ตอนที่ 462 หลายสิบคนตายในพริบตาเดียว
พวกเจ้ารู้จักข้าหรือไม่?
คำถามนี้เป็นเหมือนค้อนเหล็กที่ทุบลงไปบนหัวใจของชายฉกรรจ์ชุดดำ
แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้จัก
ก็จะไม่รู้จักได้อย่างไร
ในเมื่อหลินเป่ยเฉินมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วจักรวรรดิเสียขนาดนี้
ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาสามารถใช้วิชากระบี่อสนีบาตเอาชนะเจียงจี้หลิวและสังหารฉู่ฉู่เซียวได้ในพริบตาเดียว ก็ทำให้หลินเป่ยเฉินมีชื่อเสียงโด่งดังมากกว่าเดิม
ผู้คนจำนวนมากให้ความสนใจที่เด็กหนุ่มคนนี้
เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถต่อกรกับผู้ที่มีพลังระดับยอดปรมาจารย์ได้ทุกคน
หลินเป่ยเฉินเป็นเหมือนกับคนที่กำลังปีนขึ้นไปสู่ยอดพีระมิด โดยใช้มือกระบี่คนอื่นๆ เป็นขั้นบันไดเหยียบย่ำขึ้นไป
ดังนั้น การแสดงฝีมือของหลินเป่ยเฉินระหว่างการประลองที่เพิ่งผ่านพ้น จึงสั่นสะเทือนวงการมือกระบี่เป็นอย่างยิ่ง
“คุณชายหลิน มาทางไหนรบกวนท่านกลับไปทางนั้น”
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ชุดดำพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลงเล็กน้อย “หลังจากนี้อีก 7 วัน คนของวิหารจากเมืองเฉียนหาวจะมาตรวจสอบวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่ง จึงห้ามมิให้มีผู้ใดเข้าออกเด็ดขาด พวกเราเพียงทำตามคำสั่งจากเบื้องบน หวังว่าคุณชายคงเข้าใจ”
“ไม่ทราบว่าใครเป็นคนสั่ง?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตอบออกมาในที่สุด “ใต้เท้าหยิงอู๋จีขอรับ”
“เป็นเขาเองหรือ?”
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงจนต้องถามออกมา “แต่เขามาจากสำนักมือปราบส่วนกลางเพื่อสืบสวนคดีฆาตกรรมไม่ใช่หรือ เหตุไฉนถึงได้มายุ่งเกี่ยวกับการตรวจสอบวิหารของเมืองเฉียนหาวด้วยเล่า? เฮ้อ ท่านอาของข้าคนนี้หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเองเสียแล้ว”
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ชุดดำรีบกล่าวต่อ “ใต้เท้าหยิงเพียงไม่อยากให้มีคนบริสุทธิ์ต้องได้รับบาดเจ็บน่ะขอรับ”
“ไม่อยากให้คนบริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ?”
หลินเป่ยเฉินเหยียดยิ้มเย้ยหยัน
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์พูดต่อด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างมากขึ้น “อย่าเสียเวลาพูดคุยกันอีกเลยขอรับ รบกวนคุณชายหลินเดินทางกลับไปได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินยังคงยิ้มแย้ม
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าบริเวณสองข้างทางของถนนเส้นนี้ มีชายฉกรรจ์ชุดดำอีกจำนวนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ภายใต้ต้นไม้หนาแน่นและสายฝนที่โปรยปรายอยู่ในความมืด และชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นก็กำลังจ้องมองมาที่เขาพร้อมกับแผ่รังสีสังหารออกมาไม่รู้ตัว
หลินเป่ยเฉินถึงกับได้ยินเสียงใครบางคนรั้งสายธนูแล้วด้วยซ้ำ
ลูกธนูกำลังจะถูกยิงออกมาในอีกไม่กี่อึดใจต่อจากนี้
มือสังหารหมายจะใช้จังหวะที่สายฝนโปรยปรายลงมาไม่หยุด ยิงลูกธนูใส่หลินเป่ยเฉินพร้อมกันหลายสิบดอกโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตั้งตัว
“พวกเจ้าคงไม่รู้เรื่องหนึ่งสินะ”
หลินเป่ยเฉินค่อยๆ หุบร่มและวางทิ้งไว้ข้างทาง
ก่อนยิงฟันยิ้มและพูดว่า “ข้าเองก็เป็นคนของวิหารเทพกระบี่เหมือนกัน”
เสียงของเขาแข็งกระด้างมากขึ้น
กระบี่เงินมาปรากฏอยู่ในมือเด็กหนุ่มจอมเสเพลตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ
หลินเป่ยเฉินจ้วงแทงกระบี่ออกไปข้างหน้า
กระบวนท่าที่ 1
ลำแสงกระบี่สาดประกายเจิดจ้า
ร่างของหัวหน้าชายฉกรรจ์ชุดดำที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตัวแข็งทื่อ
เพียงพริบตาเดียว หลินเป่ยเฉินก็หายตัวไปจากบริเวณนั้นเหมือนเป็นเพียงวิญญาณตนหนึ่ง
ประกายกระบี่สาดแสงเจิดจ้าสี่ครั้งซ้อน
แล้วประกายกระบี่เหล่านั้นก็หายลับไปภายใต้ม่านฝนอย่างรวดเร็ว
ต้องทราบก่อนว่าชายฉกรรจ์กลุ่มนี้นับเป็นมือกระบี่ฝีมือดี แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้มีโอกาสชักกระบี่ออกจากฝัก ตัวคนก็ยืนแข็งทื่อ แล้วพวกเขาก็พบว่าตนเองถูกสะกดจุดโดยไม่รู้ตัว…
ภายใต้ม่านฝนที่โปรยปรายลงมา บนหน้าอกของชายฉกรรจ์ทั้งห้าปรากฏบาดแผลฉกรรจ์ โลหิตสีแดงสดไหลทะลักออกมามากขึ้นและมากขึ้น สุดท้ายหน้าอกของพวกเขาก็ถูกย้อมเป็นสีแดงสด แล้วตัวคนก็ค่อยๆ ล้มตึงลงไปบนพื้นถนน
ลำแสงกระบี่ที่เป็นประกายเมื่อสักครู่นี้แทงทะลวงหัวใจ
นี่คือการโจมตีในระดับเดียวกับผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 3 ถึงระดับ 4
ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!
พลัน ลูกธนูถูกยิงออกมาจากในป่าสองข้างทาง
รู้ตัวอีกที ตรงตำแหน่งที่หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ในขณะนี้ ก็กำลังมีลูกธนูหลายสิบดอกพุ่งตรงเข้ามาหาเขาเป็นจุดเดียว
เด็กหนุ่มยิงฟันยิ้ม
งอเข่าลงเล็กน้อย
เปรี้ยง!
พลัน พื้นถนนยุบตัวลงไปด้วยแรงกดมหาศาล
ศูนย์กลางของแรงกดนั้นมาจากทั้งสองเท้าของหลินเป่ยเฉิน
พื้นถนนรอบตัวเขาเป็นรอยแตกร้าวเหมือนใยแมงมุม
หลินเป่ยเฉินกระโจนเข้าไปในป่าทางฝั่งขวามือของตนเองเหมือนพยัคฆ์ร้ายผู้ปราดเปรียว
ฉึก!
คมธนูปักลงไปบนพื้นถนนอันว่างเปล่า
แล้วในป่าสองฝั่งข้างถนน ก็บังเกิดเสียงลมหวีดหวิวดังขึ้นหลายครั้ง
ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงไปอย่างรวดเร็ว
เงียบจนน่าขนลุก
พริบตาต่อมา ชายชุดดำอีกหลายสิบคนพร้อมด้วยอาวุธประจำกายอย่างกระบี่และธนู ก็ปรากฏตัวออกมาจากชายป่าฝั่งซ้ายมือของถนน ทุกคนต่างมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ พวกเขารีบกระจายกำลังกันออกค้นหาทั่วผืนป่าทางฝั่งขวาของถนนอย่างไม่รอช้า…
แน่นอนว่าภารกิจของพวกเขาคือการสังหารหลินเป่ยเฉิน
แต่เมื่อค้นหากันไปได้ครึ่งทาง ฝีเท้าของพวกเขาก็ต้องหยุดชะงัก
เพราะว่าหลินเป่ยเฉินผู้สวมใส่เสื้อคลุมสีเขียวอยู่ดีๆ ก็เดินถือกระบี่เงินออกจากชายป่า กลับไปยืนอยู่บนถนนหน้าตาเฉย
เสื้อคลุมสีเขียวของเขาเปียกชุ่มด้วยเม็ดฝน
แต่กลับไม่ได้ดูสกปรกมอมแมมแม้แต่น้อย
มิหนำซ้ำ การที่เปียกฝนทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ่งทำให้หลินเป่ยเฉินมีเสน่ห์มากกว่าเดิมเสียอีก
“ถ้าปล่อยพวกเจ้าไป อีก 7 วันต่อจากนี้ พวกข้าก็มีงานเพิ่มโดยไม่จำเป็นน่ะสิ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม
กระบี่ในมือถูกตวัดออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด
คมกระบี่สีเงินเป็นประกายภายใต้หยาดฝน
หลินเป่ยเฉินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไม่น่าเชื่อ เขากระโดดเข้าไปในกลุ่มคนของฝ่ายตรงข้าม และใช้เวลาไม่กี่ลมหายใจ กระบี่ในมือของเด็กหนุ่มก็ถูกสอดคืนกลับเข้าไปในฝักเสียงดังฉับ
หลินเป่ยเฉินเดินไปหยิบร่มที่วางทิ้งไว้ข้างทางขึ้นมากางออกอีกครั้ง
เขาเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
“เฮ้อ อยากระเบิดพลังลมปราณไล่ฝนแบบอาจารย์ได้เหมือนกันนะเนี่ย จะได้ไม่ต้องมีสภาพเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้”
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า
นี่คือสถานการณ์ที่เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ
ถ้าจะไม่ให้ร่างกายเปียกฝน เขาก็ต้องโคจรพลังปราณธาตุไฟ แต่นั่นก็จะทำให้เขาต้องเปลือยกายต่อหน้าทุกคนอีก
ฝนตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
ได้ยินเสียงฟ้าคำรามดังมาจากเบื้องบน
เมื่อเงาหลังของหลินเป่ยเฉินเดินหายลับไปจากถนนบนภูเขา ร่างของบรรดาชายฉกรรจ์ชุดดำที่ยืนแข็งค้าง ก็ทยอยล้มลงไปทีละคนสองคน
บนหน้าอก ลำคอ หรือบริเวณหน้าผาก…
ปรากฏรูกระบี่มีเลือดพวยพุ่งออกมาตลอดเวลา เพียงไม่นาน สายเลือดก็ไหลนองเต็มพื้นถนน กลายเป็นลำธารขนาดเล็กไหลไปตามรางระบายน้ำร่วมกับสายฝนจากฟากฟ้า… แต่เพียงพริบตาเดียว หยาดฝนก็ชะล้างคราบเลือดทั้งหมดสลายสิ้น!
ในอากาศไม่มีกลิ่นคาวเลือด
สายฝนเย็นฉ่ำชะล้างสิ่งสกปรกบนพื้นดิน
คนหลายสิบคนถูกฆ่าตายในพริบตาเดียว
…
หลินเป่ยเฉินเดินมาถึงวิหารเทพกระบี่ในที่สุด
เขาได้ยินเสียงใสๆ กำลังสวดมนต์มาจากส่วนลึกในตัววิหาร
นักบวชสาวที่มีอายุประมาณ 15 – 16 ปีกลุ่มหนึ่ง กำลังคุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นเทพีกระบี่ในชุดกระโปรงยาวสีขาวสะอาดบริสุทธิ์
“ขออำนาจแห่งเทพีกระบี่ ได้โปรดช่วยปัดเป่าความมืดมิดและนำมาซึ่งรุ่งอรุณแห่งแสงสว่าง…”
“เมื่อความมืดมิดปกคลุม ชีวิตของพวกเราก็อยู่ในกำมือของท่านแล้ว!”
เสียงสวดภาวนาเหล่านั้นดังกังวานไปทั่วตัววิหาร
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองกำลังดูการฉายภาพ 3 มิติอย่างไรอย่างนั้น
เขายืนอยู่ที่ปากทางเข้าตัววิหาร ตั้งใจจะใช้อุณหภูมิร่างกายของตนเองทำให้เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มแห้งเสียก่อน
หลินเป่ยเฉินรู้จักนักบวชสาวเหล่านี้เกือบทุกคนแล้ว
ตลอดระยะเวลาหลายวันก่อนหน้านี้ เขาต้องมาเรียนพิเศษกับนักพรตหญิงชิน จึงมีโอกาสได้พูดคุยสนทนากับพวกนางบ่อยครั้ง
ตอนที่อยู่กับนักบวชสาวกลุ่มนี้ หลินเป่ยเฉินมีความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ เหมือนได้ย้อนกลับไปใช้ชีวิตสมัยเรียนมัธยมในโรงเรียนที่โลกใบเก่า
นี่คือความรู้สึกที่หาไม่ได้ในสถานศึกษากระบี่ที่สาม
พวกนางเป็นเพียงเด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์ แต่กำลังจะต้องพบเจอการทดสอบอันหนักหน่วงถึงชีวิต
ทำไมโลกถึงได้โหดร้ายเช่นนี้หนอ
หากวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ก็ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่านักบวชสาวเหล่านี้จะต้องพบเจอกับชะตากรรมเช่นไรบ้างในฐานะของ ‘ผู้แอบอ้างเทพเจ้า’
แต่แน่นอนว่ามันคงเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากกว่าความตายหลายเท่านัก
หลินเป่ยเฉินยืนถอนหายใจอยู่หน้าประตู
แต่แล้วกลับมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านหลัง
กลิ่นหอมที่คุ้ฟนเคยโชยมาเตะจมูก
หลินเป่ยเฉินรู้ตั้งแต่ยังไม่หันไปมองว่าเป็นใครเดินมาถึงข้างตัว
เด็กหนุ่มค่อยๆ หันไปอย่างเชื่องช้า
สิ่งที่เขาพบก็คือใบหน้าที่สวยงามของนักพรตหญิงชิน ผู้มีความสมบูรณ์แบบในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นกิริยาวาจาหรือเรือนร่างอรชร
“เจ้ามาแล้วหรือ?”
นักพรตหญิงชินทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ ก่อนจะยื่นเสื้อคลุมสีขาวสะอาดตัวหนึ่งมาให้ “ทำไมเจ้าถึงไม่ใช้พลังปราณธาตุไฟ? ถ้าเจ้าใช้ ก็ไม่ต้องตัวเปียกขนาดนี้”
ฮื่อ
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบด้วยความซาบซึ้ง
นักพรตหญิงชินเห็นฝนตกและกลัวว่าเขาจะตัวเปียก จึงได้เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ผลัดเปลี่ยนล่วงหน้าเลยเหรอเนี่ย
นับว่านักพรตหญิงชินเป็นห่วงเป็นใยเขาจริงๆ
ให้ตายเถอะ
หลินเป่ยเฉินรับเสื้อคลุมมาถือไว้
นักพรตหญิงชินขอรับ ข้าพร้อมถวายชีวิตให้ท่านแล้วล่ะ