ตอนที่ 399 ยอดมือกระบี่ที่ยากจน
สรุปว่า หลินเป่ยเฉินเป็นหัวหน้านักบวชประจำเมืองอย่างนั้นหรือ?
ต่อให้วิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งจะเป็นเพียงวิหารเล็กๆ ในจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ ไม่มีความสำคัญใดในเส้นทางการเมือง แต่หัวหน้านักบวชก็คือหัวหน้านักบวช สถานะของเขาย่อมสูงส่งไม่อาจแตะต้องได้
ฉุยหมิงโหลวตกใจจนกัดลิ้นตัวเอง
มันเจ็บ!
แสดงว่าเขาไม่ได้ฝัน
นี่คือความจริง
แต่คำถามก็คือ คนเสเพลอย่างหลินเป่ยเฉินมีหน้าขึ้นไปเป็นหัวหน้านักบวชได้อย่างไร?
นี่คือเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อเกินไป
หรือเขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเนื่องจากเป็นผู้ที่ถูกเลือก?
นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้
เวลาที่วิหารใดจะเลือกหัวหน้านักบวชแต่ละคน พวกเขาต้องผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นเสมอ
ต่อให้เป็นนักบวชผู้ที่เกิดมาพร้อมกับความอัจฉริยะและมีพลังสูงส่ง ได้รับความเคารพจากทั่วสารทิศ การเลื่อนขั้นที่เร็วที่สุด ก็ยังต้องใช้เวลาถึง 10 ปี
การเลื่อนขั้นขึ้นเป็นหัวหน้านักบวช ไม่สามารถทำได้เพียงเพราะมีชื่อเสียงเป็นคนดัง
สีหน้าของหยิงอู๋จีเปลี่ยนแปลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
เจ้าเด็กวายร้ายนั่นเป็นหัวหน้านักบวชได้อย่างไร?
บัดนี้ ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว
“เป็นไงล่ะ? ทีนี้จะเชื่อที่ข้าพูดได้แล้วหรือยัง”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม และเก็บป้ายทองคำเข้าไปในคอเสื้ออีกครั้ง
การกระทำครั้งนี้ส่งผลให้ฉุยหมิงโหลว หยิงอู๋จีและเจ้าหน้าที่มือปราบคนอื่นๆ พูดอะไรไม่ออก
นี่คือป้ายศักดิ์สิทธิ์
เป็นสิ่งล้ำค่า
แต่หลินเป่ยเฉินกลับเอามาห้อยคอเหมือนเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง…
ได้อย่างไรกัน?
หลินเป่ยเฉินทำได้อย่างไร?
“นี่มัน… เรื่องนี้… ก็ยังต้องสืบสวนกันต่ออยู่ดี”
หยิงอู๋จีตั้งสติได้อีกครั้ง จึงพูดออกมาด้วยสีหน้าเจ็บแค้นใจ
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มพูดว่า “จริงหรือขอรับ? ท่านอาอยากจะสืบสวนจริงๆ หรือ ไม่ทราบว่าอยากให้ข้าสอนด้วยหรือไม่ว่าสมควรทำสิ่งใดต่อไป?”
หยิงอู๋จีแทบจะกระอักเลือดออกมาจริงๆ แล้ว
“พวกเราถอนกำลัง”
มือปราบหนุ่มคำรามเสียงดัง ก่อนหมุนตัวเดินนำเจ้าหน้าที่ผู้ติดตามกลับออกไป
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ถ้ายังฝืนทำตัวต้านกระแสน้ำต่อ นอกจากไม่เกิดประโยชน์ อาจจะทำให้บาดเจ็บได้อีกด้วย
ค่อยหาทางปรึกษาหารือกับผู้อาวุโสเหลียวทีหลังก็แล้วกัน
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มขณะที่มองทุกคนเดินออกไป
จะไปไหนก็ไปซะ
ต่อให้ตรวจสอบจนพบว่าสวีหวั่นหลัวกับผู้ติดตามทั้งหลายไม่ได้เป็นสาวกปีศาจจริงๆ แล้วคนพวกนี้จะทำอะไรเขาได้?
