ตอนที่ 391 ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก
นางชักกระบี่ออกมาจากฝัก กระบี่ในมือตวัดเป็นลำแสงพุ่งเข้าหาหลินเป่ยเฉินปกคลุมทั่วลำตัว
ย่อมเป็นฝีมือกระบี่ที่สูงส่ง
พลังลมปราณแผ่กระจายไปรอบบริเวณ
ในห้องรับประทานอาหารพลันอุณหภูมิลดลง เกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ ลอยฟุ้งในอากาศ
นี่คือคุณลักษณะของผู้มีพลังปราณธาตุน้ำแข็ง
มันคือพลังปราณธาตุหายากที่กลายพันธุ์จากพลังปราณธาตุน้ำทั่วไป
นี่คือความภาคภูมิใจสูงสุดของหญิงสาว มันทำให้นางไม่เคยมองเห็นใครอยู่ในสายตา
มวลอากาศจับตัวเป็นน้ำแข็งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และขณะนี้ บนพื้นห้องตรงที่เท้าของหลินเป่ยเฉินยืนอยู่ ก็เริ่มเกิดเป็นก้อนน้ำแข็งเกาะขาของเขาขึ้นมาแล้ว
บัดนี้ อุณหภูมิในห้องรับประทานอาหารลดฮวบลงไป ราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ในถ้ำน้ำแข็งก็ไม่ปาน
หนาวเหน็บมากพอที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตแข็งตายได้
แต่อย่างไรก็ตาม…
“แม่งเอ๊ย งี่เง่า คิดว่าแค่นี้ข้าจะกลัวหรือไง!”
หลินเป่ยเฉินเลือดลมสูบฉีด ตัวคนไม่มีหยุดชะงัก เขาเหวี่ยงดาบใหญ่ในมือตัดอากาศด้วยความร้อนแรง
วูบ!
ม่านกระบี่ของหญิงสาวสลายหายไป
ผลั่ก!
นางลอยไปกระแทกกับผนังไม้ของห้องรับประทานอาหารอย่างแรง
แต่ผนังไม้ที่บางเบานั้นกลับไม่ได้แตกหักทะลุอย่างที่คิด เพราะได้มีการสร้างค่ายอาคมเอาไว้ก่อนหน้านี้ เกิดเป็นประกายสีเงินสว่างแวววาว แล้วหญิงสาวก็กระเด้งกลับมานอนกองอยู่บนพื้น ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วกาย นางรู้สึกเหมือนกับว่าโครงกระดูกแตกหักไม่มีชิ้นดี
“อะเฮื้อ…”
หญิงสาวกระอักเลือดออกมาจากปาก ฝ่ามือที่กุมด้ามกระบี่ก็มีเลือดไหลออกมาเช่นกัน
นางมีสีหน้าตกตะลึง
ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในจิตใจ
หากไม่ใช่ว่ากระบี่ในมือมีแรงต้านทานเป็นเลิศ เกรงว่าเมื่อสักครู่นี้ นางคงมีสภาพไม่ต่างไปจากซูซือเหวินที่ร่างกายแบะแยกออกเป็นสองซีกแน่นอน
“เจ้าไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้างหรือไร?”
หญิงสาวมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความพรั่นพรึง
ในโลกใบนี้ มีผู้ใดที่สามารถเอาชนะพลังปราณธาตุน้ำแข็งได้ด้วยหรือ?
หญิงสาวไม่เข้าใจเช่นกันว่าเพราะเหตุใดพลังปราณธาตุน้ำแข็งของนาง ถึงไม่สามารถเล่นงานหลินเป่ยเฉินได้เลยแม้แต่น้อย
หรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะมีพลังสูงส่งกว่าที่นางคิด?
แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้หันมาสนใจนางอีกแล้ว เขาหันขวับกลับไปตวัดดาบในมือ กระโจนเข้าใส่องค์ชายสวีหวั่นหลัวด้วยความดุดัน
อยากจะฆ่างู ก็ต้องตัดหัวงูทิ้งก่อน
ฆ่าคนที่เป็นหัวหน้าก่อน
แล้วค่อยสอบถามบริวารทีหลัง
บรรดาชายหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผู้เสียชีวิต ต่างก็จ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้าซีดขาว
ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เคยเห็นหลินเป่ยเฉินอยู่ในสายตา แต่บัดนี้กำลังตื่นกลัวสุดขีด ต่อให้มั่นใจว่าตนเองมีระดับพลังไม่ต่ำต้อย แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าขยับออกมาขวางทางหลินเป่ยเฉินแม้แต่ผู้เดียว
ดาบใหญ่ตวัดตัดอากาศฟันลงไปที่หน้าผากของสวีหวั่นหลัว
นี่คือกระบวนท่าดาบเดียวปลิดชีวิต
ห้องรับประทานอาหารแทบจะถูกแยกเป็นสองส่วนด้วยดาบเล่มนี้
“หึหึ”
อ๋องน้อยจากแคว้นไห่อันยังคงนั่งหัวเราะในลำคออยู่ที่เดิม พลัน เขายกมือขึ้นมา แล้วเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นบนนิ้วมือทั้งห้า หลังจากนั้น เขาก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง
ฟู่!
เคล้ง!
ได้ยินเสียงโลหะปะทะกัน
แล้วดาบศีลธรรมในมือของหลินเป่ยเฉินก็เด้งกลับไปเมื่อปะทะกับแรงสั่นสะเทือนบางอย่าง มวลอากาศพริ้วไหวสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และใจกลางของมวลพลังงานที่เป็นจุดกำเนิดแรงสั่นสะเทือนนั้น ก็แผ่ออกมาจากปลายนิ้วของสวีหวั่นหลัว มันพุ่งเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินและโจมตีใส่ข้อมือข้างที่ถือดาบของเขา!
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงพลังกดดันที่คุกคามเข้ามา
และมวลพลังงานสายนั้นค่อนข้างแปลกประหลาดมาก มันมีลักษณะเป็นสีดำหม่น เมื่อเข้ามาใกล้ร่างกายก็จะเกิดปฏิกิริยาเหมือนกระแสไฟฟ้าสถิตตั้งแต่หัวจรดเท้า
หลินเป่ยเฉินผงะถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
แต่ทุกก้าวที่เขาขยับถอยหลัง พื้นห้องจะสั่นสะเทือน คล้ายกับว่าโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งที่แสนใหญ่โตพร้อมพังถล่มได้ตลอดเวลาจากการเหยียบเท้าของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มต้องเซถอยหลังไปถึงเจ็ดแปดก้าว กว่าที่จะยืนหยัดได้มั่นคงอีกครั้ง
บนพื้นห้องตรงจุดที่เขาก้าวผ่าน เกิดรอยแตกร้าวเหมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่
“ตายซะเถอะ”
สวีหวั่นหลัวยังคงนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม
สายตาที่เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินไม่ต่างจากสายตาที่มองคนตายคนหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
ตั้งใจเหยียดหยามกันใช่ไหม?
เจ้าอ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวอะไรนี่เป็นมนุษย์ไฟฟ้าอย่างนั้นหรือ?
อย่าบอกนะหมอนี่มีพลังปราณธาตุสายฟ้า?
