ตอนที่ 442 เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือหลังคายังมีรูรั่ว
หลินเป่ยเฉินกำลังตั้งสมาธิอยู่กับการวางกลยุทธ์ อยู่ดีๆ ก็มีเสียงพูดขึ้นข้างตัว เมื่อลืมตามองเห็นว่าเป็นใคร เด็กหนุ่มก็ต้องสบถออกมาด้วยความตกใจว่า “เชี่ย ยัยกระโปรงขาด มาทำอะไรตรงนี้ คนอื่นตกใจหมด…”
แต่หลังจากที่รู้สึกตัว เขาก็รีบยกมือปิดปากตนเองทันที
เฉินปี้จุนยังคงยืนมองมาที่เขาด้วยสีหน้าขวยเขิน
ยัยคนนี้เองหรือ?
ต้องการอะไรจากเขาอีกละเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินรีบบอกตนเองให้ตั้งสติโดยเร็วไว
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เขาจ้องมองใบหน้าของเด็กสาวผมทองด้วยความไม่ไว้ใจ
“เสื้อคลุมของท่าน…”
เฉินปี้จุนหยิบเสื้อคลุมออกมาพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณที่ก่อนหน้านี้…”
“ช้าก่อน”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงหัวเราะเยาะ “เจ้าคงไม่ได้วางยาพิษใส่เสื้อคลุมตัวนี้มาหรอกนะ?”
เฉินปี้จุนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
หลินเป่ยเฉินเห็นสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามเป็นเช่นนั้น ก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองคาดเดาได้ถูกต้อง “เฮ้อ แม่นางน้อย คิดจะเล่นเล่ห์เหลี่ยมกับข้า เจ้ายังอ่อนประสบการณ์นัก”
เฉินปี้จุนถึงกับพูดอะไรไม่ออก
สิ่งที่เกิดขึ้นแตกต่างจากภาพที่นางวาดฝันเอาไว้ในหัวไม่น้อยทีเดียว
“หึหึ ข้าจะบอกให้นะว่าในเรื่องของการวางยาพิษเนี่ย ไม่มีใครจะชำนาญเรื่องนี้มากไปกว่าข้าอีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินมียาแก้พิษสารพัดชนิดจากคัมภีร์รายละเอียดยาพิษหมื่นชนิด เขารับเสื้อคลุมของตนเองกลับคืนมาด้วยสีหน้ามั่นใจ ไร้ซึ่งความหวาดกลัว “แม่นางเฉิน เจ้าคิดหรือว่าหลินเป่ยเฉินผู้เป็นคนเสเพลอันดับ 1 ประจำเมืองหยุนเมิ่ง จะพลาดท่าเสียทีให้กับใครง่ายๆ”
บัดนี้ เฉินปี้จุนผู้น่าสงสารกลับมาได้สติอีกครั้ง
นางยื่นมือออกมาข้างหน้าด้วยความเดือดดาล
“คืนเสื้อคลุมมาเดี๋ยวนี้นะ”
แล้วเด็กสาวก็แย่งเสื้อคลุมที่เพิ่งส่งให้แก่เจ้าของกลับคืนมาอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างกระฟัดกระเฟียด “คนโง่ คนงี่เง่า คนไม่มีสมอง”
“เฮ้ย?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “แต่นั่นมันเสื้อคลุมของข้านะ”
“เฮอะ สุดท้ายเจ้าก็ตัดใจจากข้าไม่ได้ใช่ไหม? เจ้ายังอยากจะเก็บของของข้าเอาไว้ เพื่อใช้ดูแทนความคิดถึงสินะ…” หลินเป่ยเฉินมองเงาหลังของเฉินปี้จุนเดินหายลับไปจากคลองสายตาพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ
เขานี่มันพลิกแพลงสถานการณ์เก่งเหลือเกิน
แค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าเฉินปี้จุนจะมาคอยกวนใจอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินทรุดนั่งกลับลงไปแกล้งทำสมาธิเหมือนเดิม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้อยู่ภายใต้การเฝ้ามองของอาจารย์ฝึกหัดเถียนเถียนตลอดเวลา
หลังจากนั้น เขาก็จดข้อความลงไปบนสมุดบันทึกว่า : เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ จงอยู่ห่างจากสาวงามที่อาจทำให้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และไม่มีสมาธิกับการฝึกวิชา…
หืม?
แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ
เหมือนมีบางอย่างผิดปกติอย่างไรไม่ทราบ
หลินเป่ยเฉิน… ก็ไหนว่าเขาเป็นคนบ้าตัณหาและลุ่มหลงในกามมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองหยุนเมิ่งไม่ใช่หรือไง
แล้วเหตุไฉนถึงไม่สนใจสาวงามอย่างเฉินปี้จุนเล่า?
เถียนเถียนยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน อาจารย์หนุ่มก็หาคำตอบให้กับตนเองได้สำเร็จ
อ๋อ เพราะว่าบัดนี้หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก เขาจะประพฤติตัวเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องของการยุ่งเกี่ยวกับเพศตรงข้าม จะทำอะไรประเจิดประเจ้อเหมือนเดิมคงไม่ได้เด็ดขาด
นับว่าหลินเป่ยเฉินยังคงเป็นอัจฉริยะในทุกเรื่องจริงๆ
…
เพื่อความยุติธรรมในการประลองที่กำลังจะมาถึง
หลินเป่ยเฉินกับหยูเจี๋ยจุนจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับอาจารย์หรือเพื่อนๆ แม้แต่คนเดียว
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลินเป่ยเฉินใช้เวลาทั้งหมดนั้นหมดไปกับการนั่งหลับตาและปรับระดับพลังลมปราณในร่างกาย
เพียงไม่นานก็ใกล้เที่ยงแล้ว
เป็นเวลา 11:00 น. ของโลกมนุษย์
บรรดาผู้ชมที่แยกย้ายไปหาของกินเริ่มทยอยกลับมานั่งประจำที่เดิมอีกครั้ง
การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้น
บนเวที
หยูเจี๋ยจุนยืนถือกระบี่คู่อยู่ในมือ
เขาเป็นเด็กหนุ่มคิ้วหนาตาโต ใบหน้าหล่อเหลาแบบชาวจีนโบราณ มีเสน่ห์แปลกตาไปจากค่านิยมความหล่อเหลาในแบบฉบับยอดนิยม หยูเจี๋ยจุนมีใบหน้าที่เมื่อผู้คนได้จ้องมองเมื่อไหร่ ก็จะรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล…
และที่สำคัญก็คือหยูเจี๋ยจุนสามารถใช้พลังปราณธาตุได้ถึง 2 ชนิด ซึ่งก็คือพลังปราณธาตุลมและพลังปราณธาตุไฟ
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับความสามารถพิเศษเช่นนี้จากสวรรค์
“หลินเป่ยเฉิน วันนี้ข้าคงต้องขอคำแนะนำจากเจ้าแล้ว”
หยูเจี๋ยจุนยกกระบี่ที่ถืออยู่ในมือซ้ายขึ้นชี้หน้าหลินเป่ยเฉินพร้อมกับโคจรพลังปราณธาตุไฟ
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตัวเองด้วยความปวดหัว
ตลอดการประลองหลายรอบที่ผ่านมา หยูเจี๋ยจุนมักจะใช้พลังปราณธาตุลมเป็นพลังหลัก และใช้พลังปราณธาตุไฟเป็นพลังเสริม กระบี่ในมือซ้ายจะลุกเป็นไฟ ในขณะที่กระบี่มือขวาจะรวดเร็วราวลมกรด วายุเกื้อหนุนอัคคี เมื่อมีความสามารถนี้อยู่บนเวทีประลอง ก็เพิ่มความน่ากลัวเหมือนมีตัวตนมากกว่าคู่ต่อสู้
“ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยสิ”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้ามองเห็นกระบี่ของข้าทั้ง 2 กระบวนท่านั้นหรือไม่?”
