ตอนที่ 388 ถือว่าเห็นแก่หน้าข้า พวกท่านได้โปรด
ฉุยหมิงโหลวไม่พอใจมากๆ
ในหัวใจของเขารู้สึกโกรธแค้น
ช่างเป็นกลุ่มคนที่จิตใจโหดร้ายอำมหิตอะไรเช่นนี้
เมื่ออยู่รวมกลุ่มกัน พวกของสวีหวั่นหลัวก็สามารถทำได้ทุกสิ่งที่ต้องการ โดยไม่สนเลยว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องราวผิดกฎหมายหรือไม่
ฉุยหมิงโหลวไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์จะเลวร้ายถึงขั้นนี้
พวกของสวีหวั่นหลัวถึงกับลักพาตัวผู้คนตามอำเภอใจ
หรือว่านี่คือการกระทำที่ตั้งใจทำลายภาพลักษณ์บิดาเขา?
หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ชาวเมืองหยุนเมิ่งคงพากันขนานนามว่าบิดาของเขาเป็นเจ้าเมืองที่หวาดกลัวพวกของสวีหวั่นหลัวจนไม่กล้าทำอะไรเลย
“กราบเรียนท่านอ๋องน้อยสวี ใต้เท้าหนี่ และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ที่นี่คือเมืองหยุนเมิ่ง จะอย่างไรหลินเป่ยเฉินก็มีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก ถือว่าเห็นแก่หน้าข้า พวกท่านได้โปรดปล่อยสาวรับใช้ทั้งสองคนนี้ กลับไปหาหลินเป่ยเฉินผู้เป็นเจ้านายของพวกนางด้วยเถิด และเดี๋ยวข้าน้อยจะนำตัวหลินเป่ยเฉินมากราบขอโทษพวกท่านเอง…”
ฉุยหมิงโหลวพยายามหาทางเจรจาต่อรอง
สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไป
ฉุยหมิงโหลวเคยร่ำเรียนอยู่ที่สำนักกระบี่ที่เดียวกับพวกเขา ยามอยู่ในสถาบัน ชายหนุ่มเป็นบุคคลทรงเสน่ห์และมีเพื่อนฝูงอยู่มากมาย ทว่า เมื่อจบการศึกษา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย
เปรียบเทียบกับคนกลุ่มนี้แล้ว สถานะทางครอบครัวของฉุยหมิงโหลว ยังห่างไกลจากพวกเขาอีกหลายขั้น
แม้ว่าฉุยเฮาเฟิงบิดาของเขาจะมีสถานะเป็นถึงเจ้าเมือง แต่ก็เป็นเพียงเจ้าเมืองเล็กๆ เท่านั้นเอง
จะให้เห็นแก่หน้าเขาอย่างนั้นหรือ ฉุยหมิงโหลวคิดว่าตนเองมีค่ามากเพียงพอได้อย่างไร?
“เจ้าเป็นใคร เราถึงต้องไว้หน้าเจ้า?”
เด็กหนุ่มผู้มีสถานะเป็นถึงอ๋องน้อยยกเท้าลงจากโต๊ะอาหารและถามด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน
ฉุยหมิงโหลวใบหน้ากระตุกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง
แต่เพื่อไม่ทำให้บิดาของเขาต้องเจอปัญหา ชายหนุ่มจึงฝืนยิ้ม กล่าวว่า “กราบเรียนท่านอ๋องน้อยสวี ท่านเกิดมาพร้อมกับยศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง เหตุไฉนจึงต้องสนใจหญิงสาว 2 คน ที่เปรียบเสมือนเศษฝุ่นธุลีใต้เท้าของท่านด้วย”
ท่านอ๋องน้อยในชุดม่วงมีนามว่าสวีหวั่นหลัว
เขาเป็นบุตรชายของอ๋องผู้ปกครองแคว้นไห่อัน
อ๋องผู้ปกครองแคว้นไห่อันมีสายเลือดของจักรพรรดิผู้ปกครองจักรวรรดิเป่ยไห่ แม้จะไม่ได้เป็นรัชทายาท แต่ก็ได้รับพระราชทานให้ปกครองแคว้นสำคัญแห่งหนึ่งของมณฑลเฟิงอวี่
สวีหวั่นหลัวเป็นที่โปรดปรานของพระบิดามากที่สุดในกลุ่มลูกชายด้วยกัน เขาแสดงถึงพรสวรรค์ในด้านการฝึกวิทยายุทธ์ตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังมีบุคลิกห้าวหาญ ไม่เคยยอมก้มหัวให้ผู้ใด แสดงออกถึงความเป็นผู้นำที่ถูกใจท่านอ๋องเป็นอย่างยิ่ง ด้วยสาเหตุนี้เอง สวีหวั่นหลัวหรืออ๋องน้อยแห่งแคว้นไห่อัน จึงเป็นที่รู้จักไปทั่วมณฑลเฟิงอวี่ด้วยอายุเพียง 20 ปี
นอกจากมีชาติกำเนิดสูงส่งและมีพลังวรยุทธ์เลิศล้ำ อ๋องน้อยสวียังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในมือกระบี่รุ่นใหม่ที่น่าจับตาที่สุดของมณฑลอีกด้วย
แน่นอนว่าสถานะของเขาสำหรับกลุ่มคนที่กำลังรวมตัวอยู่ในห้องอาหารแห่งนี้ มีความสูงส่งไม่ต่างไปจากท่านอ๋องผู้เป็นบิดาเลยทีเดียว
“วันนี้ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับหญิงรับใช้ทั้งสองนางนี้ แล้วเจ้ามีปัญหาหรือไร?”
สวีหวั่นหลัวกลอกตามองหน้าฉุยหมิงโหลว จากนั้นจึงหันกลับไปมองเพื่อนร่วมโต๊ะ และกล่าวว่า “ข้าไม่เชื่อว่าจะมีใครกล้ามีปัญหา ไม่ทราบว่าพวกเจ้ากล้ามีปัญหากับข้าหรือไม่?”
ทุกคนส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาทันที
“พวกเราจะไปกล้าได้อย่างไร”
“อ๋องน้อย ท่านสามารถทำได้ทุกสิ่งที่ท่านต้องการอยู่แล้ว”
“พวกเราอยากให้อ๋องน้อยมีความสุขอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กลุ่มเด็กหนุ่มพูดไปก็หัวเราะไปด้วย
โดยเฉพาะหนี่ฟู่กวงที่หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงหื่นกามเป็นพิเศษ
“อิอิ แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว ท่านอ๋องน้อยช่างมีสายตาเฉียบแหลมในการคัดเลือกสตรีจริงๆ ต่อให้แม่นางทั้งสองท่านนี้ไม่ได้เป็นยอดหญิงงามแห่งปฐพี แต่พวกนางก็เปรียบเสมือนดอกไม้งามที่ควรค่าต่อการเชยชม แม้ว่าสภาพ ณ บัดนี้จะดูมอมแมมไปสักหน่อย แต่ข้าก็หาได้รังเกียจไม่ อะฮิอะฮิ ซี๊ด…”
หนี่ฟู่กวงสูดน้ำลายแห่งราคะ
เขาเป็นบุตรชายคนที่ 19 ของขุนนางผู้ปกครองแคว้นซินจิน
มณฑลเฟิงอวี่สามารถแบ่งแยกออกเป็นสี่แคว้นใหญ่
ซินจินก็คือหนึ่งในนั้น
สถานะของผู้ว่าการแคว้นซินจินแตกต่างจากอ๋องผู้ปกครองแคว้นไห่อันโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ อ๋องผู้ปกครองแคว้นไห่อันมีสายเลือดราชวงศ์ แต่ไม่มีอำนาจ ทว่าผู้ว่าการแคว้นซินจินมีอำนาจ แต่ไม่มีสายเลือดราชวงศ์ เขาปกครองเมืองน้อยใหญ่ถึง 16 เมือง ดูแลเรื่องการจัดเก็บภาษี ควบคุมกองทัพและคลังแสงอาวุธ บิดาของหนี่ฟู่กวงได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง แม้ว่าตำแหน่งจะต่ำต้อยมากกว่าอ๋องแห่งแคว้นไห่อันหลายเท่า แต่อำนาจที่เขามีอยู่ในมือ ก็มากกว่าหลายเท่าเช่นกัน
ดังนั้น สถานะของหนี่ฟู่กวงผู้เป็นบุตรชาย จึงไม่ควรต่ำต้อยมากไปกว่าสวีหวั่นหลัว
แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นบุตรชายคนที่ 19
ก่อนหน้าหนี่ฟู่กวงยังมีพี่ชายอีก 18 คน และพี่สาวอีก 31 คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้กัน
เพราะฉะนั้น เมื่อเทียบกับบุตรชายคนโปรดของอ๋องผู้ปกครองแคว้นไห่อัน หนี่ฟู่กวงจึงมีสถานะต่ำต้อยมากกว่าสวีหวั่นหลัวไปโดยปริยาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าก็ชอบพวกนางเหมือนกันหรือ?”
สวีหวั่นหลัวยิ้มออกมาเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่มีปัญหา ข้าเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อนฝูงอยู่แล้ว พวกเจ้าจัดเรียงลำดับกันเองก็แล้วกันว่า ถัดจากข้า ใครจะเล่นสนุกกับพวกนางก่อนหลัง ฮ่าฮ่าฮ่า!”
อ๋องน้อยในชุดเสื้อคลุมสีม่วงแผดเสียงหัวเราะเหมือนคนเสียสติ “รอจนพวกเราเล่นสนุกจนหนำใจแล้ว ค่อยส่งพวกนางกลับคืนไปให้เจ้านายก็แล้วกัน…มันมีชื่อว่าหลินอะไรนะ?”
หนี่ฟู่กวงตอบว่า “หลินเป่ยเฉินพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ ใช่แล้ว หลินเป่ยเฉิน…” สวีหวั่นหลัวยิ้มมุมปาก “เราจะคืนพวกนางให้หลินเป่ยเฉินในสภาพที่ย่ำแย่ยับเยินที่สุด ต่อให้มันมาขอขมาพวกเรา อย่างน้อยก็ต้องสั่งสอนให้เลือดโชกสักหน่อย มิเช่นนั้นแล้ว วิญญาณของหานเฉิงกับไท้เสว่เหมยคงไม่มีทางสงบสุขเป็นแน่แท้”
“นับเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมมากพะย่ะค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
หนี่ฟู่กวงหันไปแสยะยิ้มให้สองสาวรับใช้
ใบหน้าซีดขาวปราศจากสีเลือดของเขาบ่งบอกถึงความหื่นกระหายที่น่าขยะแขยง
เด็กหนุ่มร่วมรุ่นอีกหลายคนระเบิดเสียงหัวเราะรอบวง
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าความสนุกครั้งนี้ตนเองจะได้มีส่วนร่วมด้วย
“ฝันไปเถิด”
หญิงสาวผู้มีดวงตากลมโตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ศิษย์พี่หานและศิษย์น้องไท้ถึงกับต้องเสียชีวิต ท่านจะปล่อยให้หลินเป่ยเฉินมีชีวิตลอยนวลอยู่ต่อไปได้อย่างไร?”
อ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวยิ้มแย้มด้วยความพึงใจ “น้องฟูไม่ต้องเป็นกังวล พวกเราในที่แห่งนี้ไม่มีใครลืมเลือนความจริงข้อนั้น แต่เรื่องราวการแก้แค้นเอาชีวิตหลินเป่ยเฉิน นั่นคือหน้าที่ของตระกูลหานกับตระกูลไท้ต้องจัดการกันเอง หาได้เป็นเรื่องราวของพวกเราไม่ เหอเหอเหอ”
หญิงสาวยังคงพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยอมแพ้ “ถึงไม่ใช่ก็เหมือนใช่นั่นแหละเจ้าค่ะ”
ฉุยหมิงโหลวชำเลืองมองใบหน้าทุกคนด้วยความร้อนรน สถานการณ์อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาโดยสิ้นเชิง
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้มีเวลาพูดคำใด หนี่ฟู่กวงก็ลุกขึ้นเดินออกมาจากโต๊ะอาหาร และตรงไปหาสาวรับใช้หน้าตาสวยทั้งสองคนนั้น
“ท่าน…อย่าได้เข้ามา”
เฉียนเหมยถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว “นายท่านของข้าเป็นผู้ที่ถูกเลือก…”
“แหมแหม เป็นผู้ที่ถูกเลือกแล้วจะทำไม?”
หนี่ฟู่กวงยิ้มแย้มและยื่นมือไปเชยคางหญิงสาวขึ้นมาชมใบหน้าในระยะใกล้ชิด
“ไม่นะ…”
เฉียนเหมยยกมือปัดป้องและผงะถอยหลังตามสัญชาตญาณ
เพี๊ยะ!
หนี่ฟู่กวงพลันตบใบหน้าของนางอย่างแรง
“โอ๊ย…”
เฉียนเหมยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดในขณะที่ล้มลงไปกับพื้นห้อง ใบหน้าด้านหนึ่งของนางเป็นรูปฝ่ามือแดงเถือกและมีเลือดไหลซิบออกมาจากมุมปาก
หญิงสาวเพิ่งเรียนวิทยายุทธ์ในสถานศึกษากระบี่ที่ 3 ได้เพียงไม่กี่วัน แล้วจะสามารถรับมือกับลูกศิษย์อัจฉริยะจากสำนักกระบี่ระดับสามัญได้อย่างไร
“บัดซบ นางแพศยา ใครบอกให้เจ้าปัดมือข้า?”
หนี่ฟู่กวงใบหน้ากระตุกและเดินเข้าไปเตะเสยปลายคางเฉียนเหมย หลังจากนั้น เขาก็กระทืบนางอยู่อีกครู่ใหญ่ เมื่อเห็นหญิงสาวนอนขดตัวด้วยความเจ็บปวด หนี่ฟู่กวงก็สบถออกมาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “เป็นผู้ที่ถูกเลือกแล้วจะทำไม? นายของเจ้ารู้ตัวไหมว่ากำลังมีเรื่องอยู่กับใคร ข้ามีร้อยวิธีที่จะสามารถสังหารเขาได้…”
ชายหนุ่มใช้หลังมือตบใบหน้าสาวรับใช้และจิกศีรษะนางขึ้นมาจ้องมองด้วยความเกลียดชัง ก่อนที่เขาจะเหวี่ยงตัวนางกลับลงไปบนพื้นห้องอีกครั้ง