หัวใจของหลินเป่ยเฉินเต้นระรัว ลองโคจรพลังในร่างกายดูอีกครั้ง พบว่ายังสามารถใช้พลังลมปราณได้อย่างลื่นไหล เพียงแต่อวัยวะในร่างกายเหมือนจะทำงานผิดปกติเล็กน้อยจากการถูกกระแสไฟฟ้าสถิตเมื่อสักครู่
“เมื่อสักครู่นี้ เจ้าถูกพลังสายฟ้าของท่านอ๋องน้อยเล่นงานเข้าให้แล้ว ค่ำคืนนี้ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางรอดแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า”
หนี่ฟู่กวงกลับมาได้สติอีกครั้งและระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
ชายหนุ่มคนอื่นๆ เช่นเดียวกับหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในคณะ ต่างก็พร้อมใจกันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ใช่แล้ว ท่านอ๋องน้อยสวีนอกจากเป็นผู้มีชาติกำเนิดสูงส่ง ยังได้รับพรสวรรค์จากจักรพรรดิกระบี่ ยามเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุ ท่านก็มีพลังปราณธาตุอยู่ในตัวถึง 3 ชนิด หนึ่งในนั้นก็คือพลังปราณธาตุสายฟ้าที่เจ้าเพิ่งถูกเล่นงานเข้าไปนั่นแหละ ฮ่าฮ่าฮ่า พลังปราณธาตุชนิดนี้เมื่อไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายผู้ใดแล้ว การทำงานของอวัยวะภายในจะล้มเหลว แม้แต่หมอเทวดาก็ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้ เด็กแซ่หลิน เจ้าไม่มีทางรอดชีวิตอีกแล้ว…”
หญิงสาวยกมือปาดเลือดออกจากมุมปากและหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
“ต่อให้เจ้าเป็นผู้ที่ถูกเลือก แต่ในเมื่อมาสังหารสหายของเรา เจ้าก็ต้องตกตายไปตามกัน”
“ถูกต้อง แม้แต่วิหารเทพก็ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อีกต่อไป”
“เจ้าได้ลองชิมรสชาติพลังสายฟ้าของท่านอ๋องน้อยสวีเข้าไปแล้ว ความเจ็บปวดนี้จะคงอยู่ตลอดกาล และเจ้าจะต้องนึกเสียใจที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้!”
บรรดาชายหนุ่มผู้ติดตามสวีหวั่นหลัวเปล่งเสียงคำรามเหยียดหยามหลินเป่ยเฉิน
“นายท่าน เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ…?”
“นายท่าน รีบหนีไป…”
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินรีบวิ่งเข้ามาดูอาการเด็กหนุ่มด้วยความตกใจ
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่สวีหวั่นหลัว
อ๋องน้อยผู้นั้นยังคงจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาเทพเจ้าที่เฝ้ามองผู้คนเบื้องล่าง รอยยิ้มอำมหิตและเย็นชาปรากฏขึ้นที่มุมปาก ก่อนเขาจะยกมือขวาขึ้นดีดนิ้วอีกครั้ง
ป๊อก!
เสียงดีดนิ้วดังขึ้น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าที่ไหลเวียนเข้ามาในร่างกายอีกครั้ง แต่คราวนี้ มันทำให้เลือดลมในร่างกายของเขาไหลเวียนได้อย่างสะดวกสบาย และเพียงพริบตาเดียว กระแสไฟฟ้าเหล่านั้นก็สลายหายไป…
เขามองไปที่สวีหวั่นหลัว
สวีหวั่นหลัวมองมาที่เขา
ดวงตาสองคู่ประสานกัน
ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ในห้องเกิดความเงียบงันอันน่ากลัว
ใบหน้าของสวีหวั่นหลัวเกิดความประหลาดใจขึ้นมา
ป๊อก!
เขายกมือขึ้นดีดนิ้วอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินไม่รู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าในร่างกายอีกแล้ว
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบมากกว่าเดิม
หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มและหนี่ฟู่กวงต่างก็หันขวับไปมองหน้าสวีหวั่นหลัว
อ๋องน้อยพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย เปลวไฟสีม่วงลุกโชนขึ้นมาจากมือขวา ก่อนที่เขาจะลองดีดนิ้วเป็นครั้งที่สาม
ป๊อก!
เสียงดีดนิ้วดังชัดเจน
แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เฮ้อ…”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย “เจ้ากำลังจะเล่นดนตรีด้วยการดีดนิ้วหรืออย่างไร?”
สวีหวั่นหลัวลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า ในที่สุด สีหน้าก็ปรากฏความจริงจังขึ้นมาแล้ว เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินและพูดว่า “เจ้าสามารถต้านทานพลังสายฟ้าได้อย่างไร?”
ต้านทานอย่างนั้นหรือ?
มันหายไปเองต่างหากโว้ย!
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ
“หึหึ น่าสนใจเหมือนกันนี่”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวีหวั่นหลัว
อ๋องน้อยยิ้มอย่างมีความสุข พูดว่า “ตอนแรก ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติดีพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า แต่บัดนี้ เจ้าทำให้ข้าสนุกขึ้นมาบ้างเล็กน้อย และข้าก็รู้สึกไม่แน่ใจอีกแล้วว่าตนเองสมควรฆ่าเจ้าดีหรือไม่”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋องน้อย ได้โปรดเมตตาด้วย…”
จังหวะนั้น ฉุยหมิงโหลวตื่นขึ้นมาจากภวังค์และรีบกล่าวโดยเร็วไว “ท่านอ๋องน้อยไม่สามารถฆ่าหลินเป่ยเฉินได้นะพ่ะย่ะค่ะ เพราะเขามีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก หากท่านอ๋องน้อยสังหารเขา ย่อมไม่สามารถหลีกหนีความผิดจากวิหารเทพกระบี่ได้เลย มันจะเป็นการดีสำหรับพวกเราที่สุด หากว่า…”
“หุบปากซะ”
สวีหวั่นหลัวหันกลับมายิ้มมุมปากให้เขา
รอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนนั้น ขัดกับน้ำเสียงที่น่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง ฉุยหมิงโหลวหนาวเย็นไปทั่วร่างกาย รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวมีจิตสังหารหนาแน่นเพียงใด
ฉุยหมิงโหลวไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
เขาทำได้เพียงยืนฟังอ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าจะไม่สามารถหลีกหนีความผิดได้อย่างไร ถ้ามีการสืบสวนขึ้นมาจริงๆ เดี๋ยวก็ต้องมีใครสักคนออกมารับผิดแทนข้าอยู่ดี… ยังไม่ต้องพูดถึงว่านี่เป็นการล้างแค้นให้แก่เพื่อนร่วมสถาบันของเรา หลินเป่ยเฉินต้องการจะทำร้ายข้าก่อน ข้าเพียงป้องกันตัว แล้วเจ้ามีปัญหาอะไร?”
ฉุยหมิงโหลวมองเห็นอย่างชัดเจนว่าสวีหวั่นหลัวมีแววตาที่บ้าคลั่งเกินกู่กลับ
เหมือนนักพนันที่เสพติดการเดิมพัน ไม่มีสิ่งใดจะขัดขวางเขาได้อีกต่อไป… บัดนี้ อ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อกำจัดคู่ต่อสู้ให้ดับดิ้น
คนวิกลจริต
ทั้งหลินเป่ยเฉินทั้งสวีหวั่นหลัว ต่างก็เป็นคนวิกลจริตด้วยกันทั้งคู่!
ฉุยหมิงโหลวกัดฟันกรอด
เจ้าสองคนนี้มันเป็นพวกสมองเสื่อมชัดๆ!
ก็คนปกติที่ไหนกันจะกล้าสังหารผู้คนได้อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองอย่างนี้?
ฉุยหมิงโหลวหมดแรงที่จะเจรจาไกล่เกลี่ย
เขารู้สึกเหมือนว่าหลินเป่ยเฉินกับสวีหวั่นหลัวอาศัยอยู่คนละโลกกับตนเอง
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินพูดออกมาว่า
“เจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะเล่นกับไฟ?”
เขามองหน้าสวีหวั่นหลัวด้วยแววตาหยามเหยียด “รู้หรือไม่ว่าเล่นกับไฟมันอันตรายขนาดไหน?”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นดีดนิ้วบ้าง
แล้วเปลวไฟสีส้มแดงก็ปรากฏขึ้นบนปลายนิ้วมือข้างขวาของเขา
มวลพลังที่อันตรายแผ่กระจายในอากาศ
นี่เปรียบเสมือนว่ามังกรร้ายที่นอนหลับอยู่ในตัวหลินเป่ยเฉินถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากกระแสไฟฟ้าเมื่อสักครู่ และแววตาของเด็กหนุ่มในขณะนี้ ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นเยียบและอำมหิตยิ่งนัก