หยูเจี๋ยจุนตอบอย่างตรงไปตรงมา “ย่อมมองไม่เห็น แต่อย่ามั่นใจเกินไปนักว่าข้าจะแพ้เจ้า”
เขามีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 9 ซ้ำยังสามารถใช้พลังปราณธาตุได้ถึง 2 ชนิด บัดนี้สภาพร่างกายสมบูรณ์สูงสุด อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะสามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จ
ดังนั้น หยูเจี๋ยจุนจึงมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินยังคงนวดขมับตนเองต่อไป
ทำไมหมอนี่ถึงได้มั่นใจในตัวเองนัก?
“เจ้ามั่นใจว่าจะชนะข้าหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกไป
“มิผิด… หลินเป่ยเฉิน เตรียมตัวรับกระบี่”
หยูเจี๋ยจุนเริ่มต้นจู่โจมกระบวนท่าแรก จี้กระบี่ไปที่ลำตัวของคู่ต่อสู้
เสียงเปลวไฟแหวกอากาศมาพร้อมกับมวลความร้อนวูบวาบโจมตีเข้าใส่หลินเป่ยเฉิน
หลังเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเกาตี้ผิงและเซี่ยอู่เหริน หยูเจี๋ยจุนก็ตัดสินใจว่าจะไม่เปิดโอกาสให้หลินเป่ยเฉินได้เป็นฝ่ายโจมตีก่อนเด็ดขาด
แต่น่าเสียดายที่…
“เจ้ามั่นใจในตนเองมากเกินไป”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะ
กระบี่ของเขาไม่จำเป็นที่จะต้องเริ่มโจมตีก่อน
กระบี่ของเขาไม่ใช่ฝ่ายเสียเปรียบเมื่อต้องตั้งรับ
กระบี่เงินปรากฏขึ้นในมือหลินเป่ยเฉิน
แล้วเขาก็ชักกระบี่ตวัดฟันแนวขวาง
ลำแสงสีเงินยวงสาดประกายในอากาศ
เปลวไฟที่พวยพุ่งเข้ามาใกล้ถึงตัวหลินเป่ยเฉินพลันถูกคมกระบี่ของเขาฟันสลายหายไปในพริบตา
ในเวลาเดียวกันนั้น หลินเป่ยเฉินก็พลิกข้อมือจู่โจมด้วยกระบวนท่าใหม่
หยูเจี๋ยจุนได้แต่ตกตะลึงเมื่อพบว่ากระบี่วายุในมือขวาถูกสลายพลังลงไปอย่างง่ายดาย
“นี่มันอะไรกัน?”
สีหน้าของหยูเจี๋ยจุนแปรเปลี่ยนไปแล้ว
กระบี่อัคคีและกระบี่วายุในมือซ้ายขวาถูกสลายพลังลงไปหมดสิ้น!
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในขณะที่หลินเป่ยเฉินจู่โจมออกมาเพียงกระบวนท่าเดียว
หลินเป่ยเฉินสามารถทำได้อย่างไร?
หยูเจี๋ยจุนยืนปากอ้าตาค้างอยู่ตรงนั้น
แข็งแกร่งเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินแข็งแกร่งมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้
ครั้งนี้กระบวนท่าที่จู่โจมออกมาถึงกับแตกต่างไปจากการประลองใน 2 รอบที่แล้ว
นี่คือกระบวนท่าที่ 3 อย่างนั้นหรือ?
หยูเจี๋ยจุนโคจรพลังปราณธาตุลงไปที่กระบี่ทั้งสองเล่มในมืออีกครั้ง เตรียมตัวโจมตีอีกระลอก
ฉับ!
หลินเป่ยเฉินกลับสอดกระบี่คืนฝักเรียบร้อย
“เจ้าแพ้แล้ว”
ประโยคเดิม
ท่วงท่าเดิม
หลินเป่ยเฉินยืนเก๊กหล่อพยายามรักษาสีหน้าเข้มขรึมเช่นเดิม
แต่บัดนี้ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงหัวเราะออกมาอีกแล้ว
หยูเจี๋ยจุนตกตะลึงจนหายใจแทบไม่ออก
เมื่อก้มมองหน้าอกตนเอง เขาก็ไม่รู้เลยว่าที่หน้าอกเสื้อเกิดเป็นรอยฉีกขาดรูปกากบาทตั้งแต่เมื่อไหร่ เสื้อคลุมของเขาเปิดกว้าง เผยให้เห็นหน้าอกกำยำที่อยู่ด้านใน
นี่เขาถูกโจมตีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…?
