ตอนที่ 454 ใครจะเป็นฝ่ายชนะ?
ชายเสื้อคลุมสีขาวของเขาปลิวไสว ใบหน้าของเจียงจี้หลิวดูมีความหล่อเหลามากยิ่งขึ้น
เด็กหนุ่มเจ้าของฉายามือกระบี่พันหน้ากล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ได้ข่าวว่าเจ้ามีปราณธาตุไฟที่พลังทำลายล้างสูงส่ง เหตุไฉนถึงไม่ใช้มันออกมาเล่า?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มตอบกลับไปเล็กน้อย “เพราะเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติดีพอ”
นี่คือคำพูดถากถางเสียดแทงหัวใจผู้คน
แต่ก็ไม่มีข้อแก้ตัวอื่นอีกแล้ว
หากทำได้ หลินเป่ยเฉินก็อยากจะเก็บพลังปราณธาตุไฟเอาไว้ใช้เป็นตัวเลือกสุดท้าย
ก็ใครอยากจะเปลือยกายต่อหน้าสาธารณชนกันเล่า?
เมื่อได้ยินคำตอบ เจียงจี้หลิวก็ยิ่งไม่เข้าใจความคิดของหลินเป่ยเฉินมากยิ่งขึ้น
เขาพลันเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยน้ำเสียงยานคาง “หลินเป่ยเฉิน เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจให้มันมากเกินไปนัก เมื่อสักครู่นี้ ข้าเพียงเปิดโอกาสให้เจ้าได้โจมตีต่อเนื่อง 3 กระบวนท่า เพื่อให้เจ้าได้แสดงความแข็งแกร่งของตนเองออกมา มิเช่นนั้น ป่านนี้การประลองก็คงจบลงเรียบร้อยแล้ว”
หลินเป่ยเฉินไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์…
เขาโคจรพลังลมปราณเพื่อใช้งานวิชาโลหิตกระชากวิญญาณโดยทันที
ละอองเลือดสาดกระจายออกมาเป็นม่านสีแดงเบาบางรอบกายเด็กหนุ่ม
นี่คือการเปลี่ยนเลือดเป็นพลังลมปราณ
แต่มันมีลักษณะคล้ายคลึงกับการโคจรพลังปราณธาตุไฟที่หลินเป่ยเฉินเคยใช้ก่อนหน้านี้
เด็กหนุ่มรู้ดีว่ามีแต่ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น ถึงจะเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ของตนเองได้
ในเวลาเดียวกันนั้น พลังลมปราณในร่างกายของเขาก็พุ่งทะยานเพิ่มมากขึ้น
จนเทียบเท่าผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 2
จังหวะนั้น
‘ชีวิตเขาแสนเปลี่ยว เพียงผู้เดียวดาย สู้ไม่เคยรู้หน่าย ใจนั้นรักศักดิ์ศรี’
แอป NetEase Cloud Music ก็กำลังเล่นเพลงกระบี่ไร้เทียมทาน
เพื่อรีดเค้นศักยภาพในการต่อสู้ของหลินเป่ยเฉินให้ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด
ระดับพลังของหลินเป่ยเฉินเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกครั้ง
มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับยอดปรมาจารย์ระดับที่ 3
เมื่อขอบเขตพลังเลื่อนขึ้นมาถึงขั้นนี้
บรรดาคนดูที่อยู่โดยรอบก็อดร้องอุทานด้วยความตกใจไม่ได้
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
คนเราสามารถเลื่อนระดับพลัง 2 ขั้นในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวได้ด้วยหรือ?
เขาใช้เวทมนตร์หรืออย่างไร?
“บอกตามตรงนะ ก่อนที่เจ้าจะพูดประโยคเมื่อสักครู่นี้ออกมา ข้าก็คิดวิธีสังหารเจ้าได้หลายร้อยรูปแบบแล้ว… รับรองเลยว่าวันนี้เจ้าได้ตายสมความปรารถนาแน่”
หลินเป่ยเฉินยิงฟันยิ้ม
พลังลมปราณในร่างกายของเขาไหลเวียนเต็มอัตรา
ยิ่งพลังลมปราณในร่างกายสูงส่งเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
เขาจ้องมองเจียงจี้หลิวและถามว่า “ในฐานะที่มือกระบี่พันหน้าผู้โด่งดังกำลังจะต้องพบจุดจบในวันนี้… ไม่ทราบว่าเจ้าอยากจะรับชมกระบวนท่าที่ 4 ของข้าหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะแปลกประหลาดอีกครั้ง
“ข้าจะแสดงให้ดูว่าความน่ากลัวที่แท้จริงมันเป็นเช่นไร!”
พูดจบ
หลินเป่ยเฉินก็แทงกระบี่ออกไปข้างหน้า
เป็นกระบี่ที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและมั่นคง
คมกระบี่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝ่ายตรงข้ามด้วยความเชื่องช้ายิ่ง
หลายคนที่อยู่รอบเวทีถึงกับเบิกตาโตด้วยความพิศวง
แต่ใบหน้าที่หล่อเหลาของเจียงจี้หลิวกลับแสดงสีหน้าเคารพนับถือชนิดหนึ่งออกมา
“เป็นกระบวนท่าที่ประเสริฐ”
เด็กหนุ่มถึงกับอุทาน
เช้ง!
ในที่สุด กระบี่ในมือของเจียงจี้หลิวก็ต้องเคลื่อนไหวแล้ว
กระบี่ของเจียงจี้หลิวที่ถูกชักออกมาจากฝัก มีสีดำราวกับถ่านหิน
เจียงจี้หลิวระเบิดพลังลมปราณออกจากร่างกาย ยกกระบี่ของตนเองขึ้นปัดป้องกันการโจมตีของหลินเป่ยเฉินด้วยความแช่มช้าไม่แพ้กัน
ต่างฝ่ายต่างโจมตีและตั้งรับด้วยความเชื่องช้าพอๆ กัน!
มีเพียงยอดมือกระบี่ตัวจริงเท่านั้นถึงจะเข้าใจว่าการโจมตีและการตั้งรับที่เชื่องช้าเหล่านี้ ต้องใช้มวลพลังลมปราณมากมายมหาศาลเพียงใด
นี่คือการโจมตีที่หนักหน่วง
นี่คือการตั้งรับที่หนักแน่น
โดยที่แสดงออกมาด้วยท่าทางปกติธรรมดา
การโจมตีที่ดูเชื่องช้าในสายตาของบุคคลทั่วไป
กลับกลายเป็นสุดยอดการโจมตีในสายตาของผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมาก
คมกระบี่ที่แทงปราดออกไปจะทำหน้าที่เป็นเสมือนเครื่องจักรปลดปล่อยพลังลมปราณใส่คู่ต่อสู้ เมื่อได้เผชิญหน้า ก็ปราศจากโอกาสหลบหนี และในจังหวะแห่งการเผชิญหน้านั้น ผู้เป็นคู่ต่อสู้ก็จะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันแรงกล้า ไม่ต่างจากประตูนรกที่เปิดอ้ารอรับดวงวิญญาณให้เดินเข้าไป!
ความน่ากลัวของการโจมตีด้วยกระบี่ที่เชื่องช้า ก็คือพลังลมปราณอันมหาศาลนี้เอง
แต่ถึงจะกล่าวว่ามันเชื่องช้า กระบี่กลับสามารถเข้าถึงตัวคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว!
บนเวที
กระบี่ที่มีสีดำเหมือนหยดหมึกปะทะเข้ากับกระบี่สีเงินสว่างไสว
แล้วโลกทั้งใบก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ
ราวกับมีใครสักคนกดปุ่มปิดเสียงระหว่างรับชมภาพยนต์
ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งยุติการเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง
ในตำแหน่งที่คมกระบี่ของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน มวลอากาศเกิดความปั่นป่วนรุนแรงอย่างบ้าคลั่ง
แต่ในที่สุด ภาพและเสียงก็กลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
พลังลมปราณแผ่กระจายไปรอบทิศทาง
บังเกิดประกายไฟสาดกระจายออกมาจากการปะทะกันของกระบี่สีดำและกระบี่สีเงินต่อเนื่อง
กำแพงเวทมนตร์ที่ถูกก่อสร้างขึ้นรอบเวทีเกิดการสั่นสะเทือนครั้งแล้วครั้งเล่า
ครืน!
