บทที่ 47 ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วย
หลี่ชิงสวนผายมือไปยังชายชราร่างท้วมท่าทางใจดีที่ยืนอยู่ข้างตัว ก่อนแนะนำว่า “นี่คือท่านขุนนางหลีลั่วหรันจากคฤหาสน์หลวง ท่านจะรับหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารการกิน การบันทึกผลคะแนน ไปจนถึงเรื่องราวอื่นๆ ในค่ายพักแห่งนี้…”
มีคนจากคฤหาสน์หลวงมายุ่งเกี่ยวกับการสอบคัดเลือกรอบสุดท้ายครั้งนี้ด้วยหรือ?
ชักรู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้วสิ
ติงซานฉือผู้เป็นตัวแทนอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ
หลี่ชิงสวนกล่าวต่อไปว่า “ส่วนตัวข้านั้นมีนามว่าหลี่ชิงสวน สังกัดอยู่กระทรวงศึกษาประจำเมืองหยุนเมิ่ง ข้ามีหน้าที่ดูแลการสอบคัดเลือกรอบสุดท้ายของศิษย์ชั้นปีที่ 2 ทุกคนขนานนามฉายาให้ข้าว่าบุรุษหน้าเย็น อีกไม่ช้าเดี๋ยวเจ้าก็รู้ว่าทำไม แต่วันนี้ ข้าขอเตือนพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย จากผู้เข้ารับการสอบคัดเลือก 100 คน จะมีเพียง 20 คนเท่านั้นที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป ดังนั้นข้าจึงหวังว่าศิษย์ทุกคนคงพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อคว้าโอกาสที่ดีงามเช่นนี้เอาไว้ให้ได้”
มีเพียง 20 คนจาก 100 คนเท่านั้น ที่จะได้เข้ารอบต่อไปอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
เท่ากับคัดคนออกไปถึง 8 ใน 10 เลยไม่ใช่หรือไง
ใจร้ายจัง
แต่แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ
เหตุที่เด็กหนุ่มอยากเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการสอบรอบสุดท้าย เพราะอยากได้ตราสัญลักษณ์ผู้มีพรสวรรค์เท่านั้น แต่ทว่าบรรยากาศของการแข่งขัน มันก็ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกคึกคักขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
อย่างน้อยในตอนนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกว่าตนเองมีความกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างยิ่ง
“ต่อจากนี้ จะเป็นกฎระเบียบของการสอบรอบสุดท้าย”
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัว สีหน้าเคร่งเครียดจริงจังมากกว่าเคย
“การสอบคัดเลือกจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการวันพรุ่งนี้ เมื่อแสงแรกของวันใหม่ปรากฏขึ้น ณ เส้นขอบฟ้า พวกเจ้าจะต้องออกจากค่ายพักเดินทางเข้าไปในป่าร้าง โดยมีภารกิจที่ต้องทำอยู่สองอย่าง คือหนึ่งล่าสัตว์ร้ายระดับต่ำ และสอง ตามหาเข็มกลัดดาราที่ซ่อนอยู่ภายในป่าให้เจอ…”
“สัตว์ที่ล่ามาได้จะเป็นอาหารของพวกเจ้าในอีกหลายวันข้างหน้า เพราะนับจากวันพรุ่งนี้ ทางค่ายจะงดให้น้ำให้อาหารกับผู้เข้าร่วมทุกคน เมื่อทุกคนเข้าไปอยู่ภายในป่าแล้ว ก็ต้องเอาตัวรอดด้วยสองมือของตัวเองให้ได้”
“เข็มกลัดดาราจะเป็นตัวตัดสินระดับคะแนน ในป่าร้างจะมีเข็มกลัดซ่อนอยู่ทั้งสิ้น 100 ชิ้น ทุกชิ้นที่สามารถนำกลับมาส่งมอบให้ค่ายพักได้ จะมีค่าเท่ากับ 10 คะแนน เมื่อการทดสอบทั้ง 10 วันจบลง จะมีเพียงศิษย์ผู้มีคะแนนเป็นอันดับสูงสุด 20 คนแรกเท่านั้น ถึงจะได้เข้าร่วมการคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์อย่างเป็นทางการ”
“ก่อนพระอาทิตย์ตกดินของทุกวัน ศิษย์ทุกคนต้องกลับมารายงานตัวที่ค่ายพัก”
“ห้ามสังหารผู้เข้าทดสอบคนอื่นเด็ดขาด”
“ห้ามทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บหรือพิการ”
“นอกจากนี้ก็ไม่มีกฎอื่นใดอีกแล้ว”
“พวกเจ้าทุกคนเข้าใจหรือไม่?”
