ตอนที่ 446 สิ่งที่เรียกว่ากำลังใจ
ดูเหมือนว่าอู๋เฟิ่งกูจะถูกเอารัดเอาเปรียบจนน่าสงสารเหลือเกิน
เหมืองแร่หินบูชาที่เคยอยู่ในมือของเขากลับกลายตกไปเป็นของหลินเป่ยเฉินเสียอย่างนั้น
แต่ในสายตาของอาจารย์อาวุโสอย่างติงซานฉือกับฉู่เหินต่างก็รู้สึกว่าเถ้าแก่สวนแตงโมช่างโชคดีเหลือเกิน
เพราะหลินเป่ยเฉินต้องการเงินปันผลแค่ 60 ส่วนเท่านั้น
ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกขุนนางเขี้ยวลากดินคนอื่นๆ เกรงว่าแม้แต่เศษกระดูกอู๋เฟิ่งกูก็ไม่มีเหลือให้กัดแทะด้วยซ้ำ
หลินเป่ยเฉินนับว่ายังคงมีความเมตตาในหัวใจอยู่บ้าง
แต่การทำแบบนี้ ไม่ถือว่าเป็นการนำสถานะผู้ที่ถูกเลือกมาใช้หาเงินหรืออย่างไร?
ติงซานฉือและคนอื่นๆ อดเป็นห่วงหลินเป่ยเฉินขึ้นมาไม่ได้
พวกเขาต่างรู้สึกว่าในอนาคตหลินเป่ยเฉินจะต้องพบเจอกับปัญหาแน่นอน
หลายคนถึงกับมั่นใจมากทีเดียว
เพราะถ้าเกิดหลินเป่ยเฉินมีปัญหาขึ้นมาเมื่อไหร่ พวกเขาก็ต้องพลอยได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน
“นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดมาก”
หลินเป่ยเฉินตบไหล่อู๋เฟิ่งกูจากนั้นจึงแบมือ เหมือนกำลังรอรับอะไรบางอย่าง
“หืม?”
อู๋เฟิ่งกูชะงักไปเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ
“ยังจะมาทำไขสืออีก”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ “เงินค่าโฆษณาสวนแตงโมของท่านไงล่ะ”
อู๋เฟิ่งกูพูดว่า “แต่เจ้าได้รับส่วนแบ่งเงินปันผลในเหมืองแร่หินแล้วนะ…”
“ฮึ่ย”
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ “นั่นมันคนละเรื่องกัน เงินปันผลก็ส่วนเงินปันผล ค่าโฆษณาก็ส่วนค่าโฆษณา คิดหรือว่าจะเอาเรื่องนี้มาเบี่ยงเบนความสนใจข้า เเล้วจะเบี้ยวค่าโฆษณาได้ง่ายๆ”
อู๋เฟิ่งกูมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยแววตาว่างเปล่า
ในจักรวรรดิเป่ยไห่ จะมีผู้ใดชำนาญในด้านการสูบเลือดสูบเนื้อผู้อื่นมากกว่าหลินเป่ยเฉินอีกไหมหนอ
สุดท้าย อู๋เฟิ่งกูก็ต้องล้วงถุงใส่ของวิเศษออกมาจากด้านในอกเสื้อและยื่นส่งให้หลินเป่ยเฉินด้วยมือที่สั่นเทา
เด็กหนุ่มรับถุงมาเปิดดูสิ่งที่บรรจุอยู่ด้านใน แล้วประกายสีทองก็พวยพุ่งขึ้นมาอาบไล้ใบหน้าของเขาจนดวงตาพร่าพราย
อ้า
เหรียญทองจ๋า
ไม่มีอะไรจะสวยงามมากไปกว่าประกายจากเหรียญทองคำอีกแล้ว
ไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบกับเงินทองได้อีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
เกิดลำแสงเป็นประกายวูบวาบ
แล้วถุงใส่ของวิเศษใบนั้นก็ถูกอัปโหลดเข้าไปเก็บไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์
แน่นอนว่าเขาไม่มีเจตนาที่จะคืนถุงใส่ของวิเศษ
เพราะลำพังตัวถุงใส่ของวิเศษใบนี้ก็มีราคาแพงไม่ใช่น้อย
“ข้าล่ะอิจฉาท่านจริงๆ”
เขายกมือตบไหล่อู๋เฟิ่งกูเบาๆ อีกครั้งและพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “โชคดีนะเนี่ยที่ท่านได้มาพบเจอคนใจดีอย่างข้า”
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็หมุนตัวเดินตรงไปยังพื้นที่จัดการแข่งขัน
อู๋เฟิ่งกูรู้สึกว่างเปล่าเหมือนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง
แต่แล้วเขาก็สะดุ้งโหยงเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน “เดี๋ยวก่อนสิ เจ้ารับเงินค่าโฆษณาสวนแตงโมของข้าไปแล้ว ก็ต้องเอาผลิตภัณฑ์ของข้าไปโฆษณาบนเวทีด้วยสิ แตงโมของข้าไงล่ะ เอาแตงโมของข้าขึ้นไปด้วยนะ…”
“จะให้เอาแตงโมขึ้นไปบนเวทีงั้นรึ?”
