บทที่ 41 ความถ่อมตัวของเป่ยเฉิน
จะเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูข้อมูลก็ไม่ทันเสียแล้ว
หลินเป่ยเฉินคิดอยากจะปรึกษาอาจารย์ฉู่อยู่เหมือนกัน แต่คำสั่งก็ชัดเจนว่าผู้ชนะต้องเลือกของรางวัลด้วยตัวเอง เขาไม่สามารถรับคำแนะนำจากใครได้เลย
เอาเป็นว่าเลือกๆ ไปก่อนก็แล้วกัน
หลินเป่ยเฉินเลิกคิดวุ่นวาย หลังจากนั้น ก็เลือกของรางวัลเป็นคัมภีร์กระบี่เร้นกายกับผงฟื้นฟู
เนื่องจากว่าของทั้งสองอย่างนี้วางอยู่ด้านหน้าสุด จึงน่าจะมีมูลค่าสูงสุดตามความเข้าใจของเขา
แต่วินาทีต่อมา เด็กหนุ่มก็รู้ตัวว่าตนเองตัดสินใจผิดพลาดแล้ว
เพราะไม่ว่าจะเป็นฉู่เหิน หลี่ชิงสวน ติงซานฉือ หรือคณะอาจารย์คนอื่นๆ ต่างก็เบิกตาโตเหมือนไม่อยากเชื่อ พวกเขาพร้อมใจกันจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยสายตาที่ใช้มองคนโง่งมคนหนึ่ง
เวรแล้วไง!
เขาเลือกของไม่ดีหรือนี่
จะแก้ตัวยังไงดีนะ?
แต่ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะมีกฎประจำตัวคือ เขาจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้กระทำลงไปแล้วเด็ดขาด
“เฮ้อ…”
ในขณะที่สถานการณ์กำลังน่าอึดอัดใจอยู่นั้นเอง แผนการบรรเจิดก็บังเกิดขึ้นในหัวของหลินเป่ยเฉิน เขาคลี่ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น
“ข้าเข้าใจว่าทำไมพวกท่านถึงตกใจกันขนาดนี้ แต่บัดนี้ข้ามีพลังแข็งแกร่งมากพอแล้ว ของดีเหล่านี้จึงขอมอบให้แก่ศิษย์คนอื่นๆ ที่ระดับพลังยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควรจะดีกว่า อีกไม่นานต่อจากนี้ เราต้องเป็นตัวแทนสถานศึกษาเข้าร่วมการคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์ เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งส่วนตัวของข้าแล้ว ประโยชน์ส่วนรวมของสถานศึกษาที่สามย่อมสำคัญมากกว่านัก”
หลินเป่ยเฉินอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลังจากที่เด็กหนุ่มพูดจบแล้ว เรื่องที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น
อยู่ดีๆ ก็มีเมฆดำลอยมาบดบังดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ทำให้เกิดการหักเหของลำแสงอย่างน่ามหัศจรรย์
แสงแดดส่องทะลุช่องว่างของก้อนเมฆ เป็นเหมือนลำแสงที่ส่องตรงลงมาจับต้องร่างของหลินเป่ยเฉินเพียงผู้เดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มในตอนนี้ จึงมีสง่าราศีราวกับเทพบุตรจากสวรรค์
หลินเป่ยเฉินเฉิดฉายราวกับว่าร่างกายสามารถเปล่งแสงได้ก็ไม่ปาน
บรรยากาศรอบตัวหลินเป่ยเฉินพลันตลบอบอวลไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์น่าขนลุก
อาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่ยืนตัวแข็งทื่อ
หัวใจรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก
ดูสิ ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่นิสัยดีอะไรขนาดนี้!
ไม่ว่าจะเป็นจิตใจที่บริสุทธิ์ หรือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนร่วมสถาบันนั้นอีกเล่า
นี่แหละสุภาพบุรุษมือกระบี่ที่แท้จริง
หลี่ชิงสวนก็กำลังจ้องมองหลินเป่ยเฉินไม่วางตาเช่นกัน
มีแต่เพียงติงซานฉือคนเดียวเท่านั้นที่ยังเชื่อไม่ลง
เขารู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินย่อมไม่ใช่เทพบุตรจำแลงกายมาแต่ไหนแต่ไร
นี่จะต้องมีลับลมคมในอะไรซ่อนอยู่เป็นแน่
ในระยะหลัง เด็กหนุ่มคนนี้เหมือนจะใช้เล่ห์กลบางอย่างปั่นหัวพวกเขาอยู่
อาจารย์ฉู่ทำลายความเงียบโดยการพูดจากใจจริงว่า “ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าจะเป็นคนจิตใจดีงามเช่นนี้ ถึงกับเลือกคัมภีร์และสมุนไพรที่มีมูลค่าต่ำที่สุด เพื่อเสียสละของดีให้แก่เพื่อนร่วมชั้นปีที่ 2 ของตนเอง หากเจ้าอยากได้สิ่งใดเพิ่มเติม จงบอกมาได้เลย ตราบใดที่มันไม่เกินขอบเขตอำนาจของข้า รับรองว่าเจ้าย่อมได้ตามประสงค์”
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย
หืม?
ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับสิทธิพิเศษให้ขอรางวัลเพิ่มเติมได้สินะ
ขอเงินดีไหมหว่า?
แต่สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้คืออะไรกัน?
เมื่อใช้เวลาขบคิดอยู่ครู่ใหญ่ ทันใดนั้น ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เป็นประกายแวววาว ก่อนกล่าวว่า “อาจารย์ฉู่ กราบเรียนตามตรง ขณะนี้ ข้ายังไม่มีที่ซุกหัวนอนเป็นหลักเป็นแหล่ง อาหารก็ขาดแคลนต้องอยู่อย่างอดมื้อกินมื้อ ข้าไม่ขออะไรมากมาย เพียงหวังอยากให้ท่านเสียสละห้องพักในสถานศึกษาให้ข้าสักห้องหนึ่ง เพียงเท่านั้น ข้าก็พึงพอใจมากแล้ว”
การพักอยู่ในกระโจมกลางแจ้ง เวลาฝนตกทีไร ลำบากลำบนทุกที
ฉู่เหิน หรืออาจารย์ฉู่หัวเราะเล็กน้อยและตอบว่า “ไม่มีปัญหา คำขอแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย เอาเป็นว่าจากนี้ไป ข้าจะอนุญาตให้เจ้าเข้าไปพักอาศัยอยู่ที่ตำหนักไม้ไผ่ฝั่งตะวันออกของลานประลองประจำชั้นปีที่ 2 ได้เป็นการชั่วคราว ตราบใดที่เจ้ายังเป็นลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามแห่งนี้ เจ้าสามารถอยู่ที่นั่นได้ตลอดเวลา”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
นี่เขาหูฝาดหรือเปล่านะ?
ตำหนักไม้ไผ่เชียวหรือ?
นั่นมัน…เป็นเหมือนบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ในโลกมนุษย์เลยไม่ใช่หรือ
บริเวณด้านข้างจุดที่หลินเป่ยเฉินตั้งกระโจมพักแรมในปัจจุบัน รายล้อมไปด้วยป่าไผ่สีเขียวสด และในป่าไผ่เหล่านั้นก็จะมีบ้านหลังเล็กๆ ปลูกเรียงรายกันอยู่สิบหลัง บ้านแต่ละหลังจะมีสนามหญ้าและแปลงดอกไม้เป็นของตัวเอง นอกจากต้นไผ่และกล้วยไม้แล้ว ก็ยังมีต้นไม้ชนิดอื่นๆ ปลูกเรียงรายร่มรื่นสบายตา
ว่ากันว่าตำหนักไม้ไผ่เหล่านี้ปกติจะใช้เป็นที่รับรองแขกผู้มีสถานะสูงส่ง ซึ่งมีธุระให้เข้ามาพักในสถานศึกษากระบี่ที่สามเป็นการชั่วคราว พื้นที่ส่วนนี้มักได้รับการอารักขาเป็นอย่างดี มีความเงียบสงบและปลอดภัยมากที่สุดแห่งหนึ่งในเขตสถานศึกษา
กวาดตามองทั่วทั้งเมืองหยุนเมิ่ง ยากที่จะหาบ้านพักซึ่งหรูหราได้เท่านี้อีก
ผู้เป็นอาจารย์ถึงกับหยิบยื่นบ้านพักหรูหราอย่างนี้ให้แก่เขางั้นหรือ?
แม้ว่ามันจะเป็นการเข้าพักอาศัยชั่วคราวก็ตาม แต่ก็ถือว่าฉู่เหินใจกว้างไม่ใช่น้อย
“ขอบคุณท่านอาจารย์ฉู่”
หลินเป่ยเฉินรีบประสานมือคำนับขอบคุณ เพราะกลัวว่าฉู่เหินจะเปลี่ยนใจกะทันหัน
ฉู่เหินสัมผัสได้ถึงความถ่อมตัวและความจริงใจของเด็กหนุ่ม จึงพูดยิ้มๆ ว่า “ปัจจุบัน เด็กหนุ่มมากพรสวรรค์อย่างเจ้าหาได้ยากแล้ว ก่อนหน้านี้ ข้าเคยมองเจ้าเป็นคนไม่เอาไหน แต่จากนี้ไป ข้าได้เปลี่ยนมุมมองแล้ว เอาละ ต่อจากนี้เจ้าก็จงพยายามฝึกฝนให้หนักขึ้น ถ้ามีปัญหาหรือต้องการอะไร สามารถมาแจ้งกับข้าได้เลยโดยตรง”
ระดับความชื่นชอบในตัวศิษย์คนนี้ของอาจารย์ฉู่ พุ่งขึ้นสูงเกินร้อยคะแนนเต็ม
ดูเหมือนว่ามูลค่าประจำตัวหลินเป่ยเฉินในสายตาฉู่เหิน จะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวแล้ว
เด็กหนุ่มไม่คิดเลยว่าตนเองจะโชคดีถึงเพียงนี้
การได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากอาจารย์ฉู่เหิน ทำให้การตัดสินใจผิดพลาดเลือกคัมภีร์และสมุนไพรที่มีมูลค่าน้อยที่สุดเป็นของรางวัลก่อนหน้านี้ กลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปเลยทันที
ติงซานฉือยืนกัดฟันกรอดอยู่ด้านข้าง
เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว!
ในหัวใจจึงรู้สึกฉุนโกรธเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าเด็กหนุ่มโหลยโท่ยคนนี้มันวางแผนเอาไว้ทั้งหมดแล้วจริงๆ
หลินเป่ยเฉินตั้งใจเลือกของรางวัลเป็นสิ่งที่มีมูลค่าน้อยที่สุด เพื่อสร้างภาพลักษณ์เป็นผู้เสียสละให้แก่ตัวเอง และหวังว่าท่านหัวหน้าชั้นปีฉู่เหินจะมองเห็นถึงความจริงใจของเขา
เจ้าเด็กคนนี้มันตั้งใจหลอกลวงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
อาจารย์ฉู่มีอำนาจมากมายแค่ไหนทุกคนรู้ดี เป็นรองก็เพียงอธิการบดีคนเดียวเท่านั้น
แต่ที่สำคัญก็คือ หลิงไท่ซวีผู้เป็นอธิการบดีของสถานศึกษากระบี่ที่สามนั้น วันๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับสุรานารีกีฬาบัตร ไม่เคยสนใจเรื่องราวในสถานศึกษาของตัวเองสักนิด เวลาจะตัดสินใจเรื่องราวใด ก็มักจะเป็นหน้าที่ของอาจารย์ฉู่แทบทุกครั้งอยู่แล้ว
สำหรับศิษย์ชั้นปีที่ 2 ฉู่เหินนั้นถือได้ว่าเป็นผู้นำเผด็จการที่คุมอำนาจทุกอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เมื่อมีฉู่เหินคอยหนุนหลังอยู่ทั้งคน เรื่องราวในภายภาคหน้าของหลินเป่ยเฉินในสถานศึกษากระบี่ที่สาม แห่งนี้ ก็คงราบรื่นเรียบง่ายมากกว่าเดิมหลายเท่า
ด้วยความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเช่นนี้เอง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่หลินเป่ยเฉินจะมีศัตรูอยู่นอกสถานศึกษามากมายนับไม่ถ้วน
คำพูดและกิริยาท่าทางของหลินเป่ยเฉินสามารถทำให้ฉู่เหินประทับใจได้จริงๆ
ติงซานฉืออดยอมรับในความสามารถข้อนี้ของหลินเป่ยเฉินไม่ได้
หลังจากนั้น มู่ซินเยว่ อู๋เสี่ยวฟางและเยว่หงเซียง ก็เดินเข้ามาเลือกของรางวัลตามลำดับ
ก่อนที่ในที่สุด การสอบกลางภาคของสถานศึกษากระบี่ที่สามจะเป็นอันเสร็จสิ้นลง
มีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวจากศิษย์ชั้นปีที่ 2
ผู้ชนะคือหลินเป่ยเฉิน
ส่วนผู้แพ้ทั้งสามคน ถ้าเป็นการสอบในอดีต จะอย่างไรก็ต้องได้รับความสนใจบ้างไม่มากก็น้อย
เนื่องจากทุกคนเป็นลูกศิษย์ระดับอัจฉริยะ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นยอดคนในอนาคต
แต่สำหรับการสอบในครั้งนี้ ความสนใจของทุกคนต่างก็ทุ่มเทไปที่หลินเป่ยเฉินเป็นหนึ่งเดียว
สร้างความเจ็บใจให้แก่ผู้แพ้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับอู๋เสี่ยวฟางและมู่ซินเยว่
อู๋เสี่ยวฟางรู้สึกเจ็บใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงเขาจะเกิดในตระกูลร่ำรวย แต่การต้องเสียเหรียญทองคำไปถึง 20 เหรียญก็นับเป็นความเสียหายใหญ่หลวง ส่วนเด็กสาวก็พลาดโอกาสที่จะได้เลื่อนขั้นสู่ชั้นเรียนปีที่ 3 เพราะไม่สามารถสอบได้ตำแหน่งอันดับหนึ่งสำเร็จตามใจหวัง
พวกเขาจะไม่มีทางลืมความพ่ายแพ้ที่เจ็บปวดครั้งนี้เด็ดขาด
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในห้วงคิดของหลินเป่ยเฉินเลยสักนิด
ตอนที่เขาเดินไปรับรางวัลเป็นเหรียญทองคำ 50 เหรียญ หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินบนปุยเมฆ ล่องลอยอยู่ในความฝันอันเปี่ยมสุข
“อุ๊วะ มีความสุขจังเลยโว้ย”
เด็กหนุ่มร้องตะโกนอยู่ในใจ