ตอนที่ 452 เจ้ามองเห็นกระบี่ทั้ง 3 กระบวนท่าของข้าหรือไม่?
สีหน้าของฉุยเฮาเฟิงผู้นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งแขกคนสำคัญแปรเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า
การเผชิญหน้ากับความตายต้องใช้เงินเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?
แต่ในเมื่อเขาไม่สามารถขัดขวางหลินเป่ยเฉินจากการลงนามในสัญญายินยอมมอบความตายได้สำเร็จ ฉุยเฮาเฟิงก็ตัดสินใจจะไม่ขัดขวางการกระทำทุกอย่างของหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงปล่อยให้หลินเป่ยเฉินทำการโฆษณาต่อไปได้ตามใจชอบ
“ฮื่อๆ พี่เป่ยเฉินรู้ตัวว่ากำลังจะต้องตาย ถึงกับหาเงินไว้ให้พวกเราไว้ใช้ในภายหลัง… ท่านพี่ช่างเป็นคนดีจริงๆ”
ฮันปู้ฮวยน้ำตาไหลพรากด้วยความซาบซึ้งใจ
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็มีน้ำตาคลอเต็มสองเบ้า
เซียวปิงบัดนี้อยู่ในสภาวะอารมณ์เหวี่ยงไปมาเพราะเมื่อสักครู่เขาได้ยินชื่อของโรงเตี๊ยมปันเจิ้ง น้ำลายก็ไหลออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยขนฟาดเข้าไปที่ก้นของเซียวปิงเต็มแรง
คลื่นพลังแผ่กระจายออกไปเล็กน้อย
เซียวปิงรู้สึกเจ็บปวดและแสบร้อนบริเวณก้น ต้องหันกลับมาก้มหน้ามองด้วยความไม่พอใจ “อากวง เจ้าทำอะไรของเจ้า”
อดีตราชันย์หนูอสูรเขียนข้อความลงบนกระดานชนวนด้วยสีหน้าดุดัน “นายท่านกำลังจะตาย เหตุไฉนเจ้าถึงยืนน้ำลายไหล เจ้าควรร้องไห้สิถึงจะถูกต้อง…”
เซียวปิงยกมือปาดน้ำลาย ตอบกลับไปว่า “เหตุผลที่ข้าไม่ร้องไห้ เพราะข้ามั่นใจว่าท่านพี่ต้องไม่แพ้แน่นอนไงเล่า”
เจ้าหนูยกมือของมันฟาดก้นเด็กหนุ่มร่างอ้วนอีกครั้งด้วยความรุนแรงมากกว่าเดิม
เซียวปิงถึงกับสะดุ้งโหยง
อากวงนับว่ามือหนักมากจริงๆ
เซียวปิงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด สุดท้ายน้ำตาก็ไหลลงมาอาบสองแก้ม
อากวงเห็นดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความพอใจและเขียนข้อความลงบนกระดานอีกครั้ง “ใช่แล้ว แบบนี้แหละ ร้องไห้ออกมา!”
เถียนเถียนผู้ยืนอยู่ในกลุ่มคนดู มือหนึ่งถือสมุดจด อีกมือหนึ่งถือปากกาขนนก รีบจดข้อความลงไปว่า “เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ : แม้อยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายของชีวิต ก็จงยึดมั่นในหลักการของตนเองอยู่เสมอ!
เมื่อเขียนจบแล้ว เถียนเถียนก็รู้สึกพอใจมากทีเดียว
เขาคิดว่าประโยคนี้เป็นประโยคที่คมคายที่สุด
“หากท่านกำลังมองหาของขวัญให้คนที่รัก ได้โปรดพิจารณาเทียนไขวาฬทะเล… เทียนไขที่ถูกสกัดขึ้นมาจากไขมันวาฬ สามารถให้แสงสว่างแก่ครอบครัวของท่านได้หลายร้อยปี แม้คนที่ท่านรักจะลาลับไปแล้ว แต่แสงสว่างของเทียนไขชนิดนี้ ก็ยังคงส่องนำทางในโลกหลังความตายต่อไป!”
