามหญ้าผิดปกติ
ทุกครั้งที่หลินเป่ยเฉินกลับมาถึงบ้านพัก สองสาวรับใช้จะต้องรีบกระวีกระวาดออกมาต้อนรับด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นหน้าสวยๆ ของพวกนางทั้งสองคน หลินเป่ยเฉินก็จะรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
แต่คืนนี้ สองสาวรับใช้ไม่ได้ออกมาต้อนรับเขา
มีเพียงหวังจงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนกระวนกระวายอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายชราไม่สังเกตด้วยซ้ำตอนที่หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหา
เด็กหนุ่มใช้ปากเป่าดับเทียนไขและบ่นว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ กลางค่ำกลางคืนห้ามจุดเทียนไขโดยไม่จำเป็น มันอาจทำให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ได้โดยที่เจ้าไม่รู้ตัว…”
พูดจบ หลินเป่ยเฉินก็ยกมือดีดนิ้ว
พรึบ!
เปลวไฟสีแดงส้มลุกโชนขึ้นมาบนนิ้วมือของเขา
ภายในห้องนั่งเล่นที่ปกคลุมด้วยความมืดมิด พลัน กลับมาสว่างไสวด้วยเปลวไฟจากมือของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มยิ้มเล็กน้อย
ประโยชน์ของการมีพลังปราณธาตุไฟก็คือ มันช่วยให้เขาประหยัดค่าเทียนไขได้เยอะทีเดียว
หวังจงตอนแรกก็ตกใจกลัว แต่เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาถึงคือนายน้อย ชายชราก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมละล่ำละลักบอกว่า “นายน้อยขอรับ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ…”
“หืม?”
เมื่อหลินเป่ยเฉินพบว่าหวังจงไม่ได้สังเกตเห็นนิ้วมือที่เป็นลุกเป็นไฟของเขาแม้แต่น้อย จึงต้องถามกลับไปด้วยความประหลาดใจว่า “มีเรื่องอะไรอีก? รีบลุกขึ้นมารายงานเดี๋ยวนี้”
“นายน้อยขอรับ เฉียนเหมยกับเฉียนเจินหายตัวไป”
หวังจงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเป็นกังวล “วันนี้นายน้อยสั่งว่าจะกลับดึก หลังจากที่พวกนางพาคุณหนูฮันปู้ฮวยกลับมารับประทานอาหารเย็นที่นี่ หวังจงจึงสั่งให้พวกนางนำคุณหนูน้อยไปส่งบ้าน แต่เวลาล่วงเลยมาจนถึงบัดนี้ เฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็ยังไม่กลับมา พวกนางควรกลับมาถึงเมื่อ 1 ชั่วยามที่แล้ว ข้าน้อยขอให้พรรคพวกในเมืองช่วยออกตามหา แต่ก็ไม่พบพวกนางเลยขอรับ…”
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง…
สองสาวรับใช้ของเขาหายตัวไปอย่างนั้นหรือ?
“ข้าน้อยได้ไปตรวจสอบดูที่บ้านตระกูลฮันแล้ว ปรากฏว่าคุณหนูฮันปู้ฮวยกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยดี นี่หมายความว่าเฉียนเหมยกับเฉียนเจินต้องหายตัวไประหว่างขากลับเป็นแน่แท้!”
หวังจงพูดเสียงสั่น
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
นี่คือเรื่องราวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินไม่ใช่คนพื้นที่ พวกนางถูกพ่อแม่ขายมาตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก มีสถานะไม่ต่างจากเด็กกำพร้า ไม่มีทางที่พวกนางจะหนีกลับบ้านหรือหนีตามผู้ชายไปเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ทั้งสองเพิ่งมีโอกาสได้เข้าเรียนวิชากระบี่ที่สถานศึกษากระบี่ที่สามอย่างนี้
และมันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะแวะซื้อของจนลืมทางกลับบ้าน
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินเคยติดตามหวังจงเข้าไปซื้อของในตัวเมืองมาแล้วหลายร้อยครั้ง อีกทั้งพวกนางยังเป็นคนที่ค่อนข้างเคร่งครัดกฎระเบียบ และไม่เคยทำสิ่งใดผิดเวลาเลยสักครั้ง…
ที่สำคัญก็คือ แม้แต่กลุ่มอันธพาลที่หวังจงจ้างไว้สืบข่าว ก็ยังตามหาตัวพวกนางไม่พบ
นี่คือสถานการณ์ที่แปลกประหลาดมากเกินไป
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าทำไมหวังจงถึงหน้าเครียดขนาดนั้น
“เจ้าแจ้งสำนักมือปราบหรือยัง?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
หวังจงรีบตอบว่า “แจ้งแล้วขอรับ แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว
ในช่วงหลังเมืองแห่งนี้มีเรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นจากฝีมือของพวกสาวกปีศาจ… หรือว่าสองสาวรับใช้ของเขา จะถูกพวกสาวกปีศาจดักเล่นงาน?
ถ้าอย่างนั้นก็ย่ำแย่แล้ว
“นี่อากวงอยู่ที่ไหน?”
เด็กหนุ่มถาม
“อากวงติดตามคุณชายเซียวปิงออกไปช่วยพวกกงกงตามหาแม่นางทั้งสองขอรับนายน้อย…”
หวังจงรายงาน
“งั้นพวกเราก็ออกไปช่วยตามหาบ้างดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวเดินออกจากบ้านพัก
เขาตั้งใจจะไปขอความช่วยเหลือจากกลุ่มคนของหอการค้าสามพันโยชน์ รวมถึงขอความช่วยเหลือจากฟางเสี่ยวไป๋แห่งสำนักวายุสะเทือนฟ้า
พวกเขาเหล่านั้นต้องมีช่องทางตามหาคนที่ดีกว่าอันธพาลข้างถนนอย่างกงกงแน่นอน
บางครั้งสำนักยุทธ์เหล่านี้ก็ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่มือปราบในสิ่งที่คนของทางการไม่สามารถกระทำได้
แต่หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะเดินพ้นประตูตำหนักไม้ไผ่ออกมาเท่านั้น ใครคนหนึ่งก็เดินออกมาจากเงามืดและยืนขวางทางพร้อมกับพูดเสียงดังว่า “กราบเรียนคุณชายหลิน ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาเชิญตัวท่านไปร่วมงานเลี้ยงที่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินสวนขึ้นทันควันว่า “หลีกทางไปซะ”
เขากำลังจะออกไปตามหาคนหาย จะมีเวลาไปร่วมงานเลี้ยงได้อย่างไร?
แต่ทันใดนั้น ชายหนุ่มปริศนากลับยื่นมือออกมาข้างหน้าและกล่าวว่า “เมื่อเห็นสิ่งนี้ คุณชายหลินอาจยินดีตามข้าน้อยไปกระมัง”
บนฝ่ามือของเขา คือปิ่นปักผมหยกที่ส่วนปลายมีสีแดงสด…
นี่คือปิ่นปักผมของเฉียนเหมย
หลินเป่ยเฉินมอบเป็นของขวัญให้นางด้วยตนเอง
“เจ้ามีปิ่นชิ้นนี้อยู่ได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าชายหนุ่มปริศนาด้วยแววตาเย็นเยียบ
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ตามข้าน้อยมาขอรับ เดี๋ยวคุณชายหลินก็รู้”