ตอนที่ 436 คัมภีร์กระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทร
หวังจงไม่กล้าอิดออดอีกต่อไป ดังนั้น เขาจึงนำสัญญาส่งมอบความตายไปส่งให้แก่เจียงจี้หลิวด้วยความรวดเร็ว
และเมื่อพ่อบ้านชราก้าวเท้าออกไปจากตำหนักไม้ไผ่เรียบร้อย ติงซานฉือก็เดินสวนเข้ามาแทบจะในทันที
“อาจารย์สามารถเลื่อนระดับพลังได้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดอาจารย์ก็เลื่อนระดับพลังได้สำเร็จแล้ว”
ชายชรากระโดดโลดเต้นเหมือนเป็นเด็กตัวน้อยๆ
“จริงหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำเหมือนไม่รู้ พูดด้วยความดีใจว่า “อาจารย์มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 7 แล้วใช่ไหมขอรับ? ยินดีด้วยนะขอรับอาจารย์ สมแล้วที่อาจารย์เคยเป็นยอดเซียนกระบี่แห่งยุค…”
ชีวิตนี้คือการแสดง
อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะแสดงได้สมบทบาทมากแค่ไหน
“ขอบใจเจ้ามากนะ”
ติงซานฉือมองลูกศิษย์คนโปรดที่ยืนอยู่เบื้องหน้า หัวใจพองโตอย่างมีความสุข
เพี๊ยะ!
แล้วอาจารย์ติงก็เงื้อมือตบหัวลูกศิษย์ด้วยความเคยชิน เปลี่ยนแปลงบรรยากาศที่กำลังจะซาบซึ้งใจให้กลับคืนสู่ความปกติโดยเร็วไว “นับเป็นโชคดีของข้าที่รับเจ้าเป็นลูกศิษย์… ข้าคิดและตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า ข้าจะต้องมอบคัมภีร์เล่มนี้ให้กับเจ้าให้ได้…”
พูดจบ ติงซานฉือก็นำคัมภีร์ที่แกะสลักบนแผ่นไม้ซึ่งถูกห่ออยู่ในผ้าขาวใต้อ้อมแขนของเขาออกมา
ได้กลิ่นเลือดโชยบางเบา
เมื่อหลินเป่ยเฉินลองพิจารณาดูใกล้ๆ เขาก็ได้เห็นว่ารอยด่างสีน้ำตาลบนคัมภีร์ไม่ได้มีขึ้นมาเพราะความเก่าแก่ แต่มันเป็นร่องรอยของหยดเลือด
หยดเลือดเหล่านี้แห้งกรังมาหลายปีแล้ว มันแทบจะฝังตัวเป็นเนื้อเดียวกับคัมภีร์โบราณ
“นี่คือคัมภีร์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตของอาจารย์ ตอนแรกอาจารย์อยากจะให้เจ้าเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ได้เสียก่อน ถึงจะมอบมันให้แก่เจ้า”
ติงซานฉือจ้องมองคัมภีร์ด้วยแววตาเศร้าหมอง
ชายชรานึกถึงเรื่องราวที่ผ่านเลยไปในอดีต แล้วในส่วนลึกของดวงตา ก็ปรากฏความเจ็บปวดขึ้นมาวูบหนึ่ง
คัมภีร์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตของอาจารย์?
แล้วยังไงล่ะ?
เอาไปขายแลกเงินได้หรือเปล่า?
ว่าแต่ทำไมมันถึงมีค่ากับอาจารย์ติงขนาดนั้นกันนะ?
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความสงสัย
ก็พอดีกับที่เขาได้ยินติงซานฉืออธิบายต่อไปว่า “ถึงแม้เจ้าจะยังเลื่อนขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานในขอบเขตปรมาจารย์แล้ว ซ้ำเจ้ายังเป็นผู้ที่ถูกเลือก มีสถานะพิเศษเหนือคนทั่วไป ดังนั้น อาจารย์จึงอยากจะมอบคัมภีร์กระบี่ 17 คาบสมุทรเล่มนี้เอาไว้ให้เจ้าใช้เป็นท่าไม้ตาย เจ้าจะได้เริ่มต้นฝึกฝนโดยทันที…”
คัมภีร์กระบี่ 17 คาบสมุทรอย่างนั้นหรือ?