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนเวทีอ่านข้อความโฆษณาด้วยความมุ่งมั่น
ในที่สุด เขาก็กระแอมไอและม้วนกระดาษเก็บกลับไปตามเดิม
“ขอบคุณทุกท่านสำหรับการรับฟัง ทำไมยังไม่รีบปรบมือกันอีก… ฮ่าฮ่า”
พูดจบแล้ว น้ำเสียงของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไป
สีหน้าของเขากลับมาจริงจังมากขึ้น
ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าร่องเข้ารอยอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินยกมือเสยผมอย่างโปรยเสน่ห์ใส่กระจกถ่ายทอดสด ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สิ่งที่ข้ากำลังจะพูดต่อไปนี้ นับเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และมันจะเกี่ยวข้องไปถึงอนาคตของเมืองหยุนเมิ่งเลยทีเดียว…”
หืม!
บังเกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นรอบเวที
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลินเป่ยเฉินกล่าวออกมา กลุ่มคนดูก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“พวกเรา…”
“ชาวเมืองหยุนเมิ่ง…”
“ไม่รู้เลยว่า…”
“ทางฝั่งตะวันตกของตัวเมือง…”
“บริเวณภูเขาเสี่ยวซี…”
หลินเป่ยเฉินพูดหนึ่งคำหยุดหนึ่งคำ
ยิ่งทำให้ผู้รับฟังรู้สึกร้อนรนมากกว่าเดิม
จะพูดอะไรก็รีบพูดมาสักทีเถอะ
แม้แต่เจียงจี้หลิวก็ยังต้องให้ความสนใจแล้ว
“ได้มีการค้นพบ…”
“เหมืองแร่…”
“หินบูชาขนาดใหญ่!”
หลินเป่ยเฉินพูดจบประโยคนั้นก็หยุดโดยทันที
เกิดความเงียบตามมารอบเวที
ก่อนที่เสียงอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อจะดังกระหึ่มในอากาศ
“ว่าไงนะ?”
“พูดจริงหรือเปล่าเนี่ย?”
“เหมืองแร่หินบูชา? เป็นไปได้ยังไง? แล้วใครเป็นเจ้าของ?”
“ให้ตายเถอะ! แร่หินชนิดนี้มีค่ายิ่งกว่าทองคำอีก ข้ายินดีนำเมียน้อยของข้าทั้ง 4 คนไปแลกกับหินบูชาเพียงก้อนเดียวด้วยซ้ำ”
“หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม?”
ความตื่นเต้นของกลุ่มคนดูแตกตัวกระจายออกไปเหมือนดอกไม้ไฟ
แม้แต่เหล่ามือกระบี่อาวุโสก็อดตกตะลึงกับข่าวนี้ไม่ได้
ฉุยเฮาเฟิง หยิงอู๋จี เจิ้นกงหลงและคนอื่นๆ ที่อยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งแขกคนสำคัญพร้อมใจกันลุกขึ้นยืน สีหน้าของพวกเขาบอกชัดถึงความตกตะลึง ลืมเลือนแม้แต่การรักษามาดของผู้อาวุโสไปชั่วคราว
ในกลุ่มคนดูด้านล่าง บังเกิดพลังลมปราณที่หนาแน่นแผ่กระจายออกมาวูบหนึ่ง
แม้แต่จูปี้ฉีก็ยังต้องแสดงสีหน้าตกใจออกมาแล้ว
แร่หินบูชา!
ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง ก็ถือเป็นข่าวที่น่าตกใจมากทีเดียว
นี่เป็นเรื่องที่สามารถสั่นสะเทือนได้ทั้งจักรวรรดิเลยด้วยซ้ำ
ติงซานฉือและคณะอาจารย์อาวุโสไม่แปลกใจแต่อย่างใด เพราะรับทราบเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
มีเพียงอู๋เฟิ่งกูคนเดียวเท่านั้นที่ร่างกายสั่นเทาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
เขาเตรียมตัวเตรียมใจอยู่แล้วว่าช่วงเวลาเช่นนี้ต้องมาถึงแน่นอน แต่เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจริงๆ เถ้าแก่สวนแตงโมก็อดตัวสั่นไม่ได้ ความรู้สึกของเขาผสมปนเปหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นตื่นเต้น หวาดกลัว วิตกกังวล ต่างก็ประดังประเดเข้ามาหาเขาพร้อมๆ กัน
อู๋เฟิ่งกูรู้ดีว่าอีกไม่นานชีวิตของตนเองจะต้องฟันฝ่ากับพายุอุปสรรคครั้งใหญ่
แล้วเขาจะรอดไปได้หรือไม่?
ดวงตาของเถ้าแก่สวนแตงโมจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีเขียวที่ยืนอยู่บนเวที
แม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะมีภาพลักษณ์ดูพึ่งพาไม่ค่อยได้
แต่โดยเนื้อแท้นั้น เด็กหนุ่มเป็นคนพึ่งพาได้ที่สุดแล้ว
จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินพูดออกมาว่า “แต่ทุกคนไม่ต้องตกใจ ข้ามีข่าวร้ายที่จะต้องแจ้งให้ทราบ…”
เจียงจี้หลิวที่รับฟังอยู่ในความเงียบมาตลอด พลันถามออกมาด้วยความอยากรู้ “ข่าวร้ายเรื่องใด? อย่าบอกนะว่าแร่หินบูชาที่ค้นพบในเหมืองแห่งนั้น เป็นของปลอม?”
“หึหึ”
หลินเป่ยเฉินกระตุกยิ้มมุมปากเหยียดหยาม “เจ้าเป็นเพียงสุนัขข้างถนน กล้าดีอย่างไรถึงสงสัยในเหมืองแร่หินบูชาของข้า”
“ของเจ้าอย่างนั้นรึ?”
เจียงจี้หลิวเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
“ใช่ เป็นของข้าแล้วจะทำไม?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้ายืนยันคำตอบและกล่าวต่อไปว่า “เหมืองแร่หินบูชาที่ถูกค้นพบในภูเขาเสี่ยวซี เป็นของข้า เด็กหนุ่มแซ่หลินแต่เพียงผู้เดียว พวกท่านไม่มีใครจะได้ครอบครองมันไปเด็ดขาด อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า พวกท่านคงอยากได้เหมือนแห่งนี้ไปเป็นของตนเองแล้วล่ะสิ อะฮิอะฮิ”
เจียงจี้หลิวนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวออกมา “มุกตลกของเจ้าไม่ขบขันอีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม ตอบว่า “เจ้าเข้าใจว่าข้าล้อเล่นหรือ?”
ทันใดนั้น เขาก็ดาวน์โหลดกระบี่เงินออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์พร้อมกับพูดว่า “เจ้าอย่ามัวเสียเวลาพูดมากเลยดีกว่า เรามาเริ่มการประลองกันเลยเถอะ…”
เจียงจี้หลิวพูดอะไรไม่ออก
ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายทำให้คนอื่นเสียเวลา?
เจียงจี้หลิวเลื่อนมือไปจับด้ามกระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอว
กระบี่ถูกชักขึ้นจากฝักเพียงเล็กน้อย
มวลพลังมากมายมหาศาลไหลทะลักออกมาจากด้านในฝักกระบี่
ในพริบตานั้น ตัวตนที่อบอุ่นยิ้มแย้มของเจียงจี้หลิว พลันกลับกลายเป็นอำมหิตโหดร้าย ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียวราวสายฟ้าฟาด พลังลมปราณระเบิดออกมารอบทิศทาง ทำให้ผู้คนดวงตาพร่าพรายโดยไม่ทันตั้งตัว
นี่สินะพลังที่แท้จริงของกระบี่พันหน้า
หลินเป่ยเฉินยกกระบี่เงินในมือเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
ถึงเขาจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเจียงจี้หลิวสักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าหมอนี่เป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์กว่าหวังจงหลายหมื่นเท่า
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินเสียเวลาไปกับการโฆษณามากมาย แต่ถึงกระนั้น เจียงจี้หลิวกลับไม่ได้รีบร้อนโจมตี
มือกระบี่พันหน้ายังสามารถรักษาความสงบสุขุมของตนเองได้เป็นอย่างดี
บุคคลเช่นนี้ ย่อมให้ความสำคัญที่การกระทำ มากกว่าคำพูด
“การประลองก่อนหน้านี้ เจ้ามองเห็นกระบี่ทั้ง 3 กระบวนท่าของข้าหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาดังเช่นที่ถามกับคู่ต่อสู้ทุกครั้ง
เจียงจี้หลิวพยักหน้าตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ย่อมมองเห็น”
อ้าว?
มองเห็นได้ไงวะ