ตอนที่ 463 ว่าไง สบายดีไหม
ตะเกียงไฟอบอุ่น กลิ่นน้ำชาลอยคละคลุ้งในอากาศ
หลินเป่ยเฉินอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่เรียบร้อย ขณะนี้เขากำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่กับนักพรตหญิงชินบริเวณที่พักติดลานโล่งริมหน้าผาด้านหลังวิหารเทพกระบี่
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเรียบง่าย
เยว่เว่ยหยางก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
“กายเจ้ามีกลิ่นคาวเลือด ไม่ทราบว่าเจ้าลงมือฆ่าใครระหว่างเดินทางขึ้นเขามาหรือเปล่า?”
หัวหน้านักบวชสาวทำจมูกฟุดฟิดและค้นพบสิ่งผิดปกติ
“ท่านนักพรตได้กลิ่นคาวเลือดด้วยหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักไปทันที
เขาว่าตนเองอาบน้ำจนร่างกายสะอาดหมดจดแล้วนะ
ทำไมนักพรตหญิงชินยังได้กลิ่นคาวเลือดอยู่อีกล่ะเนี่ย?
เห็นทีในอนาคตเขาคงแต่งงานกับนางไม่ได้เสียแล้ว
จมูกดีขนาดนี้ ถ้าเกิดแต่งงานกันขึ้นมา เวลาที่หลินเป่ยเฉินหนีไปเที่ยวหอนางโลมหรือไปสนิทชิดใกล้กับสตรีอื่น ก็คงไม่สามารถหลบซ่อนการดมกลิ่นของนักพรตหญิงชินได้เลยแม้แต่น้อย
เยว่เว่ยหยางก็กำลังทำจมูกฟุดฟิดอยู่เช่นกัน
นักพรตหญิงชินตอบกลับมาว่า “ข้ามีความไวต่อการสัมผัสจิตสังหารมากกว่าคนปกติ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ แต่ไม่รู้เด็กหนุ่มเห็นภาพหลอนหรืออะไร อยู่ดีๆ เขาก็ชะงักกึก ทำสีหน้าตกใจเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็อุทานออกมาว่า “ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่…”
หลินเป่ยเฉินวางถ้วยน้ำชาที่นักพรตหญิงชินเป็นคนชงให้เขาด้วยตนเองลง ก่อนที่จะรีบลุกขึ้นและวิ่งออกไปจากโต๊ะน้ำชา
นักพรตหญิงชินกับเยว่เว่ยหยางเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
“พี่เป่ยเฉิน มีอะไรหรือเจ้าคะ?”
เยว่เว่ยหยางลุกขึ้น ทำท่าจะไล่ตามไป
หลินเป่ยเฉินเปิดประตูและหันมาตอบว่า “ไม่มีอะไร ข้าปวดท้องอยากไปเข้าห้องน้ำ… โอ๊ย อึจะแตกแล้ว… เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวข้ากลับมา”
แล้วเด็กหนุ่มก็พุ่งออกไปจากประตูเหมือนเกาทัณฑ์หลุดออกจากแหล่ง เขาวิ่งตะบึงฝ่าสายฝนออกไปอีกครั้ง
เยว่เว่ยหยางหน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะน้ำชาดังเดิม
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เด็กสาวรู้สึกเป็นห่วงหลินเป่ยเฉินจับใจ จึงตั้งใจว่าเมื่อมีเวลากลับมาพบหน้าเขาอีกครั้ง นางก็จะเกาะติดอยู่กับเขาให้ได้นานที่สุด แต่ถึงขนาดจะให้ตามเข้าไปในห้องส้วม เยว่เว่ยหยางก็ทำไม่ได้หรอก
นักพรตหญิงชินมองสีหน้าของลูกศิษย์สาวด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาวเล็กน้อย
…
วูบ!
หลินเป่ยเฉินพุ่งกายฝ่าสายฝนไปข้างหน้า
ถึงแม้ว่าพลังลมปราณของเขาจะยังไม่ฟื้นฟูขึ้นมาเต็มที่ แต่ด้วยความที่มีร่างกายแข็งแรงผิดมนุษย์ มันก็ทำให้หลินเป่ยเฉินสามารถวิ่งตะบึงได้รวดเร็วมากกว่าคนทั่วไป
“วันนี้เราประมาทเกินไป ถึงกับลืมขั้นตอนสำคัญไปได้ยังไงกันเนี่ย”
เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยความเศร้า
คงเป็นผลมาจากการที่เขาฝึกวิชากระบี่ 17 คาบสมุทรแน่ๆ
ตั้งแต่ที่ฝึกฝนวิชานี้ เขาก็มักจะลงมือด้วยวิธี ‘เดินหน้าฆ่าไม่ให้เหลือ’ และเมื่อลงมือสำเร็จแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ชอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า ‘พวกแม่งตายหมดแล้ว ไม่มีทางลุกขึ้นมาเอาเรื่องได้อีกเด็ดขาด’
หลินเป่ยเฉินถึงกับลืมตัดศีรษะคว้านหัวใจ
นี่เคยเป็นสิ่งที่เขาต้องทำทุกครั้งที่สังหารผู้คน
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหนื่อยใจกับตนเองยิ่งนัก
ในเวลาเดียวกันนี้
บนถนนที่ทอดขึ้นมาสู่ยอดเขา
ชายฉกรรจ์ชุดดำกลุ่มใหม่กำลังทำความสะอาดซากศพบนพื้นถนน
“เจ้าลองตรวจสอบดูหรือยังว่าใครเป็นคนทำ?”
ชายหนุ่มผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีม่วงถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“กราบเรียนคุณชายซู จากข่าวที่พวกข้าน้อยได้รับทราบมา ฆาตกรจะต้องเป็นหลินเป่ยเฉินแน่นอนขอรับ”
บุรุษหนุ่มที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ชุดดำเดินออกมาข้างหน้าและรายงานด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ข้าน้อยได้รับข้อมูลมาว่าพวกของชูฉือได้รับคำสั่งให้มาซุ่มโจมตีหลินเป่ยเฉินอยู่บริเวณนี้ ดูจากสถานที่เกิดเหตุ ข้าน้อยมั่นใจว่าการซุ่มโจมตีได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ฆาตกรมีฝีมือสูงส่งมากเกินไป ชูฉือเสียชีวิตโดยยังไม่ทันได้ชักกระบี่ออกมาด้วยซ้ำขอรับ!”
“หลินเป่ยเฉิน!”
ดวงตาของชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีม่วงผู้ถูกเรียกว่าคุณชายซูปรากฏความโกรธแค้นขึ้นมาทันที
“เท่ากับว่ามันขึ้นเขาไปได้สำเร็จอย่างนั้นหรือ? ดีล่ะ พวกเราจะได้ถือโอกาสนี้บุกขึ้นไปจัดการมันเสียเลย เมื่อนายท่านรู้ข่าวจะต้องดีใจมากแน่ๆ…”
ใบหน้าของคุณชายซูพลันเต็มไปด้วยความอำมหิต
เขาออกคำสั่งต่อด้วยเสียงดังกังวาน “บอกให้พวกเราวางยาพิษทั่วภูเขานี้ให้หมด รวมถึงแหล่งน้ำทุกแห่งที่หาเจอ และก็ออกประกาศอย่างเป็นทางการว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะหมดช่วงเวลาแห่งการตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้า ห้ามไม่ให้มีใครเข้าออกภูเขาลูกนี้แม้แต่คนเดียว… นี่คือครั้งแรกที่หน่วยรบมังกรดำของพวกเรามาปฏิบัติภารกิจต่างเมือง ทุกอย่างต้องปราศจากข้อผิดพลาด และพวกเราจะปล่อยให้เจ้าคุณชายเหลียนซานแย่งความดีความชอบไปไม่ได้เด็ดขาด…”
คำพูดยังไม่ทันจบลง…
“อ้าว ไม่ใช่พวกเดียวกันหรอกหรือ?”
เสียงที่บอกถึงความประหลาดใจดังขึ้น “แล้วนี่ก็หมายความว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนของหยิงอู๋จีสินะ”
คุณชายซูสะดุ้งโหยง
หันหน้าไปมองทิศทางของต้นเสียง
ไม่มีใครทราบว่าเด็กหนุ่มในชุดเสื้อสีน้ำเงินและมีเสื้อคลุมตัวนอกสีขาวสะอาดตาผู้นี้ มานั่งยองๆ หลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ คอยรับฟังบทสนทนาของพวกเขาด้วยความตื่นเต้นอยู่ข้างถนนตั้งแต่เมื่อไหร่
“หลินเป่ยเฉิน?”
คุณชายซูหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ว่าไง สบายดีไหม?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มตอบกลับไป “ตากฝนแบบนี้ไม่หนาวรึ? ทำงานล่วงเวลากันหมดน่าจะเหนื่อยนะเนี่ย… เฮ้อ ต้องขออภัยพวกเจ้าด้วยจริงๆ ที่มาขัดบทสนทนา แต่พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก คุยกันต่อไปเถอะ ทำเหมือนข้าไม่มีตัวตนก็ได้…”
ไม่มีตัวตนกับผีน่ะสิ
แล้วแบบนี้พวกเขาจะพูดคุยกันต่อได้อย่างไร?
คุณชายซูยกมือโบกสะบัด
แล้วชายฉกรรจ์ชุดดำหลายสิบนายที่ห้อมล้อมอยู่รอบกายพลันกระจายกำลังกันตั้งค่ายกลเตรียมโจมตีหลินเป่ยเฉิน พร้อมกันนั้น ผู้ที่ถือธนูก็ประทับลูกศร เล็งเป้าหมายตรงไปที่เด็กหนุ่มภายใต้ม่านฝนที่โปรยปรายลงมาไม่หยุดยั้ง
กระบี่เหล็กมิธริลเหน็บอยู่ข้างเอว
คันธนูคุณภาพสูง
สวมใส่ชุดเกราะสีดำสนิท
นี่คือหน่วยนักรบมังกรดำ
หน่วยรบพิเศษที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อนภายใต้คำสั่งของสำนักผู้ว่าการเมืองเฉียนหาว พวกเขามีหน้าที่คอยขจัดปัญหาเล็กใหญ่ที่ก่อกวนความสงบในการปกครองของท่านเจ้าเมือง นายทหารแต่ละคนที่อยู่ในหน่วยรบหน่วยนี้ มีพลังตั้งแต่ระดับปรมาจารย์ขึ้นไปถึงระดับยอดปรมาจารย์ทั้งสิ้น
แต่หน่วยนักรบมังกรดำไม่ค่อยมีชื่อเสียงนอกเมืองเฉียนหาวสักเท่าไหร่
“หลินเป่ยเฉิน เราไม่มีเรื่องบาดหมางกับเจ้า จงกลับขึ้นวิหารไปซะ” คุณชายซูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง “แต่เมื่อสักครู่ ข้าได้ยินเหมือนมีคนบอกว่านี่คือโอกาสเหมาะที่จะยกทัพขึ้นไปบดขยี้วิหารของข้าไม่ใช่หรือ เพราะเจ้าไม่อยากให้คุณชายเหลียนซานขโมยความดีความชอบไปแต่เพียงผู้เดียว นี่แสดงว่าพวกเจ้าคงไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่สินะ?”
คุณชายซูพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ “แล้วไงล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้ง “หรือว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของจูปี้ฉี?”
คุณชายซูพยักหน้า “มิผิด”
หลินเป่ยเฉินถามออกไปว่า “เจ้ารักอาจารย์ของตนเองหรือไม่?”
“อาจารย์เปรียบเสมือนบิดาคนที่สองของลูกศิษย์ ข้าย่อมมีความรักมอบให้เขาอยู่แล้ว…”
คุณชายซูขมวดคิ้ว
เขาไม่เข้าใจเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะถามออกมาทำไม
“อ๋อ ที่แท้เจ้าก็เป็นลูกศิษย์ของเขาที่มีนามว่าซูเต๋อนี่เอง”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าเช่นกัน
คุณชายซูชะงักไปเล็กน้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ข้าก็คาดเดาเอาเท่านั้นเอง…ในเมื่อเจ้าเป็นลูกศิษย์ของเขา ซ้ำยังมีความภักดีต่ออาจารย์ยิ่งกว่าสุนัขตัวน้อยๆ ถ้าเจ้าตายไปซะ จูปี้ฉีก็คงจะต้องเสียใจมากแน่ๆ”
พูดจบแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ถอดเสื้อคลุมสีขาวออกแขวนไว้บนกิ่งไม้ข้างทาง
จากนั้น เขาก็ยื่นมือออกมาข้างหน้า แล้วกระบี่เงินก็ปรากฏขึ้นในมือ
คุณชายซูขมวดคิ้วใบหน้ากระตุก “พวกเราฆ่ามันซะ”
ได้ยินเสียงสายธนูดีดตัวดังผึงผัง
ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!
ม่านฝนตกลงมาหนาแน่น
คมธนูเหล็กกล้าที่ถูกสั่งทำมาเป็นพิเศษของหน่วยนักรบมังกรดำเป็นประกายสว่างไสวอยู่ภายใต้ม่านฝน รังสีสังหารพุ่งตรงเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินอย่างหนาแน่นทุกทิศทุกทาง
ซูเต๋อไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว
เขาจำเป็นต้องสังหารหลินเป่ยเฉินเสียตั้งแต่ตอนนี้
หลินเป่ยเฉินยกกระบี่ขึ้นปัดป้องลูกธนูเหล่านั้น
ณ ขณะนี้ เด็กหนุ่มมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์
ลูกธนูธรรมดาเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้เลย
สายลมและสายฝนกระโชกแรง
โลหิตสาดกระจายราวกับดอกไม้เบ่งบานบนพื้นถนน
นักรบมังกรดำคนแล้วคนเล่าต้องตกตายไปภายใต้กระบี่สีเงิน
กระบวนท่าที่ 1 กระบวนท่าที่ 2 กระบวนท่าที่ 3
เพียง 3 กระบวนท่าก็สามารถกำจัดคู่ต่อสู้ได้หมดสิ้น
หลินเป่ยเฉินไม่จำเป็นต้องใช้พลังลมปราณช่วยเหลือเลยด้วยซ้ำ
เขาใช้กระบวนท่าเหล่านั้นออกมาโดยอาศัยพละกำลังของร่างกายเพียงอย่างเดียว
เหล่าสมาชิกของหน่วยนักรบมังกรดำไม่คาดคิดเลยว่าลูกธนูของพวกเขาจะใช้กับหลินเป่ยเฉินไม่ได้ผลถึงขนาดนี้
แม้แต่ซูเต๋อ ซึ่งมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลาย ก็ยังไม่คาดคิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้
เพียงสายลมพัดผ่าน
ก็มีคนตาย
ผ่านไปชั่วชงน้ำชา 1 ถ้วย นายทหารจากหน่วยรบมังกรดำหลายสิบชีวิต ก็ต้องตกตายภายใต้กระบี่ของหลินเป่ยเฉิน
รวมถึงคุณชายซูด้วยเช่นกัน
ไม่มีใครรอดชีวิต
ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินไม่ลืมตัดศีรษะคว้านหัวใจอีกแล้ว
เขาจัดการทีละศพ
ไม่ลืมตรวจค้นร่างกายดูว่าผู้ตายพกของมีค่าใดมาบ้างหรือไม่
หลินเป่ยเฉินได้ของติดมือกลับมาเป็นเหรียญทองคำจำนวนนับพันเหรียญ และคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์อีกจำนวนหนึ่ง
ส่วนของที่เหลือนอกจากนั้นก็เผาไหม้ไปกับเปลวไฟสีเงินยวง
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็เช็ดคราบเลือดบนกระบี่กับแขนเสื้อคลุมของตนเอง ก่อนจะอัปโหลดมันขึ้นไปเก็บไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์
สายฝนตกกระหน่ำลงมาหนักมากขึ้น
ต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวชอุ่มรอบบริเวณเอนตัวไปกับแรงฝนที่ตกลงมากระทบ
หลินเป่ยเฉินเดินกลับไปหยิบเสื้อคลุมมาจากกิ่งไม้ที่เขาแขวนเอาไว้ เมื่อหันไปเห็นศพคนตายที่นอนกองระเกะระกะบนพื้นถนน ก็อดส่ายหัวไม่ได้
“ต้องโทษพวกนายเองนะที่รนหาที่ตาย…”
“ฉันก็แค่ตั้งใจกลับมาตัดหัวคว้านหัวใจศพชุดเก่าเท่านั้น”
“แล้วก็อย่าหาว่าลงมือด้วยความใจร้ายเกินไปเลย เพราะอีก 7 วันต่อจากนี้ พวกนายก็คงใจร้ายยิ่งกว่าฉันอีก ฉันมีคนที่ต้องปกป้อง เพราะฉะนั้น พวกนายมีแต่ต้องตายไปซะ”
เมื่อสวมใส่เสื้อคลุมเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็หันหลังกลับและวิ่งขึ้นไปที่วิหารบนยอดเขาอีกครั้ง