ไม่เห็นหรือไงว่าเขาคือหัวหน้านักบวชอย่างเป็นทางการ
ผ่านการรับรองอย่างถูกต้อง
หลินเป่ยเฉินรู้ดีถึงความศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นป้ายที่นำมาห้อยคอ
ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่กำลังจะตามมา
อีกอย่าง ตอนนี้เขาควรรีบเก็บเงินให้ได้มากที่สุด เพราะเวลาเกิดเรื่องเดือดร้อนคราวหลัง จะได้ติดต่อเทพีกระบี่โดยตรง ไม่ต้องติดต่อผ่านเทพีกระบี่หิมะไร้นามจอมหลอกลวงนั่นอีก
เมื่อเด็กหนุ่มลองคิดคำนวณดูแล้ว เขาก็พบว่าการติดต่อกับเทพีกระบี่โดยตรง เสียเงินน้อยกว่าติดต่อผ่านเทพีกระบี่หิมะไร้นามหลายเท่า
อีกอย่าง เศษสวะอย่างพวกสวีหวั่นหลัวก็ไม่ใช่ตัวดีอยู่แล้ว
วันนี้ถ้าเขาไม่จัดการสังหารพวกมันทิ้งไป ก็ไม่รู้เลยว่าในอนาคตจะต้องมีผู้บริสุทธิ์ตกตายด้วยน้ำมือของท่านอ๋องน้อยอีกเท่าไหร่
สวีหวั่นหลัวสมควรตายแล้ว ความตายของหมอนั่นเป็นผลดีสำหรับทุกคน
ส่วนพวกท่านอ๋องผู้ปกครองแคว้นไห่อัน ไปจนถึงขุนนางผู้ปกครองแคว้นซินจิน… หากพวกท่านเหล่านั้นเป็นคนดี หลินเป่ยเฉินก็หวังว่าคงไม่ได้รับการลงโทษหนักหนาเกินไปนัก
คำอธิบายเหล่านี้คือสิ่งที่หลินเป่ยเฉินต้องการเพียงคำรับรองจากเทพีกระบี่ให้ทุกคนได้เห็น เขาไม่ได้ขอให้นางช่วยทำอะไรนอกเหนือจากนี้สักหน่อย เพราะฉะนั้น นางคงไม่คิดราคาแพงหรอกกระมัง?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเมื่อพบว่าตนเองมีทางออกสำหรับทุกปัญหาเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว
แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็นึกอะไรขึ้นมาได้
วันนี้เขาฆ่าคนตายมากมายเหลือเกิน
ดูเหมือนว่าจิตใจของเขาจะอำมหิตมากกว่าก่อน
ตอนแรก การฆ่าล้างบางพวกโจรภูเขาในป่าชายแดนเหนือ ดูเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนก็จริง แต่หลินเป่ยเฉินทำไปเพื่อช่วยเหลือผู้คนและปกป้องตนเอง
ทว่า เหตุการณ์สังหารสวีหวั่นหลัวและคณะในคืนนี้ คือสิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ พวกของท่านอ๋องน้อยยอมถึงขนาดกราบขอร้องอ้อนวอน แต่ก็ยังไม่อาจรอดพ้นความตาย แม้ว่าชายหนุ่มเหล่านี้จะไม่ใช่คนดี แต่วิธีการลงโทษที่ควรทำก็คือการตัดเส้นเอ็นทำลายวรยุทธ์ แล้วก็ปล่อยทุกคนให้ไปใช้ชีวิตในฐานะคนพิการ
“เออ… ทำไมเราโหดกว่าเมื่อก่อนวะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตนเองอย่างใช้ความคิด
มันจะเกี่ยวกับที่เขามีพลังปราณธาตุไฟหรือเปล่า?
เพราะว่ากันว่าพลังปราณธาตุไฟเป็นตัวแทนแห่งความรุนแรงและการทำลายล้าง
พลังนี้เมื่ออยู่ในตัวของเขา มันอาจส่งผลต่ออุปนิสัยใจคอด้วยก็เป็นได้
หลังสงบจิตสงบใจได้แล้ว เด็กหนุ่มก็คิดว่าตนเองควรไปปรึกษาเรื่องนี้กับนักพรตหญิงชิน
หรือพูดให้ถูกต้องก็คือ หลินเป่ยเฉินควรให้นางศึกษาพลังในร่างกายของเขาอย่างละเอียด
วูบ!
ได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะลม
ใครบางคนทิ้งตัวลงมา
ปรากฏว่าติงซานฉือกลับมาแล้ว
หลินเป่ยเฉินมองหน้าอาจารย์
ติงซานฉือพยักหน้า บอกว่า “จัดการแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยืดตัวบิดขี้เกียจ “งั้นคืนนี้ข้าจะได้นอนหลับสบายใจหน่อย”
ฉุยหมิงโหลวปากกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
ใช่สิ เป็นเจ้ามันก็นอนหลับได้นี่
แต่เขาไม่รู้เลยว่าตนเองจะนอนไม่หลับไปอีกกี่คืน หลังจากได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์สังหารโหดคืนนี้
หลินเป่ยเฉินหันกลับมายิงฟันยิ้มให้ชายหนุ่มผู้เป็นบุตรชายท่านเจ้าเมือง “ขออภัยด้วยนะคุณชายฉุย วันนี้ข้ามาขัดขวางงานเลี้ยงของท่าน วันหน้าวันหลังจะหาทางขออภัยอย่างเป็นทางการ… รบกวนคุณชายดูแลตนเองด้วย”
พูดจบ เขาก็ลากตัวติงซานฉือและสองสาวรับใช้เดินออกไปจากโรงเตี๊ยม
ฉุยหมิงโหลวยังคงยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
ไม่ได้การแล้ว
นี่เขาต้องจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในห้องรับประทานอาหารหมายเลข 1 ให้แก่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งเท่าไหร่กันนะ?
ชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบตัว
แล้วเขาก็เห็นเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมยืนหน้าตาถมึงทึงอยู่ตรงประตูทางเข้า
“เถ้าแก่… ได้โปรดฟังคำอธิบายของข้าก่อน”
ฉุยหมิงโหลวพูดด้วยสีหน้าขมขื่น
“ไม่ต้องพูดคำใดอีกแล้ว”
เถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไม่มีอะไรต้องพูดอีกต่อไป… ค่าอาหารรวมค่าเสียหายและค่าซ่อมแซมทั้งหมด เป็นจำนวนเงิน 1,841 เหรียญทองคำ ไม่ทราบว่าคุณชายฉุยจะจ่ายเป็นเงินสด หรือใช้บัตรฝากเงินดีขอรับ?”
…
“นี่เจ้าเอาป้ายศักดิ์สิทธิ์มาห้อยคอกับสร้อยทองคำอย่างนั้นหรือ? อวดดีเกินไปแล้วจริงๆ…”
ห้องอาบน้ำในตำหนักไม้ไผ่
ติงซานฉือพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
หลินเป่ยเฉินรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวจากการต่อสู้ บัดนี้นอนแช่น้ำอุ่นผ่อนคลายกล้ามเนื้ออยู่ในอ่างไม้ขนาดใหญ่ เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก็รีบอธิบายทันทีว่า “ของปลอมต่างหากขอรับ”
“ว่าไงนะ? แผ่นป้ายศักดิ์สิทธิ์เป็นของปลอมอย่างนั้นหรือ?”
ติงซานฉือไม่อยากเชื่อ “เจ้ากล้าปลอมของแบบนี้ได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ป้ายเป็นของจริงขอรับ ที่ปลอมน่ะคือสร้อยทอง… ศิษย์แค่แขวนคอไว้ให้โก้หรูเท่านั้นเอง”
ระหว่างที่พูด เด็กหนุ่มก็หยิบสร้อยคอออกมาอวดอาจารย์หน้าตาเฉย
ติงซานฉือได้แต่ขมวดคิ้วสีหน้าเหนื่อยใจ
“ว่าแต่ว่าอาจารย์ไปจัดการผู้อาวุโสตระกูลสวีคนนั้น ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้างหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกคันปากยิบๆ จนอดถามออกไปไม่ได้
ผู้อาวุโสสวีมีระดับพลังแข็งแกร่งขนาดนั้น ต้องพกของดีติดตัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ติงซานฉือส่ายหน้าพูดว่า “ตาแก่คนนั้นคงเป็นเพียงองครักษ์ธรรมดามากกว่า ไม่น่ามีสำนักหรือภูมิหลังใหญ่โตอะไร ในกระเป๋าจึงแห้งแล้งปราศจากสิ่งมีค่า นอกจากกระบี่ที่พกติดตัวและคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์จำนวนหนึ่งก็ไม่มีอะไรอีกเลย ข้าตรวจดูคัมภีร์พวกนั้นแล้ว… ไม่มีเล่มไหนที่จะมีประโยชน์กับเจ้าสักเล่ม”
“เป็นถึงยอดมือกระบี่ ทำไมจนกรอบขนาดนี้ล่ะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถามในขณะที่เฉียนเหมยเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังและนวดศีรษะให้เขา “แบบนี้ไม่เท่ากับว่าเสียชื่อยอดมือกระบี่หมดหรือ?”
ติงซานฉือพลันมีหน้าตาแดงก่ำอีกครั้ง
เพราะตลอดระยะเวลาหลายปีที่เขาเดินทางออกมาจากเมืองไป๋หยุน สภาพของเขานั้นจนกรอบยิ่งกว่าผู้อาวุโสสวีเสียอีก
มิเช่นนั้นแล้ว เฉาพั่วเถียนจะหักหลังเขาและเลือกเป็นลูกศิษย์ไป๋ไห่ชินได้อย่างไร
หลินเป่ยเฉินไม่ทันสังเกตสีหน้าของอาจารย์ เขาหยิบถุงเก็บของวิเศษสีแดงออกมาจากโทรศัพท์ มองหน้าติงซานฉือด้วยแววตาคาดหวัง “อาจารย์ขอรับ ศิษย์ไม่สามารถเปิดถุงใบนี้ได้ อาจารย์ช่วยเปิดให้หน่อยได้ไหม ศิษย์อยากรู้ว่าของข้างในเป็นอะไร เมื่อเปิดได้แล้ว พวกเรามาแบ่งของกันคนละครึ่งดีไหมขอรับ?”
ติงซานฉือรับถุงเก็บของสีแดงไปตรวจสอบอย่างละเอียด แล้วดวงตาของเขาก็เป็นประกายพิศวง “นี่มันถุงเก็บของคุณภาพสูงเลยนะ นับเป็นของที่หาได้ยากมาก ต่อให้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้… แค่ตัวถุงเก็บของใบนี้อย่างเดียว ก็มีมูลค่ามากมายมหาศาลแล้ว”
พูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของติงซานฉือก็แดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาคลอเต็มเบ้าโดยไม่รู้ตัวในขณะที่ชายชราต้องรักษาภาพลักษณ์ของอาจารย์ผู้ผดุงคุณธรรมเอาไว้ตามเดิม “ข้าจะพยายามเปิดให้ได้ก็แล้วกัน เร็วสุดน่าจะไม่พ้นวันมะรืนนี้ ส่วนของที่อยู่ด้านในจะเป็นของเจ้าทั้งหมด ข้าไม่มีทางเบียดเบียนลูกศิษย์ของตนเองอยู่แล้ว”