ตอนที่ 464 อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิด
เฮ้อ
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ต้องกลายเป็นคนแบบที่เขาเกลียดชังมากที่สุดแล้ว
คนที่ต้องพัวพันอยู่กับการฆ่าคน
ในอดีต หลินเป่ยเฉินอาจเคยลงมือสังหารหมู่ศัตรูมาแล้วหลายครั้ง
แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในหุบเขาชายแดนเหนือ หรือเหตุการณ์ในกระท่อมร้าง ต่างก็มีปัจจัยที่ทำให้หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องลงมือเพื่อช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ หากเขาไม่ทำ ก็ต้องเป็นตัวเขาเอง หรือไม่ก็เป็นมิตรสหายใกล้ตัวที่ต้องเสียชีวิตไม่คนใดก็คนหนึ่ง
ในสถานการณ์เหล่านั้น หลินเป่ยเฉินไม่มีทางเลือก
แต่ครั้งนี้ ตอนที่เขาเดินกางร่มขึ้นสู่ยอดเขาและได้เผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ 5 คนแรกนั้น หลินเป่ยเฉินมีทางเลือก
เขาเลือกที่จะกลับไปก่อนก็ได้
เขาเลือกที่จะวางแผนระยะยาวก็ได้
แต่เด็กหนุ่มไม่อยากจะอยู่เฉยๆ อีกต่อไปแล้ว
บนวิหารที่ตั้งอยู่บนยอดเขาลูกนี้ มีคนที่หลินเป่ยเฉินห่วงใยอยู่มากมาย
ผู้คนเหล่านั้นเป็นคนที่หลินเป่ยเฉินอยากจะปกป้อง
ดังนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับพวกชายฉกรรจ์ชุดดำ หลินเป่ยเฉินจึงไม่เหลือความเมตตาให้แก่ผู้เป็นศัตรูอีกแล้ว
เจ็ดวันหลังจากนี้ ชายฉกรรจ์ชุดดำกลุ่มนี้ก็ต้องยกขบวนมาไล่ล่าสังหารนักบวชสาวบนยอดเขา
หลินเป่ยเฉินไม่มีทางปล่อยให้เรื่องราวเช่นนั้นเกิดขึ้นได้เด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้ เขามีแต่ต้องชักกระบี่ออกมา
เขาต้องฆ่าคนทั้งที่ไม่อยากฆ่า
เขาต้องฆ่าผู้คนเพื่อปกป้องผู้คน
เรื่องบาปกรรมเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน
“ให้ตายสิ เรานี่ก็มีนิสัยเหมือนพระเอกหนังเหมือนกันนะ…”
หลินเป่ยเฉินเดินกลับขึ้นไปบนยอดเขา ความคิดอย่างหนึ่งแจ่มชัดในหัวสมอง
ใช่แล้ว
เขาก็เป็นอย่างที่เขาเป็นนี่แหละ
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีหลากหลายแง่มุมให้ค้นหา
หลินเป่ยเฉินเดินกลับไปยังที่พักของนักพรตหญิงชินอย่างมีความสุข
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของมวลบุปผา
หลินเป่ยเฉินก้มมองเสื้อผ้าที่เปียกปอนของตนเอง พร้อมกับหัวเราะแหะๆ “ท่านนักพรตขอรับ ไม่ทราบว่าข้าน้อยจะขอใช้ห้องอาบน้ำของท่านอีกสักครั้งได้หรือไม่? อยู่แบบนี้… มันชักจะหนาว… เกินไป”
นักพรตหญิงชินมองใบหน้าที่หล่อเหลาของเด็กหนุ่ม ในดวงตาของนางปรากฏความอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย แล้วหัวหน้านักบวชสาวก็หันไปพยักหน้าให้กับเยว่เว่ยหยาง
“เดี๋ยวข้าจะพาท่านไปเองเจ้าค่ะ”
เยว่เว่ยหยางลุกขึ้นยืนคว้าแขนหลินเป่ยเฉินและเดินพาเขาไปยังห้องอาบน้ำ
ไม่นานหลังจากนั้น
หลินเป่ยเฉินก็อาบน้ำอุ่นผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นอีกครั้งพร้อมกับความสดชื่น
“เมื่อสักครู่เจ้าไปฆ่าคนมาอีกแล้วหรือ?”
นักพรตหญิงชินสำรวจมองเด็กหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาคาดโทษ
“เอ่อ ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจนะขอรับ ได้โปรดฟังคำอธิบายจากข้าน้อยก่อน… คือแบบว่ามีคนใจร้ายมาขวางถนน หมายจะปล้นทรัพย์ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ข้าน้อยอุตส่าห์เดินเข้าไปขับไล่พวกมันดีๆ แต่พวกมันไม่ยอมไป ท่านไม่เห็นหรอกว่าคนพวกนั้นดูถูกเทพีกระบี่ถึงขนาดไหน ถึงข้าน้อยไม่อยากลงมือ ก็มีแต่ต้องลงมือแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอย่างลื่นไหล
“ไม่เห็นต้องอธิบายขนาดนั้นก็ได้”
เมื่อเห็นความลำบากใจบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน นักพรตหญิงชินก็กล่าวต่อเสียงเรียบ “ผู้คนที่ตายภายใต้กระบี่ของข้า ล้วนเป็นคนไม่ดีมากกว่าเจ้าหลายร้อยเท่า เจ้าแค่ยังไม่คุ้นชินกับการสังหารผู้คนเท่านั้น รอให้เจ้าโตกว่านี้ก่อนเถิด เจ้าจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเคยสังหารใครมาบ้าง”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
เป็นคนไม่ดีมากกว่าเขาหลายร้อยเท่าเลยเหรอ?
ทันใดนั้น ความรู้สึกผิดในจิตใจต่อการสังหารกลุ่มชายชุดดำเมื่อสักครู่ ก็สลายหายไปจากหัวใจของหลินเป่ยเฉินอย่างรวดเร็ว
นักพรตหญิงชินขอรับ นี่ท่านพูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่เนี่ย?
ถ้าเป็นแบบนี้ หมายความว่าการนับถือเทพีกระบี่ ไม่มีข้อห้ามในการสังหารผู้คนหรืออย่างไร?
“ในโลกใบนี้ การฆ่าคนไม่ใช่เรื่องยาก… แต่เรื่องที่ยากคือการตัดสินใจต่างหาก”
นักพรตหญิงชินกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ดูเหมือนข้าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร”
โอกาสนี้แหละวะ
หลินเป่ยเฉินเอียงหน้าทำมุม 45 องศา ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างและกล่าวออกมาอย่างแช่มช้าว่า “แต่ข้าน้อยจำต้องทำในสิ่งที่ตนเองก็ละอายแก่ใจขอรับ”
เด็กหนุ่มจำได้ดีว่าประโยคนี้ พวกพระเอกในนิยายกำลังภายในชอบพูดกันเหลือเกิน
และมันเป็นประโยคที่มีไว้สำหรับเอาชนะใจผู้คน
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจพูดออกมาตอนนี้
แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวังสุดขีด เพราะนักพรตหญิงชินไม่ได้มีแววตาซาบซึ้งไปกับคำพูดของเขาเลย
อ้าว?
ไม่เห็นเหมือนฉากในนิยายกำลังภายในเลยแฮะ
นักพรตหญิงชินไม่ได้รู้สึกอะไรไปกับคำพูดของเขาเป็นพิเศษ นางเพียงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจได้แล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก สำหรับเวลาหลายวันต่อจากนี้ ขอให้เจ้าพักอยู่บนตัววิหาร ข้าจะสอนเวทมนต์บางอย่างให้เจ้าได้เรียนรู้…”
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงไปทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น
นักพรตหญิงชินเป็นเหมือนหญิงสาวในฝันสำหรับเขา
เป็นคนที่หลินเป่ยเฉินอยากได้มาเป็นคู่ครอง
แต่นางอยากได้เขาเป็นลูกศิษย์เนี่ยนะ?
“แต่ว่า…”
หลินเป่ยเฉินพยายามหาข้ออ้าง “ข้าน้อยมีอาจารย์อยู่แล้วนะขอรับ ข้าน้อย…”
นักพรตหญิงชินพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม
ถึงแม้หลินเป่ยเฉินจะเป็นพวกปลิ้นปล้อนกะล่อนเจ้าเล่ห์ แต่อย่างน้อย เขาก็มีความภักดีต่ออาจารย์ของตนเองที่สุด
ทว่า นักพรตหญิงชินไม่รู้เลยว่าสาเหตุที่หลินเป่ยเฉินไม่อยากเป็นลูกศิษย์ของนาง ก็เพราะเขาเติบโตมากับการถูกสั่งสอนว่าความรักระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์คือเรื่องต้องห้าม ไม่สมควรเกิดขึ้นเด็ดขาด
นั่นหมายความว่าถ้าเขากลายเป็นลูกศิษย์ของนักพรตหญิงชิน…
หลินเป่ยเฉินก็คงไม่มีทางครองรักกับนางได้อีกเลยต่อจากนี้
ยังไงเขาก็ต้องปฏิเสธ
แต่นักพรตหญิงชินพูดต่อไปว่า “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถึงข้าจะสอนเวทมนต์ให้เจ้า แต่ระหว่างเจ้ากับข้า ไม่นับว่าเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์แต่อย่างใด ข้าเพียงช่วยชี้แนะหนทางสู่การใช้เวทมนต์ให้เจ้าได้รู้ก็เท่านั้นเอง”
“อ๋อ… งั้นก็แล้วไปขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “เป็นเช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่มีปัญหา”
“แต่ก่อนอื่น ข้าจำเป็นต้องทดสอบความคืบหน้าของเจ้าก่อน ไม่ทราบว่าการโคจรพลังตามหลักสูตรลมปราณนพเก้าของเจ้าไปถึงไหนแล้ว?”
นักพรตหญิงชินถามกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น
“ข้าน้อยตั้งใจฝึกทุกวันเลยขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าเขาฝึกทุกวันโดยใช้แอปในโทรศัพท์มือถือนั่นแหละ
นักพรตหญิงชินพยักหน้าด้วยความพอใจ “ยื่นมือออกมาสิ”
หลินเป่ยเฉินยื่นมือซ้ายออกไปให้นางโดยไม่รู้ตัว
“ยื่นมือออกมาทั้งสองข้าง” นักพรตหญิงชินพูด
เด็กหนุ่มยื่นมืออีกข้างออกไปอย่างว่าง่าย
มือทั้งสองข้างของหลินเป่ยเฉินขาวสะอาดนวลเนียนราวกับหยกแกะสลัก มีความสมบูรณ์แบบในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเล็บมือ หรือนิ้วที่เรียวยาวได้รูปทรง แม้แต่พังผืดบริเวณง่ามนิ้ว ก็ยังดูสวยงามและเต่งตึงได้อย่างน่าประหลาด
หลินเป่ยเฉินเพียงยื่นมือออกไปข้างหน้าทั้งสองข้าง
นักพรตหญิงชินก็วางมือของนางลงมาบนฝ่ามือของเขา
ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของหลินเป่ยเฉิน
ในจังหวะนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกล่องลอย
เขาไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้เลย
“หลับตาลงและเริ่มโคจรพลังด้วยวิชาลมปราณนพเก้า”
นักพรตหญิงชินกล่าวออกมาอย่างแช่มช้า
หลินเป่ยเฉินค่อยๆ หลับตาลงและโคจรพลังตามแบบฉบับของพวกนักบวชประจำวิหารเทพกระบี่
ลมหายใจของเขามั่นคง
ความคิดว้าวุ่นสลายหายไปจากสมอง
การโคจรพลังในลักษณะนี้มีความคล้ายคลึงกับการทำสมาธิ แต่มันให้ผลลัพธ์ที่ดีมากกว่ากันหลายเท่า
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินรับรู้แล้วว่าจิตใจของเขาอ่อนโยนมากขึ้น เมื่อโคจรพลังด้วยวิชาลมปราณนพเก้า
มันทำให้เขารู้สึกผิดต่อการฆ่าคนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ราวกับว่าในหัวใจที่มืดมน ได้มีคนเปิดแสงสว่างส่องนำทาง เผยให้เห็นถึงโลกใบใหม่ที่หลินเป่ยเฉินไม่เคยพบเจอ
เมื่อโคจรพลังได้อย่างมั่นคง หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเหมือนมีแสงสว่างพุ่งมาอยู่ตรงหน้า
เสมือนมีดวงดาวนับล้านดวงกำลังฉายแสงออกมา
หลินเป่ยเฉินลืมตาขึ้น และเขาก็พบว่าตนเองกำลังลอยละล่องอยู่ท่ามกลางจักรวาลที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ…
เบื้องหน้าเขาในขณะนี้ นักพรตหญิงชินกำลังลอยตัวอยู่ภายใต้แสงจันทร์อย่างงดงามบริสุทธิ์
“อย่าเพิ่งตกใจ นี่คืออาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดของข้า เมื่อเจ้าสามารถใช้วิชาลมปราณนพเก้าได้ในระดับที่สูงขึ้นแล้ว เจ้าก็จะสามารถเปิดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดของตนเองได้เช่นกัน”
นักพรตหญิงชินอธิบายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา