ตอนที่ 456 คอยดูฝีมือของข้าให้ดี
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเห็นแล้วหรือยัง?”
หลินเป่ยเฉินยกปืนในมือขึ้นเล็งไปที่ฝ่ายตรงข้าม ในเวลาเดียวกันนั้น วังน้ำวนสีดำเหนือศีรษะก็สลายหายไปในอากาศ “มนุษย์ผู้โง่เขลาอย่างเจ้า บัดนี้คงได้เข้าใจแล้วสินะว่า เทพีกระบี่มีความเมตตาข้ามากขนาดไหน… อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงจี้หลิวขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาที่ใช้มองคนปัญญาอ่อนผู้หนึ่ง
“เจ้าทำอะไรของเจ้า?”
เจียงจี้หลิวถามกลับมาเสียงเรียบ
เดิมทีเด็กหนุ่มเจ้าของฉายามือกระบี่พันหน้าเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินกำลังหาโอกาสหลบหนี แต่พฤติกรรมของฝ่ายตรงข้ามในเวลานี้กลับทำให้เขาไม่เข้าใจอะไรอีกต่อไปแล้ว
ทำอะไรอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินมองหน้าเจียงจี้หลิวและชูปืนอินทรีหิมะที่ถืออยู่ในมือให้ดูอย่างถนัดตา “เมื่อสักครู่ เจ้าไม่เห็นหลุมดำที่ปรากฏในอากาศหรืออย่างไร? เจ้าไม่เห็นหรือว่าในมือของข้าบัดนี้ มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ทั้งกระบอก?”
เจียงจี้หลิวขมวดคิ้วด้วยความมึนงงหนักมากกว่าเดิม “อาวุธศักดิ์สิทธิ์? หลุมดำ? เจ้าพูดอะไรของเจ้า ข้าไม่เห็นมีอะไรทั้งนั้น”
มองไม่เห็นจริงสิ?
หลินเป่ยเฉินกลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องตกตะลึงเสียแล้ว
ล้อกันเล่นหรือไง
หลังจากนั้น เขาก็หันหน้ามองกลุ่มคนดูที่อยู่รอบเวที
และจึงได้พบว่าสายตาที่ทุกคนกำลังจ้องมองมาที่เขา เป็นสายตาชนิดเดียวกับของเจียงจี้หลิว
ทุกคนจ้องมองเหมือนเขาเป็นคนสติเลอะเลือนผู้หนึ่ง
“ต่อให้เจ้าแกล้งทำตัวเป็นคนเสียสติ” จูปี้ฉีระเบิดเสียงหัวเราะ “แต่วันนี้เจ้าก็ไม่มีทางหนีรอดอีกแล้ว”
“จบสิ้นกัน…”
ฮันปู้ฮวยร้องไห้กระซิกๆ “อาการทางสมองของพี่เป่ยเฉินกลับมากำเริบอีกแล้ว”
หืม ?
ทำไมถึงเป็นแบบนี้อีกแล้วล่ะ?
ติงซานฉือ ฉู่เหินและคณะอาจารย์คนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีด้วยความทรมานใจ
ความหวังดับวูบลงแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย หลินเป่ยเฉินกลับมีอาการทางสมองกำเริบขึ้นมา
ในดวงตาของเยว่เว่ยหยางพลันเต็มไปด้วยหยดน้ำตา
บัดนี้ หัวใจของนักบวชสาวลอยขึ้นไปอยู่กับหลินเป่ยเฉินบนเวทีประลอง นางจับจ้องมองไปที่ร่างกายของเขาตาไม่กะพริบ มือทั้งสองข้างกำเป็นหมัดแน่น เยว่เว่ยหยางพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะอดกลั้นความรู้สึกของตนเอง…
เถียนเถียนรีบเขียนข้อความลงในสมุดจดด้วยความรวดเร็วว่า
“เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ : อย่าอายที่จะแกล้งทำตัวเป็นคนเสียสติเพื่อเอาชีวิตรอด นี่คือสิ่งที่ต้องใช้ความมุ่งมั่นในจิตใจระดับสูง และจงจำไว้ว่าการรอดชีวิตคือสิ่งสำคัญมากที่สุด”
เมื่อเขียนจบแล้ว อาจารย์หนุ่มก็ปิดสมุดบันทึกเสียงดังฉับ
หลินเป่ยเฉินจะสามารถรอดชีวิตได้หรือไม่?
กลุ่มคนดูจำนวนมากไม่แปลกใจที่พบว่าหลินเป่ยเฉินสามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะบรรดาคนที่รู้จักหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างดี
เพราะพวกเขาได้รับทราบข้อมูลมาก่อนหน้านี้ว่า หลินเป่ยเฉินมีวิชาที่ช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บติดตัว ดังนั้นการที่เขากลับมามีร่างกายแข็งแรงได้อีกครั้งในช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียว จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกประหลาดแต่อย่างใด
ดวงตาของจูปี้ฉีเป็นประกายแวววาว
เขาเกิดความรู้สึกไม่อยากให้หลินเป่ยเฉินต้องเสียชีวิตขึ้นมาแล้ว
จูปี้ฉีอยากจะจับเด็กหนุ่มคนนี้ไปดูดเลือดทั้งเป็น เพราะถ้าหลินเป่ยเฉินมีร่างกายที่สามารถเยียวยาตนเองได้จริง นั่นก็หมายความว่าเด็กหนุ่มจะเป็นคลังเลือดให้กับเขาได้ตลอดไป
นับเป็นความคิดที่ดีไม่น้อย
จูปี้ฉีเริ่มคิดหาทางที่จะไม่ต้องทำให้หลินเป่ยเฉินถึงแก่ความตายด้วยความตื่นเต้น
ย้อนกลับไปบนเวที
ในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินก็กำลังแสดงสีหน้าประหลาดใจสุดขีดออกมาเช่นกัน
เขากำลังทำอะไรอยู่…
ทำไมคนอื่นถึงมองไม่เห็นหลุมดำที่ปรากฏตัวในอากาศ แถมยังมองไม่เห็นปืนที่อยู่ในมือของเขาอีกด้วย?
สรุปว่า การที่เขาลงทุนเล่นใหญ่เล่นโตเมื่อสักครู่ ไม่มีใครมองเห็นภาพที่น่ามหัศจรรย์เหล่านั้นสักคนเลยหรือ?
หรือพูดอีกอย่างก็คือ สิ่งที่เขากระทำลงไปเมื่อสักครู่นี้เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์
ถ้าเป็นบนโลกมนุษย์ที่เขาจากมา นี่ก็คงเหมือนกับนักแสดงคนหนึ่งกำลังเล่นละครกับฉากกรีน สกรีนอันว่างเปล่า เพื่อไปใส่ภาพคอมพิวเตอร์กราฟิกเอาทีหลังสินะ?
แล้วความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของหลินเป่ยเฉิน
ให้ตายสิ
เขาก้มมองปืนพกสั้นที่ถืออยู่ในมือ
นี่ไม่ใช่ปืนอินทรีหิมะสักหน่อย
นี่มันปืนซีจีต่างหาก
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกเสียดายเงินขึ้นมารำไร
“ช่างแม่งเหอะวะ…”
พลัน หลินเป่ยเฉินถอนหายใจพร้อมกับมองหน้าเจียงจี้หลิว “กระบวนท่าที่ข้ากำลังจะโจมตีต่อไปนี้ เป็นกระบวนท่าที่มีพลังทำลายล้างรุนแรงที่สุดเท่าที่ข้าเคยใช้งานมา ขอให้เจ้าจงเตรียมตัวระวังความตายเอาไว้ล่วงหน้า…”
ดวงตาของเจียงจี้หลิวกลับมาเป็นประกายวูบวาบด้วยความคึกคักอีกครั้ง “งั้นถ้าเจ้าโจมตีกระบวนท่านี้ไม่สำเร็จ เจ้าจะยอมรับความตายแต่โดยดีหรือไม่?”
“เฮอะ”
หลินเป่ยเฉินตวาดกลับไป “เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือไง? ถ้ากระบวนท่านี้โจมตีเจ้าไม่สำเร็จ ข้าก็หันไปใช้กระบวนท่าอื่นต่อไปสิ”
เจียงจี้หลิวพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“เอาเถอะ เจ้าอยากโจมตีก็เข้ามา”
เด็กหนุ่มเจ้าของฉายากระบี่พันหน้ายกกระบี่ขึ้นระดับหน้าอก
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
แล้วเขาก็ถามเสี่ยวจี้ถึงวิธีการใช้งานปืนอินทรีหิมะเบื้องต้น
“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”
หลังค้นดูข้อมูลอย่างรวดเร็ว ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะก็ตอบกลับมาว่า “ปืนกระบอกนี้จะใช้พลังลมปราณแทนลูกกระสุนเจ้าค่ะ เมื่อนายท่านเล็งเป้าหมายแล้ว ก็สามารถเหนี่ยวไกยิงได้ทันที”
“ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ง่ายขนาดนั้นเลยเจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึก
มิน่าล่ะ เขาถึงไม่เห็นมีกระสุนปืนวางขายในแอป Taobao
นี่คือปืนที่ผ่านการดัดแปลงมาแล้วจริงๆ ด้วย
เมื่อใช้พลังลมปราณแทนลูกกระสุน ก็หมายความว่าเขาสามารถยิงปืนกระบอกนี้ได้โดยไม่ต้องกลัวกระสุนหมดใช่ไหม?
“อุ๊ย อิอิอิอิ…”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะคิกคักในขณะที่หันปืนซีจี… ไม่ใช่สิ หันปืนอินทรีหิมะเล็งไปที่เจียงจี้หลิว
ภาพที่ทุกคนกำลังเห็นในขณะนี้คือหลินเป่ยเฉินกำลังยกมือชี้หน้าคู่ต่อสู้ แต่นิ้วชี้ของเขากลับงอหงิกเหมือนตะขอในองศาที่แปลกประหลาด
นี่คือการโจมตีกระบวนท่าใหม่ของหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือ?
ช่างดูน่าตลกขบขันเสียเหลือเกิน
แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้ว
เขาโคจรพลังลมปราณใส่ลงไปในกระบอกปืน
แต่แล้วในทันใดนั้นเอง หลินเป่ยเฉินก็เกือบจะต้องส่งเสียงครางออกมาดังลั่นเวที
พลังลมปราณที่อยู่ในร่างกายของเขาถูกดูดเข้าไปในกระบอกปืนอินทรีหิมะอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งมันเป็นลักษณะเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือสูบพลังลมปราณไปจากตัวเขาระหว่างดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน และจำนวนพลังลมปราณที่ถูกดูดออกไปนั้นก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ
บัดซบเอ๊ย!
เขาลืมถามคำถามสำคัญไปเสียได้
ในการยิงปืน 1 นัด ต้องใช้ลมปราณมากแค่ไหน?
พลังลมปราณจะถูกดูดออกไปจากร่างกายของเขาจนหมดตัวเลยหรือเปล่า?
หลินเป่ยเฉินถึงกับตกตะลึงขึ้นมาทันที
แต่โชคดีที่ในวินาทีต่อมา เมื่อพลังลมปราณในร่างกายของเด็กหนุ่มถูกดูดออกไปได้ประมาณ 1 ใน 3 ส่วน ลวดลายอักขระที่อยู่บนปืนอินทรีหิมะก็เปล่งแสงเป็นประกายสว่างไสว
ไกปืนซึ่งเดิมทีพับอยู่ด้านในพลันเด้งออกมาอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมสำหรับให้หลินเป่ยเฉินเหนี่ยวยิงได้ทุกเมื่อ
หลินเป่ยเฉินเคยลองฝึกยิงปืนบนโลกมนุษย์อยู่ไม่กี่ครั้ง
แต่เขาก็พอจะรู้ว่าพื้นฐานที่สำคัญสุด คือต้องเล็งปลายกระบอกปืนให้ตรงเป้าหมาย
เขาเล็งปืนไปที่หน้าผากของเจียงจี้หลิว
แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเลื่อนลงมาเล็งที่หัวไหล่ซ้ายแทน
เดิมทีเขาไม่ได้อยากฆ่าหมอนี่อยู่แล้ว
ถือว่าไว้ชีวิตเอาบุญก็แล้วกัน
หลินเป่ยเฉินเพียงสงสัยว่าอานุภาพของปืนกระบอกนี้จะมีความรุนแรงมากขนาดไหน?
ได้เวลาที่จะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาแล้ว
“สหาย ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว”
พูดจบก็เหนี่ยวไกปืน
เปรี้ยง!
เสียงปืนดังกัมปนาท
มวลพลังลมปราณจำนวนมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากใจกลางมือขวาของหลินเป่ยเฉิน
ลูกกระสุนสีเงินพุ่งออกไป
จังหวะนั้น หัวใจของเจียงจี้หลิวกระตุกวูบ เพราะสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอันตรายที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน นี่คือคมเคียวยมทูตที่กำลังจะเกี่ยวลงมาบนลำคอของเขาแล้ว
เจียงจี้หลิวอยากจะกระโดดหลบ
แต่ก็สายเกินไป
เลือดเป็นสายระเบิดกระจายออกจากหัวไหล่ซ้ายของเขา
ในม่านหมอกเลือด แขนซ้ายของเจียงจี้หลิวแหลกสลายไปในพริบตา
เด็กหนุ่มไม่มีเวลาได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย
ในเวลาเดียวกันนี้
“เหวอออ…”
บังเกิดเสียงร้องโหยหวนด้วยความตกใจ แล้วทุกคนก็ได้เห็นร่างของหลินเป่ยเฉินลอยกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงเวทมนตร์ข้างเวทีอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะไถลลงไปนอนกองอยู่กับพื้นเวทีเป็นครั้งที่สอง…
ให้ตายสิ
“ทำไมแรงถีบเยอะแบบนี้วะ?”
เด็กหนุ่มอุทานอยู่ในใจ
นี่มันปืนพกสั้นธรรมดานะ ไม่ใช่ปืนไรเฟิลล่าสัตว์สักหน่อย
แต่เมื่อเงยหน้ามองไปข้างหน้าอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็ต้องอ้าปากค้าง
เพราะเขาพบว่าเจียงจี้หลิวถึงกับแขนขาดไปแล้วข้างหนึ่ง
นี่มัน…
มีอานุภาพน่ากลัวเกินไปแล้ว
เจียงจี้หลิวไม่สามารถรับมือได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อสักครู่ ถ้าเขายังคงเล็งปืนไปที่หน้าผากของเจียงจี้หลิวต่อไป
ป่านนี้ มือกระบี่พันหน้าก็คงกลายเป็นศพไร้ศีรษะไปแล้ว