ช่างเป็นชื่อที่แปลกประหลาดอะไรขนาดนี้
หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองคัมภีร์โบราณที่อยู่ในมือของตนเองและเริ่มเปิดออกดูเพื่อทำความเข้าใจ
ปรากฏว่าคัมภีร์กระบี่ 17 คาบสมุทร ประกอบไปด้วยกระบวนท่ากระบี่ 17 กระบวนท่า
มีกระบวนท่าที่ 1 กระบวนท่าที่ 2 กระบวนท่าที่ 3…
คนที่เขียนคัมภีร์เล่มนี้ขึ้นมา ไม่คิดจะตั้งชื่อกระบวนท่าสักหน่อยหรือไง?
ทุกกระบวนท่าเพียงกำกับหมายเลขเอาไว้ด้านหลัง ยอดฝีมือที่ไหนกันจะขี้เกียจถึงเพียงนี้?
หลินเป่ยเฉินพยายามสงบจิตใจและเริ่มต้นอ่านคัมภีร์ต่อไป
“เอ๊ะ?”
เขาเปิดมาจนถึงหน้าสุดท้าย แล้วก็ต้องถามออกมาด้วยความสงสัยใจว่า “อาจารย์ขอรับ คัมภีร์เล่มนี้มีเพียง 7 กระบวนท่าเท่านั้น ไหนว่ามันมี 17 กระบวนท่าไม่ใช่หรือ? แล้วอีก 10 กระบวนท่าอยู่ที่ไหนล่ะขอรับ?”
หน้าสุดท้ายในคัมภีร์เป็นส่วนของกระบวนท่าที่ 7 และไม่มีข้อมูลของกระบวนท่าต่อจากนั้นอีกแล้ว
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
ขนาดเขียนคัมภีร์ขึ้นมา ยังเขียนไม่จบเลยอย่างนั้นหรือ?
ดูเหมือนติงซานฉือจะสามารถอ่านใจเด็กหนุ่มได้ทะลุปรุโปร่ง เขาจึงตบหัวหลินเป่ยเฉินเสียงดังสนั่นอีกครั้ง
“เจ้าอย่าได้คิดลบหลู่ผู้ที่เขียนคัมภีร์เล่มนี้ขึ้นมาเด็ดขาด… คัมภีร์กระบี่ 17 คาบสมุทร นับเป็นวิชากระบี่ที่มีความมหัศจรรย์พันลึกที่สุดในจักรวรรดิเป่ยไห่ การที่เจ้าจะฝึกให้ครบ 17 กระบวนท่านั้น เจ้าต้องมีระดับพลังสูงส่งเพียงพอเสียก่อน…”
พูดจบ อาจารย์ติงก็ถอนหายใจออกมาอย่างรวดเร็ว “ในเมืองไป๋หยุน เคยมีคนที่สามารถฝึกได้ครบทั้ง 17 กระบวนท่าแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ติงซานฉือหันมามองหน้าเขาและพูดเน้นย้ำทีละคำว่า “หากเจ้าสามารถฝึกได้ครบทั้ง 17 กระบวนท่า เจ้าก็จะกลายเป็นเซียนกระบี่อมตะ!”
ถ้าฝึกได้ครบ 17 กระบวนท่า ก็จะได้เป็นเซียนกระบี่อมตะอย่างนั้นหรือ?
ทันทีที่หลินเป่ยเฉินได้ยินคำนั้น เขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
เซียนกระบี่อมตะ?
หมายความว่าเป็นมือกระบี่ผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงใช่หรือไม่?
สุดยอดมือกระบี่แห่งใต้หล้า!
เมื่อมีกระบี่อยู่ในมือ ทุกคนก็ต้องยอมคุกเข่าศิโรราบให้แก่เขา
มือกระบี่ผู้ไม่เหมือนใคร มือกระบี่ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง มือกระบี่ผู้ฉีกกฎเกณฑ์ทุกสิ่งอย่าง
ความคิดที่อยากจะอยู่เงียบๆ ของหลินเป่ยเฉินหายไปทันที
เขาอยากจะมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจากทุกคน
“อาจารย์เองก็เคยได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในห้าเซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุน ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าอาจารย์ต้องเคยฝึกฝนวิชากระบี่ 17 คาบสมุทรเช่นกันใช่ไหมขอรับ?”