หลี่ชิงสวนพูดเสียงดังชัดเจนเต็มสองรูหูรวดเดียวจบโดยไม่หยุดพัก
“เข้าใจขอรับ / เข้าใจเจ้าค่ะ”
เหล่าศิษย์ต่างพร้อมใจกันประสานเสียงตอบรับ
ส่วนใหญ่ ผู้เข้ารับการสอบคัดเลือกครั้งนี้นั้นล้วนแล้วแต่เคยผ่านการสอบคัดเลือกครั้งก่อนๆ มาแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงคุ้นเคยกับกฎระเบียบเหล่านี้เป็นอย่างดี
ผิดกับหลินเป่ยเฉินที่เมื่อฟังจบก็อดจุ๊ปากขึ้นมาไม่ได้
นี่ตกลงว่าพวกเขามาสอบคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์ หรือมาเข้าค่ายฝึกการเอาชีวิตรอดในป่ากันแน่?
ยิ่งไปกว่านั้น กฎระเบียบระหว่างการสอบก็เยอะแยะยุ่บยั่บหยุมหยิมเหลือเกิน
ให้ล่าสัตว์มาเป็นอาหารด้วยตัวเองน่ะไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ไอ้การให้ตามหาเข็มกลัดดาราอะไรนั่นเล่า เพียงแค่คิดก็รู้แล้วว่าต้องมีความวุ่นวายตามมาแน่นอน
คำพูดของหลี่ชิงสวนสามารถตีความได้อีกอย่างหนึ่งว่า…
นอกจากต้องตามหาเข็มกลัดดาราแล้ว
พวกเขายังต้องนำมันมาส่งมอบให้แก่หลีลั่วหรัน ซึ่งเป็นผู้ดูแลค่ายพักอีกด้วย
หมายความว่าตราบใดที่ไม่ได้ฆ่า หรือทำให้คนอื่นๆ บาดเจ็บหนักและพิการ ผู้เข้าแข่งขันก็สามารถแย่งชิงเข็มกลัดดาราจากผู้อื่นมาเป็นของตนเองได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญก็คือ นอกจากต้องตามหาเข็มกลัดดาราให้เจอแล้ว พวกเขาทุกคนยังต้องคอยปกป้องคุ้มครองไม่ให้มีใครขโมยมันไปจากตัวเองได้เด็ดขาด
อย่างหลังนี่แหละที่ทำยากสุด
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่หัวแถว เสแสร้งแกล้งทำเป็นตื่นเต้นดีใจ ร่วมส่งเสียงโห่ร้องไปพร้อมกับศิษย์จากสถานศึกษาอื่นๆ
หลี่ชิงสวนให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “เรื่องสุดท้าย คืนนี้หลังอาทิตย์ตกดิน พวกเราจะจัดงานเลี้ยงรอบกองไฟ พวกเจ้าทุกคนมีเวลาหนึ่งชั่วยามที่จะได้ทำความรู้จักกัน ระหว่างนี้ นับเป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเจ้าจะได้รับประทานอาหารให้อิ่มหนำ โปรดจำไว้ว่าพวกเจ้าสามารถรับประทานได้อย่างเดียวเท่านั้น ห้ามขโมยอาหารเก็บไว้กินทีหลังเด็ดขาด…เมื่อถึงวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน หรือระดับคะแนน ทุกอย่างล้วนกำหนดด้วยมือของพวกเจ้าเอง”
บรรดาศิษย์ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมาอีกครั้ง
จากนั้น พวกเขาก็แยกย้ายกันไป
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา
งานเลี้ยงรอบกองไฟเริ่มต้นขึ้น
เปลวไฟลุกโชนสว่างไสว โต๊ะหินถูกนำมาตั้งเรียงรายรอบกองไฟ อาหารบนโต๊ะประกอบไปด้วยเนื้อย่าง ผลไม้สด แพนเค้ก เครื่องดื่มและของหวานอีกหลายชนิด เมื่อความมืดมิดครอบคลุมท้องฟ้า กลิ่นหอมฉุยของอาหารยิ่งกระตุ้นให้น้ำลายสอมากขึ้น
แล้วค่ายพักแห่งนี้ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาในพริบตา
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายแวววาว
ตอนอยู่โลกมนุษย์ เขาเป็นพวกเอาแต่ปิดห้องเล่นเกมและสั่งอาหารมากินจากข้างนอก
ทว่าหลินเป่ยเฉินไม่ได้คิดถึงบรรยากาศเหล่านั้นอีกแล้ว
ก็อยู่อย่างนี้มีอิสรเสรีดีจะตาย ทำไมจะต้องคิดถึงการอุดอู้อยู่ในห้องแบบนั้นด้วยเล่า?
ตอนที่ติงซานฉือเดินผ่านหน้าไป หลินเป่ยเฉินไม่ได้ลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพ เพราะกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหินตัวหนึ่ง ก้มหน้าก้มตากินเนื้อย่างอย่างเอร็ดอร่อย
“เฮ้ย อร่อยเหลือเชื่อเลยแฮะ”
หลังจากลองชิมไปได้คำหนึ่ง ดวงตาของหลินเป่ยเฉินก็เป็นประกายแวววาว ถึงแม้ไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังรับประทานเนื้อตัวอะไรอยู่ก็ตาม
“เชี่ย ขนาดน้ำดื่มยังอร่อยเลย อมเปรี้ยวอมหวาน เหมือนน้ำพันซ์ไม่มีผิด”
“แพนเค้กก็อร่อยเหมือนกันนะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินรับประทานทุกอย่างที่ขวางหน้า เหมือนคนตายอดตายอยากมาแสนนาน
บรรยากาศรอบกายในขณะนี้เต็มไปด้วยความคึกคักแจ่มใส ศิษย์ทุกคนต่างก็พากันผ่อนคลายจิตใจ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งขันในวันพรุ่งนี้
ตามปกติแล้ว เวลานี้ทุกคนคงกำลังฝึกตนอยู่ในสถานศึกษา แต่วันนี้ พวกเขาได้อยู่ในค่ายพักที่ไม่มีกฎระเบียบ เด็กหนุ่มบางคนก็พยายามเดินเข้าหาเด็กสาว พร้อมกับชักแม่น้ำทั้งห้าหาเรื่องมาพูดคุยกับพวกนางให้ได้
ยิ่งโต๊ะไหนมีสาวงามนั่งอยู่ ก็จะมีเด็กหนุ่มยืนห้อมล้อมเป็นขบวนเลยทีเดียว
นอกจากนั้น บรรดาหนุ่มหล่อของสถานศึกษากระบี่หลวงต่างก็เป็นจุดสนใจของทุกคนเช่นกัน
ส่วนหลินเป่ยเฉินนั้น นานๆ ครั้งก็จะมีเด็กสาวจากต่างสถาบันที่สะดุดใจกับหน้าตาอันหล่อเหลาของเขา เดินเข้ามาทักทายบ้างเป็นระยะ
หากแต่เขาก็ไม่ได้สนใจพวกนางเลย
“จะทำตัวหยิ่งไปถึงไหนนะ?”
“เชอะ ยังไม่ติดสิบอันดับแรกด้วยซ้ำ ก็ทำตัวเย็นชาขนาดนี้แล้ว เขามีดีอะไรกัน?”
บรรดาเด็กสาวที่ถูกหลินเป่ยเฉินเมินใส่ พากันเดินสะบัดไหล่กลับไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
หลินเป่ยเฉินยังคงก้มหน้าก้มตารับประทานของอร่อย ไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น
เด็กหนุ่มจึงไม่รู้ตัวเลยว่า ในขณะนี้ ตนเองตกเป็นเป้าสายตาของเด็กสาวหน้าตาสวยงามคนหนึ่งตลอดเวลา นางแทบไม่ละสายตาไปจากใบหน้าเขาเลย ราวกับว่าเด็กสาวผู้นี้กำลังชั่งใจหรือขบคิดอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้น เงาร่างที่คุ้นเคยก็มาปรากฏตัวขึ้นข้างกายหลินเป่ยเฉิน
“นี่เจ้าไปตายอดตายอยากมาจากไหนฮึ?” ติงซานฉือพูดอะไรไม่ออกอีกแล้วเมื่อเห็นลูกศิษย์ผู้เป็นความหวังหนึ่งเดียวของสถานศึกษา แทบไม่เงยหน้าจากจานอาหารเลยด้วยซ้ำ “เจ้าเด็กโง่ โอกาสดีงามเช่นนี้ ยังมัวห่วงกินอยู่อีกหรือ?”
หลินเป่ยเฉินมีเนื้อย่างคาอยู่เต็มปาก ถามกลับไปพร้อมกับเคี้ยวตุ้ยๆ ว่า “เวลารับประทานอาหาร ถ้าไม่ทานอาหารแล้วอาจารย์จะให้ข้าทำอะไรเล่า? ท่านหลี่ชิงสวนบอกเองไม่ใช่หรือ พวกเราควรใช้โอกาสนี้รับประทานให้อิ่มหนำมากที่สุด”
ติงซานฉือถอนหายใจด้วยความเอือมระอา “เจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่? เขาก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้หมายความให้เจ้ามานั่งกินอาหารอย่างไม่ลืมหูลืมตาแบบนี้สักหน่อย”
“เอ่อ…ถ้าไม่ให้รับประทานอาหาร แล้วอย่างนั้นข้าควรทำอะไรขอรับ?” หลินเป่ยเฉินพูดเสียงอู้อี้เพราะมีของกินอยู่เต็มปาก
ติงซานฉืออยากจะเอาฝักกระบี่เขกหัวหลินเป่ยเฉินสักโป๊กหนึ่งตอนที่ข่มใจตอบว่า “แทนที่จะมานั่งกินอาหารอย่างนี้ เจ้าควรเอาเวลาไปผูกมิตรกับคนอื่นดีกว่า”
“เอาเวลาไปผูกมิตร?” หลินเป่ยเฉินทวนคำอย่างไม่เข้าใจ “เพื่ออะไรหรือขอรับ? ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วย?”
“เจ้า…”
ติงซานฉือทนไม่ไหวแล้ว ถึงกับใช้ฝักกระบี่เขกหัวเด็กหนุ่มเข้าจริงๆ เสียงดังโป๊ก
“ตั้งใจหน่อยสิ” อาจารย์ชรากัดฟันกรอด พยายามข่มอารมณ์ “นี่ข้ากำลังพูดจริงจังอยู่นะ ไม่ได้ล้อเล่น”