มวลอากาศระเบิดตัวเสียงดังตูมตาม
จุดศูนย์กลางของแรงระเบิดเกิดขึ้นมาจากตำแหน่งที่กระบี่ของทั้งสองฝ่ายปะทะกันไม่หยุดยั้ง
สิ่งที่ทุกคนเห็นเป็นภาพสุดท้าย ก็คือกระบี่สีเงินกำลังระเบิดลำแสงเป็นประกายเจิดจ้า จนทำให้คนดูจำนวนมากต้องเบือนหน้าหนีด้วยความแสบตา…
“โอ๊ย ดวงตาของข้าจะบอดไหมเนี่ย…”
“ทำไมถึงได้แสบตาอย่างนี้… อ๊าก”
แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น
นอกจากประกายกระบี่จะสาดแสงสว่างแสบตาคนดูแล้ว เสียงระเบิดที่เกิดขึ้นบนเวทีประลอง ก็ยังทำให้กลุ่มคนดูหูอื้ออีกเป็นจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะผู้คนที่จับจองพื้นที่ติดขอบเวที แม้แต่กำแพงเวทมนตร์เหล่านั้น ก็ไม่สามารถช่วยเหลือดวงตาและใบหูของพวกเขาได้อีกแล้ว
เพราะนี่คือการปะทะกันของอัจฉริยะมือกระบี่รุ่นใหม่อย่างแท้จริง
นี่คือการต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
นี่คือการต่อสู้ที่น่ากลัว
ขณะนี้ ไม่มีใครสามารถนั่งอยู่บนเก้าอี้ได้อีกต่อไป
ทุกคนลุกขึ้นยืนด้วยความลุ้นระทึก
ทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าผลการต่อสู้บนเวทีเป็นอย่างไร
แม้บางคนยังไม่หายแสบตา ก็ต้องฝืนตัวเองกลับไปมองอีกครั้ง
ใครจะเป็นฝ่ายชนะ?
นี่คือคำถามสำคัญที่เกิดขึ้นในหัวใจของกลุ่มคนดู
ไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินไปนานมากแค่ไหน
แต่แสงสว่างแสบตาบนเวทีได้เริ่มเลือนรางลงไปแล้ว
ภายใต้แสงสว่างที่พร่ามัว พวกเขาได้เห็นเงาร่างที่งามสง่าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนหยัดอยู่กลางเวทีอย่างองอาจผ่าเผย แน่วแน่และแข็งแกร่ง ไม่ต่างไปจากภูผาหินสูงใหญ่
สายลมโชยพัด
ชายเสื้อคลุมสีขาวปลิวไสว
บุคคลที่ยืนอยู่คือเจียงจี้หลิว
ในมือของเขามีกระบี่สีดำทมิฬ
เสื้อขาวราวหิมะ กระบี่สีดำราวหยดหมึก
นี่คือความน่ากลัวของมือกระบี่พันหน้า เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมโดดเด่นเป็นสง่า พลังลมปราณคงที่ปราศจากความปรวนแปร
มีเพียงเนื้อผ้าฝั่งหัวไหล่ขวาเท่านั้นที่เป็นรอยฉีกขาดจากคมกระบี่
แต่คมกระบี่ไม่ได้บาดลงไปบนผิวหนังของเขาสักนิด
เพียงทำให้เนื้อผ้าขาดออกจากกันเล็กน้อยเท่านั้น
“เจียงจี้หลิวเป็นฝ่ายชนะหรือนี่…”
ไม่มีใครทราบว่าผู้ใดเป็นคนส่งเสียงตะโกนออกมา
แต่นี่คือการประลองที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน ผู้ชนะเป็นฝ่ายที่รอดชีวิต และผู้แพ้ก็ต้องเป็นฝ่ายหมดลมหายใจ
“ไม่นะ…”
บังเกิดเสียงร้องไห้โหยหวนดังขึ้นมาจากกลุ่มคนดู
เด็กสาวในชุดเสื้อคลุมสีดำพลันทะยานร่างตรงไปทางเวทีประลอง
หมวกคลุมศีรษะของนางเลื่อนหลุดออก
เปิดเผยให้เห็นถึงใบหน้าขาวเนียนใสบริสุทธิ์และน้ำตาที่กำลังไหลอาบสองแก้มสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับกับแสงตะวัน
นางคือเยว่เว่ยหยาง…