หลินเป่ยเฉินพูดโดยไม่ได้เหลียวหน้ามองกลับมา “ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้นด้วย? ใครบอกกันล่ะว่าสวนแตงโมของท่าน เป็นเพียงสินค้าตัวเดียวที่ข้าจะโฆษณาในรอบชิงชนะเลิศ?”
เอ๋?
อู๋เฟิ่งกูถึงกับชะงักไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้
นั่นสินะ
หลินเป่ยเฉินบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าเขารับโฆษณาในรอบชิงชนะเลิศเอาไว้หลายตัวมากพอแล้ว
จะปฏิเสธไม่ยอมนำแตงโมขึ้นไปบนเวทีด้วยก็คงไม่แปลก
อู๋เฟิ่งกูไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตนเองต้องยอมอ่อนข้อให้แก่เด็กหนุ่มคนนี้ทุกครั้งไป?
ถ้าเขารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่ยอมจ่ายเงินค่าโฆษณาสูงถึง 100,000 เหรียญทองคำหรอก สู้ไปร่วมประมูลค่าโฆษณากับพ่อค้าคนอื่นๆ คงได้ราคาถูกกว่านี้อีก
อู๋เฟิ่งกูอยากจะเขกหัวตัวเองให้หายโง่นัก
…
เวทีประลองสำหรับรอบชิงชนะเลิศถูกจัดสร้างอย่างแข็งแรงแน่นหนา
ผู้เชี่ยวชาญเวทย์ระดับสูง ยอดฝีมือด้านการสร้างค่ายอาคม และนักเล่นแร่แปรธาตุอีกหลายคนจากเมืองเจาฮุย ล้วนถูกเชิญตัวมาที่นี่เพื่อเนรมิตค่ายอาคมทั้ง 4 มุมของเวที สร้างเป็นกำแพงเวทมนตร์ที่แข็งแกร่ง แม้ว่าการต่อสู้บนเวทีจะดุเดือดสักแค่ไหน เหล่าคนดูที่อยู่รอบบริเวณก็จะไม่ได้รับลูกหลงจากการต่อสู้แม้แต่น้อย
อีกอย่าง คู่ต่อสู้ในรอบชิงชนะเลิศของหลินเป่ยเฉินคือเจียงจี้หลิว ผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 4
คู่ต่อสู้ที่ผ่านมาทุกรอบก่อนหน้านี้ ไม่มีใครสามารถต้านทานการโจมตีของเจียงจี้หลิวได้เลยสักคนเดียว
และหลายครั้งเวทีก็เหมือนจะรับพลังกดดันจากตัวเด็กหนุ่มพันหน้าไม่ไหว
แต่ถึงกระนั้น หลินเป่ยเฉินก็ดูเหมือนจะมีคุณสมบัติดีพอที่จะเป็นคู่ต่อกรของเจียงจี้หลิวได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
พื้นที่รอบเวทีประมาณ 10 วากลายเป็นพื้นที่สุญญากาศเขตปลอดภัย บริเวณนั้นจะมีเพียงเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาคอยยืนรักษาการณ์ เพื่อป้องกันให้แน่ใจว่าจะไม่มีกลุ่มคนดูได้รับลูกหลงจากการต่อสู้จริงๆ
เจ้าหน้าที่จากนครเจาฮุยได้ปรับเปลี่ยนคุณภาพของกระจกถ่ายทอดสดด้วยเช่นกัน
การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในครั้งนี้จะได้รับการถ่ายทอดสดไปทั่วมณฑล
ที่สำคัญก็คือ ฝ่ายหนึ่งเป็นถึงเจียงจี้หลิวมือกระบี่พันหน้าชื่อดัง
เขาย่อมมีชื่อเสียงโด่งดังระดับมณฑลมากกว่าหลินเป่ยเฉินไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
เจ้าหน้าที่เพิ่มกระจกถ่ายทอดสดให้ได้มุมมองที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงยกระดับภาพการถ่ายทอดสดให้ชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน
บัดนี้ รอบเวทีมีผู้คนมารวมตัวกันอยู่มากมาย
เพียงไม่นาน พื้นที่นี้ก็เต็มไปด้วยทะเลมนุษย์
“รับแทงเดิมพันจ้า รับแทงเดิมพัน แทงจริงจ่ายจริงไม่มีโกง ไม่รับแทงหลังการประลองเริ่มแล้วนะจ๊ะ…”
“อัตราต่อรองในการประลองครั้งนี้ เจียงจี้หลิวเป็นต่ออยู่ที่ 1.5 เหรียญทองคำ ส่วนใครเลือกเดิมพันข้างหลินเป่ยเฉิน อัตราการต่อรองอยู่ที่แทง 1 ได้ถึง 50 เหรียญทองคำจ้า”
“ตัดสินใจได้ก็รีบก้าวเท้าเข้ามา ยาจกจะเปลี่ยนเป็นมหาเศรษฐีได้หรือไม่ จบการประลองวันนี้ เดี๋ยวพวกท่านก็ได้รู้”
เสียงตะโกนจากคนของบ่อนพนันดังกังวานไปทั่วบริเวณ
พวกเขาถึงกับว่าจ้างให้นักสร้างค่ายอาคมช่วยนำอุปกรณ์ถ่ายทอดเสียงมากระจายเสียงของตนเอง เพื่อเป็นการกระตุ้นและปลุกเร้าให้ผู้คนตัดสินใจเดิมพันง่ายดายมากขึ้น
ณ อัฒจันทร์เขตที่นั่งของแขกระดับสูง
ฉุยเฮาเฟิงผู้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่ยังคงนั่งอยู่ด้านข้างหยิงอู๋จี ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยมือปราบจากเมืองเจาฮุย โดดเด่นสะดุดตาอยู่แถวหน้าสุด
ส่วนอาจารย์ใหญ่และรองอาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษาชื่อดัง ต่างก็นั่งจับกลุ่มรวมตัวกันไม่ห่างออกไป
บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
“หลินเป่ยเฉิน หลินเป่ยเฉิน เทพบุตรจากสวรรค์”
“ต่อให้ดาวนับล้านดวง ก็ยังเปล่งแสงสว่างสู้ท่านไม่ได้”
“หลินเป่ยเฉินคือเทพบุตรจากสวรรค์ เขาคือมือกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี”
“หลินเป่ยเฉินคือบุรุษหนุ่มรูปงามที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง”
“หลินเป่ยเฉิน พวกเรามาเป็นกำลังใจให้กับท่านแล้ว”
มีเสียงตะโกนดังขึ้นไม่ขาดสาย
บรรดาสาวกของหลินเป่ยเฉินส่วนใหญ่จะเป็นหญิงสาวเยาว์วัย แต่ก็มีบางส่วนเช่นกันเป็นบุรุษหนุ่มฉกรรจ์ พวกเขาต่างมายืนส่งเสียงให้กำลังใจหลินเป่ยเฉินตั้งแต่ตอนที่เด็กหนุ่มยังไม่ปรากฏตัว
ว่ากันว่าไม่เคยมีเหตุการณ์ครั้งไหนที่จะทำให้ชาวเมืองหยุนเมิ่งมารวมตัวกันได้มากมายเท่าการแข่งขันครั้งนี้อีกแล้ว
ชาวเมืองทุกคนต่างปรารถนาให้หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ชนะ
เพราะมันจะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้แก่เมืองเล็กๆ ที่อยู่ติดทะเลแห่งนี้
แต่แน่นอนว่าชาวเมืองส่วนหนึ่งก็ทำใจยอมรับความพ่ายแพ้แล้วเช่นกัน…
แม้ต่อให้หลินเป่ยเฉินพ่ายแพ้ในการต่อสู้ เด็กหนุ่มก็ยังเป็นวีรบุรุษประจำใจของพวกเขาอยู่ดี
ความพ่ายแพ้ไม่ใช่ความผิดของหลินเป่ยเฉิน
บัดนี้ บรรยากาศในสถานศึกษากระบี่ที่สามเต็มไปด้วยความร้อนระอุ
ใช้เวลาไม่ถึงการชงน้ำชาหนึ่งถ้วย การประลองรอบชิงชนะเลิศก็จะเริ่มขึ้น
ไม่รู้เลยว่าใครเป็นผู้เริ่มต้นตะโกนชื่อหลินเป่ยเฉินออกมาเป็นคนแรก
“หลินเป่ยเฉิน!”
“หลินเป่ยเฉิน!”
“หลินเป่ยเฉิน!”
ผู้คนจำนวนนับหมื่นพร้อมใจกันส่งเสียงตะโกนชื่อเด็กหนุ่มออกมาอย่างสามัคคี
นี่นับเป็นภาพที่น่าตกตะลึงขนาดไหน?
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเหล่านั้น หัวใจของหลินเป่ยเฉินจะพองโตมากเพียงใด?
กล่าวกันว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม
บรรยากาศและสภาพแวดล้อม มีผลต่อการกำหนดพฤติกรรมผู้คน
เสียงตะโกนเรียกชื่อหลินเป่ยเฉินยิ่งมายิ่งดังกังวาน
เสียงตะโกนมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่สถานศึกษากระบี่ที่สามแผ่ขยายออกไปรอบทิศทาง เหมือนกับกระแสน้ำป่าหลากล้น
แม้แต่กับผู้ที่ไม่ได้ซื้อตั๋วเข้ามารับชมการแข่งขัน ก็ยังต้องส่งเสียงตะโกนเรียกชื่อหลินเป่ยเฉินด้วยเช่นกัน
แม้แต่พ่อค้าแม่ค้าที่เปิดแผงขายของอยู่ด้านหน้าสถานศึกษาก็ไม่มีข้อยกเว้น