เด็กหนุ่มถามด้วยความอยากรู้
ติงซานฉือพยักหน้า ก่อนจะส่ายศีรษะ
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด อาจารย์สามารถฝึกฝนได้เพียง 3 กระบวนท่าเท่านั้น ก็ได้รับการขนานนามให้เป็นเซียนกระบี่เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อมาย้อนคิดดูในตอนนี้ มันช่างเป็นเรื่องราวตลกร้ายเหลือเกิน ในอดีตอาจารย์หลงใหลไปกับชื่อเสียงเกียรติยศ จนลืมไปว่าโลกนี้กว้างใหญ่มากมายเพียงใด และอาจารย์ก็เป็นเพียงกบตัวเล็กๆ ในบ่อน้ำเท่านั้น…”
พูดจบ สีหน้าของติงซานฉือก็แสดงความเศร้าโศกออกมาโดยไม่รู้ตัว
หลินเป่ยเฉินอ้าปากเหวอ
ขนาดอาจารย์ติงฝึกเพียง 3 กระบวนท่ายังแข็งแกร่งขนาดนี้
แล้วถ้าเขาฝึก มันจะแข็งแกร่งขนาดไหน?
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากด้วยความดีใจ
ข้อดีของการฝึกวิชาด้วยโทรศัพท์มือถือ คือระดับพลังของเขาจะไม่มีการติดขัดในลักษณะคอขวดแน่นอน
“อาจารย์ไม่ต้องเป็นกังวล อย่าลืมว่าลูกศิษย์ของท่านมีนามว่าหลินเป่ยเฉิน ตำแหน่งเซียนกระบี่อมตะอยู่ไม่ไกลเกินฝันแล้วขอรับ” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “อีกหน่อยข้าจะทำให้ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นเซียนกระบี่อมตะรุ่นใหญ่ ส่วนข้านั้นคือเซียนกระบี่อมตะรุ่นเล็ก…”
เพี๊ยะ!
ติงซานฉืออาศัยจังหวะนี้ตบหลินเป่ยเฉินจนหัวโยกอีกครั้ง และตวาดว่า “ยังไม่ทันไรก็คุยโวโอ้อวดเสียแล้ว อาจารย์เคยสอนแล้วไม่ใช่หรือไง ว่ามือกระบี่ที่ดีควรปฏิบัติตัวเช่นไร?”
ชายชราลดฝ่ามือลง
ให้ตายสิ
การได้ตบหัวผู้ที่ถูกเลือกนี่รู้สึกดีชะมัด
หลินเป่ยเฉินยกมือคลำศีรษะของตนเองด้วยความปวดใจ “ศิษย์รู้แล้วขอรับอาจารย์… ว่าแต่ว่าอาจารย์มอบคัมภีร์กระบี่ 17 คาบสมุทรเล่มนี้ให้ศิษย์ทำไมขอรับ หรืออาจารย์กลัวว่าตนเองจะไม่รอดจากการประลองกับจูปี้ฉีในอีก 5 วันข้างหน้า? ถ้าอย่างนั้น อาจารย์อยากสั่งเสียให้ศิษย์จัดงานศพอย่างไรบ้างไหมขอรับ?”
เด็กหนุ่มถามออกมาอีกครั้ง
ติงซานฉือพูดอะไรไม่ออก
เพี๊ยะ!
เจ้าลูกเต่าสกปรกนี่
อดีตเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเดือดดาลจนหนวดเคราปลิวไสว แล้วเขาก็หันหลังกลับ เดินออกไปจากตำหนักไม้ไผ่ ไม่พูดอะไรอีก
“อาจารย์ขอรับ อาจารย์…”
หลินเป่ยเฉินรีบตะโกนไล่หลังถามไปว่า “เรื่องกระบวนท่าที่ขาดหายไปในคัมภีร์ว่าอย่างไรขอรับ? ศิษย์จะไปตามหาส่วนที่เหลือได้จากไหน?”
“เมื่อถึงเวลา เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
เสียงของติงซานฉือดังตอบกลับมาจากด้านนอกตำหนักไม้ไผ่
เฮ้อ
ทำไมพวกจอมยุทธ์หัวโบราณต้องทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ด้วยนะ
การกระทำของติงซานฉือทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงละครแนวกำลังภายในที่เขาเคยดูบนโลกมนุษย์
ถ้าเป็นไปตามพล็อตยอดนิยม อาจารย์ติงสุดที่รักของเขาคงมีชีวิตได้อีกไม่เกิน 3 ตอนแน่ๆ
หลินเป่ยเฉินเริ่มเกิดสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในใจ
แต่ก่อนที่เขาจะได้คิดลงมือทำอะไรต่อไป ก็มีคนวิ่งเข้ามาหาอีกแล้ว
“นี่ๆ หลินเป่ยเฉิน เจ้าได้ยินข่าวนี้หรือยัง? มีจอมลามกผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมา และเขาน่าจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของเจ้าทีเดียว…” ไป๋ชินหยุนตะโกนเสียงดังขณะวิ่งเข้ามาหาเด็กหนุ่มรุ่นพี่ “วีรบุรุษร่างเปลือยหน้ากากแดงไงล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า แต่น่าเสียดายที่เขามีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว นั่นหมายความว่าเขาคงเก่งกาจมากกว่าเจ้าหลายเท่า”
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกขึ้นมาทันที
“สรุปว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อหัวเราะเยาะข้าอย่างนั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าไม่รับแขก “ในเมื่อข้ามีสถานะเป็นเจ้าบ้าน …งั้นแล้วบ้านหลังนี้ไม่ขอต้อนรับเจ้าอีกต่อไป”
ไป๋ชินหยุนหยุดยืนหอบหายใจ และยกมือทำท่าปฏิเสธ “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อหัวเราะเยาะเจ้าสักหน่อย ก็ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่าอยากจะยืมเงินข้าไม่ใช่หรือ? ข้าถึงรีบกลับไปรวบรวมเงินมาให้เจ้านี่แหละ…”
ได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็สะดุ้งโหยงเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต เขารีบวิ่งไปประคองข้างกายไป๋ชินหยุนและก้มศีรษะด้วยความนอบน้อม ไม่ลืมขยิบตาให้นางในระหว่างที่พูดประโยคต่อมา “อ้า ที่นี่ยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ เข้าไปคุยข้างในกันก่อนเถอะ หวังจง เฉียนเหมย เฉียนเจิน เตรียมน้ำชา เตรียมสุรา เตรียมอาหารให้พร้อมรับประทาน… ไม่เห็นหรือไงว่าคุณหนูไป๋มาถึงแล้ว?”
ไป๋ชินหยุนถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“เจ้าได้มาครบทั้ง 300,000 เหรียญทองคำเลยหรือเปล่า?”
หลินเป่ยเฉินเดินประคองแขนไป๋ชินหยุนเข้ามาถึงในห้องนั่งเล่นและกล่าว “คิดไม่ถึงเลยนะว่าคุณหนูไป๋จะสามารถรวบรวมเงินได้เร็วขนาดนี้”
ไป๋ชินหยุนรับจอกสุรามาจากเฉียนเหมย กระดกดื่มรวดเดียวหมด ก่อนจะให้คำตอบด้วยการส่ายศีรษะ “เจ้าคิดว่าการหาเงินให้ได้ 300,000 เหรียญทองคำมันง่ายนักหรือไง”
หลินเป่ยเฉินเหยียดตัวยืนตรงทันที “อ้าว”
ไป๋ชินหยุนพูดต่อ “บัดนี้ข้าหามาได้แล้ว 100,000 เหรียญ ส่วนจำนวนเงินที่เหลือหลังจากนี้ กำลังคิดหาวิธีอยู่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณหนูไป๋ยอดเยี่ยมอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย”
หลินเป่ยเฉินโค้งตัวกลับลงมาอีกครั้ง