กระบี่ของหลินเป่ยเฉินมาถึงตัวเขาตอนไหน?
หยูเจี๋ยจุนไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ทันใดนั้น เขาก็ได้รับทราบแล้วว่าเกาตี้ผิงกับเซี่ยอู่เหรินรู้สึกเช่นไรยามที่เผชิญหน้าความพ่ายแพ้ต่อหลินเป่ยเฉิน
นี่ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ธรรมดา
แต่เป็นความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ
หยูเจี๋ยจุนไม่คิดเลยว่าตนเองจะต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายเช่นนี้
“กระบวนท่านี้…”
หยูเจี๋ยจุนรีบหยุดพูดทันทีเมื่อตั้งสติได้ และปรับเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า “คงต้องรอให้ข้าสามารถมองเห็นกระบี่ของเจ้าก่อน ข้าถึงจะมีคุณสมบัติดีพอที่จะรับทราบชื่อเสียงเรียงนามของกระบวนท่านี้ใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ “มิผิด นับว่าเจ้าเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว”
“อาจารย์เคยบอกข้าว่าในโลกใบนี้เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือผู้แกร่งกล้า ยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์” หยูเจี๋ยจุนพยายามให้กำลังใจตนเองด้วยการยอมรับความพ่ายแพ้อย่างลูกผู้ชาย “ข้าเคยเข้าใจว่ามันเป็นเพียงคำเปรียบเปรยโบราณที่เก่าแก่เกินไปแล้ว หารู้ไม่ว่า… มันคือความจริง”
“ไม่ใช่หรอก”
หลินเป่ยเฉินสวนกลับไปทันที “อย่าไปเชื่ออะไรที่พวกคนเฒ่าคนแก่พูดนักเลย เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือผู้แกร่งกล้า ยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์งั้นหรือ? เฮอะ ข้าจะบอกให้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริงน่ะ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือหลังคายังมีรูรั่วต่างหาก เพราะไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้แข็งแกร่งสักแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องมีคนค้นพบจุดอ่อนของเจ้าอยู่ดี”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง
เขาไม่ใช่หลินเป่ยเฉินคนเดิมที่อยากจะอยู่เงียบๆ อีกต่อไป
หยูเจี๋ยจุนได้ยินคำตอบรับของฝ่ายตรงข้ามก็ถึงกับชะงักไปในทันที
แล้วเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่แล้ว สิ่งที่เจ้าพูดนั้นถูกต้องทุกอย่าง เป็นเพราะว่าข้ามั่นใจในตัวเองมากเกินไป ฮ่าฮ่าฮ่า”
เด็กหนุ่มผู้มีความหล่อเหลาแบบชาวจีนโบราณหัวเราะจนหน้าตาแดงก่ำ
เมื่อหัวเราะจนสามารถเรียกความมั่นใจของตนเองกลับคืนมาได้แล้ว หยูเจี๋ยจุนก็กล่าวว่า “ข้าเข้าใจมาเสมอว่าเจียงจี้หลิวเป็นผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในเหล่ามือกระบี่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันของมณฑลนี้ แต่ไม่คิดเลยว่า… หลินเป่ยเฉิน เจ้าเองก็แข็งแกร่งไม่น้อยเช่นกัน เจ้ามีคุณสมบัติดีพอทุกอย่างในการจะเป็นคู่ต่อสู้ของเจียงจี้หลิว การที่ข้าเป็นบันไดให้เจ้าก้าวเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ ข้าจะรอชมฝีมือของเจ้าในรอบชิง และข้าหวังว่าเจ้าจะเอาชนะเจียงจี้หลิวให้ได้ อย่าทำให้ข้าผิดหวังก็แล้วกัน”