บทที่ 43 การสอบคัดเลือกรอบสุดท้าย
วันต่อมา
หลังฝนตกอากาศดี
ค่าฝุ่น PM 2.5 ในอากาศเป็นศูนย์
รอบตัวเต็มไปด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์ เหมาะสมสำหรับคนชราเป็นอย่างยิ่ง
ไม่นานหลังจากที่หลินเป่ยเฉินมาถึงสถานศึกษา เขาก็ถูกเรียกตัวไปเข้าประชุมที่สำนักงานของคณะอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 2 ทันที
นอกจากเขาแล้ว ยังมีศิษย์อีกสามคนที่ถูกเรียกตัวมาเข้าพบ ซึ่งประกอบไปด้วย เยว่หงเซียง อู๋เสี่ยวฟางและมู่ซินเยว่
ศาสตร์การรักษาบาดแผลในโลกนี้ น่ามหัศจรรย์มากกว่าบนโลกมนุษย์หลายเท่า
อีกอย่าง ผู้ฝึกยุทธ์แทบทุกคนนั้นสามารถใช้งานพลังปราณได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรักษาบาดแผลได้รวดเร็วขึ้น
ด้วยเหตุนี้ อู๋เสี่ยวฟางและมู่ซินเยว่ที่เมื่อวันก่อนได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับหลินเป่ยเฉิน จึงรักษาอาการบาดเจ็บหายดีเป็นปลิดทิ้ง เว้นแต่เพียงมีใบหน้าซีดขาวเพราะเสียเลือดเยอะเกินไปหน่อยเท่านั้น แต่นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงอาการบาดเจ็บที่หลงเหลืออยู่จากการแข่งขันอีกเลย
หลินเป่ยเฉินมาถึงเป็นคนสุดท้าย
“เป่ยเฉิน มานั่งนี่สิ”
เมื่ออาจารย์หัวหน้าชั้นปีฉู่เหินเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน เขาก็ยิ้มกว้างออกมาทันที
สายตาที่เขาใช้จ้องมองหลินเป่ยเฉิน ไม่ต่างจากบิดามองบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน
หลินเป่ยเฉินนั่งลงอย่างว่าง่าย
มู่ซินเยว่พยักหน้าทักทายหลินเป่ยเฉินเหมือนไม่เคยมีเรื่องผิดใจกันมาก่อน
ให้ตายเถอะ!
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เขาเจตนาทำเป็นเมินเฉยต่อมู่ซินเยว่และหันมาพยักหน้ายิ้มแย้มทักทายเยว่หงเซียงแทน นางจัดเป็นยอดสาวงามประจำห้อง 8 และขณะนี้ก็นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาพอดี
เยว่หงเซียงทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ สองแก้มของนางแดงระเรื่อ เด็กสาวก้มหน้างุดโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะคิดได้ว่าทำแบบนี้มันดูหยาบคายเกินไป จึงเงยหน้าขึ้นมาพยักหน้าทักทายหลินเป่ยเฉิน ในขณะเดียวกันนั้น ก็พยายามรักษาความเยือกเย็นบนสีหน้าเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
นางไม่ใช่เด็กสาวที่จะยอมพูดคุยกับเพศตรงข้ามโดยง่าย
พูดให้ชัดเจนก็คือ เยว่หงเซียงมักจะรักษาระยะห่างกับเพศตรงข้ามเสมอ
นางเติบโตมาในตระกูลที่เข้มงวด ผู้เป็นมารดาปลูกฝังให้รักนวลสงวนตัวมาตั้งแต่เด็ก
เยว่หงเซียงยึดมั่นในสิ่งที่มารดาสั่งสอนมาตลอด
แต่เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งยิ้มแฉ่งให้อยู่ตอนนี้ คือหลินเป่ยเฉิน
เยว่หงเซียงไม่เคยเจอใครหล่อเหลาเท่าเขามาก่อน
เพียงรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันก็น่าดึงดูดใจแทบตายแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น หลินเป่ยเฉินยังได้ที่หนึ่งจากการสอบกลางภาค เผยให้เห็นถึงพรสวรรค์อันเหลือเชื่อที่เขาเก็บงำเอาไว้ ในขณะนี้เขาจึงกลายเป็นศิษย์ที่กำลังเฉิดฉายเป็นประกายยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ เพียงสบตามองหน้าเขาตรงๆ เยว่หงเซียงก็รู้สึกขวยเขินไปหมด
หลินเป่ยเฉินเห็นปฏิกิริยาตอบรับของเยว่หงเซียงเป็นเช่นนั้น ก็รู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้น่าสนใจไม่น้อย
ส่วนอู๋เสี่ยวฟางที่นั่งอยู่ด้านข้าง นับเป็นคนที่น่าเวทนาอย่างแท้จริง เพราะไม่มีใครสนใจทักทายเขาเลยสักคน
“วันนี้ ที่อาจารย์เรียกพวกเจ้ามาที่นี่ เพราะมีเรื่องการสอบคัดเลือกรอบสุดท้ายจะแจ้งให้ทราบ คณะกรรมการผู้คุมสอบประจำสหพันธ์ได้ตรวจสอบและยืนยันสถานะของพวกเจ้าเรียบร้อยแล้ว บ่ายวันนี้ พวกเจ้าทั้งสี่คนต้องออกเดินทางไปยังแดนป่าร้างที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองหยุนเมิ่งออกไป 100 ลี้ อาจารย์ผู้ที่จะคอยดูแลพวกเจ้าคือติงซานฉือ และการสอบคัดเลือกครั้งสุดท้ายจะมีขึ้นเป็นเวลาทั้งหมด 10 วัน” ฉู่เหินพูดเข้าประเด็นโดยไม่เสียเวลา
ต้องเดินทางออกไปนอกเมืองอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินอดรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้
อย่าบอกนะว่าการสอบจะจัดขึ้นนอกเมือง?
ถ้าอย่างนั้น เขาก็คงเจอปัญหาใหญ่แล้ว
แต่ดูเหมือนว่าฉู่เหินจะอ่านความกังวลใจบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉินได้อย่างชัดเจน จึงกล่าวว่า “การสอบคัดเลือกรอบสุดท้ายจะได้รับการดูแลโดยกระทรวงศึกษาประจำเมืองหยุนเมิ่ง ควบคุมโดยคณะกรรมการผู้คุมสอบประจำสหพันธ์ และมีอีกหกหน่วยงานใหญ่คอยช่วยดูแลงานด้านต่างๆ อาทิ คนจากฝ่ายบริหารสำนักงานหลวง และคนจากหน่วยนักรบ”
“สำหรับศิษย์ผู้เข้าร่วมคัดเลือกจากทั้งหกสถานศึกษาในครั้งนี้ พวกเขานั้นล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงศึกษา ระหว่างการคัดเลือก จะต้องไม่มีการลอบสังหารหรือลอบทำร้ายกันเกิดขึ้นเด็ดขาด หากจับได้ว่ามีการเล่นสกปรกใส่กัน คนผู้นั้นจะถูกตัดสิทธิ์ออกจากการคัดเลือกทันที ที่สำคัญก็คือ พวกเจ้าจะอยู่ภายใต้สายตาของอาจารย์จากหลายสถานศึกษา ดังนั้นจึงหมดกังวลเรื่องอื่นไปได้เลย พวกเจ้าสนใจแค่การคัดเลือกก็พอแล้ว”
ค่อยยังชั่ว
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกโล่งใจมากขึ้น
นี่นับว่าเป็นข่าวดีแล้ว
อาณาจักรทะเลเหนือให้คุณค่ากับการศึกษามากที่สุด ดังนั้นกระทรวงศึกษาจึงนับได้ว่าเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจสูงสุดหน่วยงานหนึ่ง
อีกอย่างก็คือ ในรอบไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่และผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังมากมายปรากฏตัวทั่วอาณาจักร พวกเขานั้นล้วนแต่เป็นศิษย์เก่าของสถานศึกษากระบี่หลวง ที่พากันแยกย้ายกันไปเติบโตทั่วดินแดน และรวมตัวกันเป็นขุมกำลังที่ใครก็ไม่อาจต้านทานได้
ตามมณฑลและเมืองใหญ่เกือบทุกแห่งในอาณาจักรแห่งนี้ กระทรวงศึกษามีอำนาจไม่แพ้กระทรวงผู้ฝึกยุทธ์เลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ กระทรวงศึกษาในเมืองหยุนเมิ่งมีอำนาจไม่ได้ด้อยไปกว่าหน่วยนักรบแห่งสวรรค์ ก่อนที่ฝ่ายหลังจะล่มสลายไปในเวลาต่อมา
“ทุกสถานศึกษาต่างก็เตรียมตัวเข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้เป็นอย่างดี ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีศิษย์ชั้นปีที่ 2 คนไหนของสถานศึกษาเราผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายมาก่อน ดังนั้น อาจารย์จึงหวังใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าครั้งนี้พวกเจ้าจะสามารถผ่านเข้าไปได้สำเร็จ”
เมื่อฉู่เหินพูดประโยคนี้ออกมา ดวงตาของเขาก็จับจ้องไปที่หลินเป่ยเฉินเพียงคนเดียวเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินถือเป็นความหวังสูงสุดของอาจารย์ฉู่แล้ว
หากครั้งนี้จะมีตัวแทนศิษย์ชั้นปีที่ 2 ของสถานศึกษากระบี่ที่สามสักคนหนึ่ง ได้เข้าสู่การคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์ได้สำเร็จ คนผู้นั้นก็ต้องเป็นหลินเป่ยเฉินอย่างแน่นอน !
หลังจากพูดให้กำลังใจกันอยู่อีกครึ่งชั่วยาม ฉู่เหินก็ปล่อยทุกคนออกมา
หลินเป่ยเฉินกลับไปที่ตำหนักไม้ไผ่และสั่งให้พ่อบ้านหวังจัดเตรียมเสื้อผ้าให้เขาสำหรับเดินทางไปรายงานตัว
“นายน้อยขอรับ ท่าน…”
พ่อบ้านชราอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดค้างไปกะทันหัน
หลินเป่ยเฉินแทรกว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไรหรอกน่า”
พูดจบแล้ว นายน้อยก็เดินหนีไปหน้าตาเฉย
ทิ้งให้พ่อบ้านหวังยืนมีสีหน้าอมทุกข์อยู่คนเดียว
สถานที่นอกเมืองอย่างนั้นหรือ เหมาะสมสำหรับการเริงสวาทยิ่งกว่าอะไรดี
“เฮ้อ นายน้อยของข้าเกิดมาหน้าตาหล่อเหลาเสียด้วย ก็ได้แต่หวังว่าเด็กสาวจากสถานศึกษาอื่นๆ คงไม่มายุ่งกับนายน้อยมากเกินไป”
ไม่เช่นนั้นแล้ว นายน้อยอาจเหนื่อยล้าจนไม่มีแรงไปแข่งขันกับใครได้อีก
…
ขณะนี้ เหล่าศิษย์ผู้เป็นตัวแทนสถานศึกษาเข้าร่วมการคัดเลือก ได้มายืนรวมตัวกันอยู่หน้าตึกที่ทำการคณะอาจารย์เป็นที่เรียบร้อย
การสอบคัดเลือกครั้งสุดท้าย เป็นการสอบที่แตกต่างไปจากเดิม
ศิษย์ผู้เป็นตัวแทนทั้งสี่คน เริ่มต้นออกเดินทางโดยมีผู้ดูแลเป็นติงซานฉือ
พวกเขาเดินทางด้วยรถม้าประจำสถานศึกษา
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากประตูสถานศึกษากระบี่ที่สามและวิ่งเข้าสู่ถนนภายในตัวเมืองอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินได้ยินเสียงนกร้องและเสียงหัวเราะเฮฮาดังลอยมาจากด้านนอกตลอดเวลา เพียงเท่านี้ เด็กหนุ่มก็สามารถจินตนาการได้ไม่ยากว่าภายนอกจะมีบรรยากาศคึกคักขนาดไหน
ระหว่างทาง หลินเป่ยเฉินเอาแต่เอนตัวพิงผนังรถม้าแกล้งหลับและรอคอยให้การเดินทางสิ้นสุดลงอย่างอดทน
มู่ซินเยว่พยายามหาเรื่องมาคุยกับเขาหลายครั้งหลายครา แต่เด็กหนุ่มก็ทำเหมือนนางไร้ตัวตน
จากเมืองหยุนเมิ่งไปสู่แดนป่าร้าง มีระยะทางทั้งสิ้น 100 ลี้พอดิบพอดี
รถม้าของพวกเขาฉุดลากด้วยสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า “อสูรลมกรด”
อสูรลมกรดมีหน้าตาเหมือนพวกเวโลซีแรปเตอร์ นอกจากจะใช้ขาหลังยืนบนพื้นดินได้แล้ว ข้อต่อบริเวณขาทั้งสองข้างยังเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้อสูรลมกรดสามารถเร่งความเร็วได้ดีกว่าม้าทั่วไป กล่าวได้ว่าอสูรลมกรดเป็นเหมือนสัตว์คู่บ้านคู่เมืองหยุนเมิ่ง และเมื่อผนวกกับค่ายอาคมจากพลังปราณ ใต้รถม้าในขณะนี้จึงมีมวลพลังงานลักษณะเหมือนวังน้ำวนบ่อหนึ่งคอยทำหน้าที่ยกห้องโดยสารให้ลอยอยู่เหนือพื้นดิน เพราะฉะนั้น ถึงรถม้าจะวิ่งไปด้วยความเร็วสูง แต่ผู้ที่นั่งอยู่ภายในห้องโดยสารก็จะรู้สึกสะดวกสบายไม่ต่างไปจากนั่งอยู่บนรถยนต์ของโลกมนุษย์เลยสักนิด
“เห็นทนโท่ว่าใช้สัตว์ประหลาดลากรถ แล้วทำไมถึงยังเรียกว่ารถม้ากันอยู่อีกนะ?”
หลินเป่ยเฉินนึกสงสัยขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ระยะทาง 100 ลี้ ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นครึ่งชั่วยามกับอีกสองก้านธูป
“พวกเจ้าลงมาได้ เรามาถึงแล้ว” เสียงของติงซานฉือดังขึ้นนอกห้องโดยสาร
และเมื่อได้ยินเช่นนั้น ศิษย์ทั้งสี่จึงทยอยลงมาจากรถม้าทีละคน
พวกเขาสูดอากาศเอาออกซิเจนบริสุทธิ์เข้าปอด อากาศของที่นี่เย็นสบายกว่าในเมืองหลายเท่า
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัว
ในสายตาของเขาตอนนี้ มีแต่ทุ่งหญ้าเขียวขจีเต็มไปหมด
พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม และเนื่องจากมีพืชพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด แม้จะมองไปไกลสุดสายตาก็ยังเห็นสีเขียวทอดยาวไปไม่หมดสิ้น ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ถูกปูไว้ด้วยพรมสีเขียวขนาดใหญ่ยักษ์ ครอบคลุมผืนดินยาวไกลไปจรดสุดขอบฟ้า
“ทุกคนตามข้าไปรายงานตัว” ติงซานฉือพูด
เมื่อหลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมามองอีกครั้ง เขาก็เห็นว่ารถม้าของพวกตนเองได้เคลื่อนเข้าไปจอดอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่บนเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว