ตอนที่ 473 การประลองของอาจารย์มาถึงแล้ว
ในที่สุด ความหวังเล็กๆ ของหลินเป่ยเฉินก็เป็นจริง
เขากำลังจะได้พักอยู่ในบ้านหลังเดียวกับนักพรตหญิงชิน
ความจริง หลินเป่ยเฉินก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าเพราะเหตุใด เขาถึงไม่เคยมีใจให้แก่หลิงเฉินเลยสักครั้ง ทั้งที่เด็กสาวผู้นั้นก็ไม่ได้มีข้อบกพร่องอันใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปร่างหน้าตาหรือสถานะทางสังคม
แต่ในทางตรงกันข้าม หลินเป่ยเฉินกลับไม่สามารถห้ามความรู้สึกที่มีต่อนักพรตหญิงชินได้เลยสักนิด
นี่คือเรื่องราวที่แปลกประหลาด
แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง
บางทีอาจเป็นเพราะว่าวิญญาณของเขาไม่อยากคบหากับหลิงเฉิน เพราะนางมีอายุน้อยเกินไป จิตสำนึกของความเป็นมนุษย์โลกก็คือ เกิดเขาทำมิดีมิร้ายเด็กสาวอายุเพียง 14 – 15 ปีขึ้นมา มีหวังได้ติดคุกข้อหาพรากผู้เยาว์แน่ๆ
หรืออีกเหตุผลหนึ่งก็คือ นักพรตหญิงชินมีความสวยงามเกินต้านทาน ไม่ว่าใครได้อยู่ใกล้ก็เป็นต้องตกหลุมรักนางทั้งนั้น
หรือไม่แน่อาจจะเป็นเหตุผลทั้งสองข้อนี้รวมกันเลยก็ได้
หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจว่าตนเองจะมีวันได้รับทราบคำตอบในข้อสงสัยเหล่านี้หรือไม่
“แผนที่ในมือเจ้าเป็นสัญลักษณ์วางกับดักหรืออย่างไร?” นักพรตหญิงชินส่งเสียงถามขึ้นมาหลังสายตาของนางพบเข้ากับจุดวงกลมสีดำบนแผนที่ซึ่งหลินเป่ยเฉินกำลังถืออยู่ในมือ
“ใช่แล้วขอรับ กับดักพวกนี้… เป็นข้าน้อยออกไปวางเอาไว้เอง”
หลินเป่ยเฉินพลันยืดตัวยืนตรงและพูดด้วยความภูมิใจ “ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับสายฝนหรือสายลมที่รุนแรงมากแค่ไหน ข้าน้อยก็ไม่เคยหวาดกลัว หวังเพียงให้ท่านนักพรตหญิงชินและท่านนักบวชคนอื่นๆ มีความปลอดภัยที่สุดขอรับ ต่อให้ข้าน้อยต้องตากฝนออกไปวางกับดักพวกนี้ทุกวัน ข้าน้อยก็ยอม”
อากวงได้แต่เบิกตาโต พูดอะไรไม่ออก
มันอยากจะเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาน แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาอำมหิตของผู้เป็นเจ้านายที่จ้องมองมานั้น มันก็รีบวางปากกาลงทันที
แววตาของนักพรตหญิงชินปรากฏความตลกขบขันขึ้นเล็กน้อย แต่แล้วมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว “กับดักของเจ้ามีความแข็งแกร่งระดับไหน?”
“เรื่องนั้น…”
หลินเป่ยเฉินหันมามองหน้าอากวง อยากถามเจ้าหนูใจจะขาดว่าอานุภาพอึของมันได้รับการอัพเกรดด้วยหรือไม่ แต่หลังจากคิดทบทวนดูหลายตลบ นี่คงเป็นคำถามที่เปิดเผยความลับมากเกินไป ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงให้คำตอบว่า “กับดักเหล่านี้สามารถสังหารทุกคนที่มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ขอรับ”
อากวงเลื่อนระดับพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นยอดสัตว์อสูรแล้ว ประสิทธิภาพอึระเบิดของมัน ก็น่าจะมีความรุนแรงมากขึ้นไม่ใช่หรือ?
นักพรตหญิงชินพยักหน้าด้วยความพอใจ “ศัตรูที่พวกเรากำลังจะต้องพบเจอ ล้วนแต่เป็นพวกยอดฝีมือทั้งนั้น การวางกับดักเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยก็ช่วยเพิ่มความยากลำบากในการบุกโจมตีของฝ่ายนั้นได้มากขึ้น รบกวนเจ้าต้องทำงานหนักแล้วนะ”
นางพูดกับหลินเป่ยเฉิน
“พี่เป่ยเฉินยอดเยี่ยมที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
เยว่เว่ยหยางก็ส่งเสียงชื่นชมออกมาเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก หัวเราะในลำคอ “เรื่องแค่นี้เอง ก็ไม่เท่าไหร่หรอกน่า”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ปรับสีหน้าท่าทางและหันมาพูดกับนักพรตหญิงชินด้วยความจริงจังมากขึ้น “จริงด้วยสิขอรับ ท่านนักพรตหญิงชิน ข้าน้อยมีเรื่องอยากสอบถามว่า การตรวจสอบวิหารนั้นมีขั้นตอนบุกจู่โจมอย่างไรบ้าง?”
นักพรตหญิงชินตอบกลับมาโดยไม่ปิดบัง “การตรวจสอบวิหารเทพเจ้านั้นสามารถจัดทำได้ 2 รูปแบบ รูปแบบแรกคือการทำสงครามเต็มอัตราทัพ เป็นการบุกจู่โจมและตั้งรับด้วยกำลังพลที่ทั้งสองฝ่ายมีอยู่ในมือ ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือการทำสงครามระหว่างแม่ทัพใหญ่ หมายถึงมันจะเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว ระหว่างผู้ที่มีพลังสูงสุดของทั้งสองฝ่าย…”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็เข้าใจโดยทันที
ทหารชั้นผู้น้อยต่อสู้กับทหารชั้นผู้น้อย
แม่ทัพใหญ่ต่อสู้กับแม่ทัพใหญ่
เหมือนเรื่องราวในสามก๊กที่หลินเป่ยเฉินเคยอ่านตอนยังอยู่โลกใบเก่าไม่มีผิด
แตกต่างกันแค่รายละเอียดโดยรวมเท่านั้นเอง
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ ที่ช่วยกำจัดพวกทหารหน่วยนักรบมังกรดำไปเป็นจำนวนมาก ขุมกำลังที่อีกฝ่ายจะยกกองทัพขึ้นมาโจมตีพวกเรา คงต้องอ่อนแอลงบ้างไม่มากก็น้อย ทางขึ้นวิหารหยุนเมิ่งของพวกเรามีอยู่ด้วยกัน 6 เส้นทาง การโจมตีจะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีก 7 วัน และก็มีความเป็นไปได้ที่ฝ่ายนั้นจะส่งยอดฝีมือจำนวน 6 คน เป็นผู้นำกองทัพบุกโจมตีพวกเราพร้อมกันทั้ง 6 เส้นทาง…”
นักพรตหญิงชินพูดอย่างใช้ความคิด
“ยอดฝีมือจำนวน 6 คนอย่างนั้นหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับและสอบถามว่า “พวกเขามีพลังอยู่ในระดับยอดปรมาจารย์หรือไม่?”
นักพรตหญิงชินตอบว่า “บุคคลเหล่านั้น… น่าจะมีความแข็งแกร่งมากกว่ามือกระบี่ผู้เป็นองครักษ์ประจำตัวทั้ง 4 คนของเว่ยหมิงเฉินด้วยซ้ำ”
หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักกึก
สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีแล้วสิ
แล้ววิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งจะเอาอะไรไปสู้กับยอดฝีมือที่มีระดับพลังแข็งแกร่งมากกว่าพวกจูปี้ฉี?
เว้นแต่ว่าทางวิหารหลวงจะส่งกำลังเสริมมาช่วยเหลือ
“เราไม่จำเป็นต้องตั้งรับคอยเฝ้าระวังทั้ง 6 เส้นทางก็ได้นะขอรับ ขอแค่เราขึ้นมาตั้งหลักรอบวิหารให้มั่น คอยรับมือพวกเขาทีละคน…” เด็กหนุ่มพยายามให้คำแนะนำ “แล้วก็รอให้ทางวิหารหลวงส่งกำลังพลมาช่วยเหลือ”
“จะไม่มีใครมาช่วยพวกเราทั้งนั้น”
นักพรตหญิงชินส่ายหน้า
“อ้าว?” หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูง “แต่ท่านป้านักพรตใหญ่เป็นอาจารย์ของท่านนักพรตหญิงชินไม่ใช่หรือขอรับ นางจะทนดูท่านพบเจอชะตากรรมเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“การตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้า เป็นการตรวจสอบที่วิหารหยุนเมิ่งต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเองเท่านั้น ห้ามไม่ให้ผู้อื่นยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเด็ดขาด…” นักพรตหญิงชินพูดเสียงเครียด “หากวิหารหลวงยื่นมือเข้ามาช่วย ก็จะต้องได้รับการตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้าที่หนักหน่วงมากกว่าพวกเราเผชิญหลายเท่านัก”
เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้น เขาก็อดคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้นไม่ได้ “แบบนี้เรียกว่าตั้งใจรังแกกันแต่เพียงฝ่ายเดียวเลยนี่ขอรับ? ทำไมถึงต้องตั้งกฎเช่นนั้นเอาไว้ด้วย”
นักพรตหญิงชินชำเลืองมองเด็กหนุ่มผู้เดือดดาลด้วยแววตาเรียบเฉย “ดูเหมือนตลอดเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมา เจ้าจะไม่ได้ศึกษาคัมภีร์ประวัติศาสตร์เทพเจ้าอย่างจริงจังสักเท่าไหร่สินะ ผู้ที่เป็นร่างทรงเทพเจ้า มีสถานะเป็นตัวแทนของเทพเจ้า ไม่ว่าเขาพูดหรือคิดทำอะไร ย่อมหมายความว่านั่นคือจุดประสงค์ของเทพเจ้า ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางได้เด็ดขาด”
“หึ่ย…”
พูดไปพูดมา ทำไมมันถึงกลายเป็นการตรวจการบ้านเขาไปได้ล่ะเนี่ย?
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงนั่งลงอีกครั้งและปั้นหน้ายิ้มแหยๆ “แต่ท่านนักพรตหญิงชินขอรับ ท่านก็รู้ว่าร่างทรงเทพเจ้าของเมืองเฉียนหาว ย่อมเป็นพวกกำมะลอที่เว่ยหมิงเฉินจัดฉากส่งมาแน่นอน ยิ่งรู้แบบนี้ ข้าน้อยก็ยิ่งโกรธแค้น พวกเราทนถูกกระทำแต่เพียงฝ่ายเดียวเกินไปแล้ว เหตุไฉนจึงไม่มีหนทางเปิดโปงเว่ยหมิงเฉินบ้างเลยขอรับ?”
นักพรตหญิงชินกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “นั่นคือเรื่องในอนาคต เราควรผ่านพ้นวิกฤตในปัจจุบันไปให้ได้ก่อน”
หลินเป่ยเฉินอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
นักพรตหญิงชินกล่าวขัดจังหวะเขาอีกครั้งว่า “ลืมมันไปซะเถิด เรื่องนั้นพูดตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ เจ้าควรรีบกลับไปพักผ่อนฝึกวิชา อย่าลืมว่าบางทีอีก 7 วันหลังจากนี้ เจ้าอาจต้องแสดงพลังเพื่อช่วยเหลือพวกเรา”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างแข็งขัน “ข้าน้อยจะทำให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องวิหารของพวกเราให้ได้ขอรับ”
หลังจากนั้น กลุ่มนักบวชสาวก็เดินนำเด็กหนุ่มตรงไปยังบ้านพักทางด้านหลังสวนพุทรา ซึ่งเพิ่งได้รับการทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยไม่นานนัก
ไม่มีทาง!
มีบ้านอีกหลังอยู่ตรงนี้ได้ยังไง!!
แบบนี้เขาก็ต้องนอนคนเดียวอีกแล้วล่ะสิ!!!!
เยว่เว่ยหยางยืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน มือหนึ่งของนางยังคงโอบกอดอดีตราชันหนูอสูรขนปุกปุย พูดว่า “อากวงตัวนุ่มนิ่มดีจังเลย ข้าอยากเอากลับไปนอนกอดทั้งคืนจัง… คืนนี้เจ้ามานอนกับข้านะจ๊ะ”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
เอาแล้วไง
เขาผิดหวัง แต่กลับกลายเป็นอากวงที่จะได้สมหวังอย่างนั้นหรือ
“ไม่ได้หรอก อากวงมีงานต้องทำ”
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธคำขอของนักบวชสาวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
สัตว์เลี้ยงของเขาตัวนี้มีสติปัญญาเหมือนมนุษย์ทุกประการ ในอดีตตัวมันเองเคยมีนางสนมคอยเอาอกเอาใจอยู่เป็นร้อยตัวในหุบเขาชายแดนเหนือ มองเพียงผิวเผิน อากวงอาจจะดูไม่มีพิษไม่มีภัย แต่ใครจะรู้เลยว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง หลินเป่ยเฉินจึงไม่มีทางปล่อยให้เจ้าหนูจอมเจ้าเล่ห์ตัวนี้ ได้มีโอกาสอยู่กับเยว่เว่ยหยางตามลำพังเด็ดขาด
…
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมืองหยุนเมิ่ง จะกินเวลาสามวันสามคืนโดยไม่มีหยุดพักแม้แต่ชั่วยามเดียว
พื้นที่ชั้นนอกของตัวเมืองมีน้ำท่วมขังระดับสูง
ถึงตรงนี้ ต้องยอมรับจริงๆ ว่าตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา หลิงจุนเซวียนมีบทบาทสำคัญต่อการดูแลเมืองหยุนเมิ่งเป็นอย่างสูง อย่างน้อยระบบการวางท่อระบายน้ำภายในตัวเมือง ก็ป้องกันไม่ให้พื้นที่ชั้นในของเขตเมืองต้องมีน้ำท่วมขังเหมือนพื้นที่ชั้นนอก ซึ่งเป็นเขตชนบทเสียส่วนใหญ่
แต่ถึงกระนั้น บ้านเรือนของผู้คนจำนวนมาก ก็พังถล่มลงไปด้วยความรุนแรงของพายุ
นับเป็นโชคดีของชาวเมืองที่ทั้ง 6 กระทรวงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการค้า กระทรวงยุติธรรม หรือกระทรวงอื่นๆ ต่างก็ยังคงมีลูกน้องของหลิงจุนเซวียนบริหารงานราชการอย่างมีคุณภาพ เจ้าหน้าที่จำนวนมากถูกส่งมาช่วยเหลือชาวบ้าน ส่งผลให้ชาวบ้านผู้เดือดร้อนมีที่อยู่อาศัยและสามารถตั้งหลักในการดำเนินชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
ทว่า เรื่องราวที่น่าแปลกประหลาดที่สุดก็คือ เจ้าเมืองคนใหม่อย่างฉุยเฮาเฟิงกลับหายตัวไปโดยไร้ร่องรอย มีข่าวว่าพื้นที่ส่วนหนึ่งของจวนผู้ว่าได้พังถล่มลงมาระหว่างคืนที่เกิดพายุโหมกระหน่ำ แต่ไม่มีเบาะแสเลยว่าท่านเจ้าเมืองฉุยเฮาเฟิงหายไปไหน ทำให้ชาวเมืองจำนวนไม่น้อยรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ ฉุยหมิงโหลวผู้เป็นบุตรชายสุดที่รักของท่านเจ้าเมือง จึงออกตามหาบิดาด้วยความร้อนใจ เขาตากฝนทั้งวันทั้งคืน สุดท้ายก็ถูกพบนอนสลบข้างทางในสภาพป่วยหนัก หลินเป่ยเฉินต้องพาชายหนุ่มมาพักรักษาตัวอยู่ที่ตำหนักไม้ไผ่ในสถานศึกษากระบี่ที่สาม และช่วยเขาฟื้นฟูสภาพร่างกายด้วยการฝึกพิเศษ
ในที่สุด ช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียว วันที่เป็นกำหนดนัดหมายการประลองซึ่งมีชีวิตเป็นเดิมพันระหว่างติงซานฉือกับจูปี้ฉี ก็ได้มาถึงแล้ว
วันนี้ บนท้องฟ้ายังคงมีเมฆดำ
สายฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าตั้งแต่เช้า
ณ ท่าเรือประจำเมืองหยุนเมิ่ง เรือประมงจำนวนมากต้องแล่นกลับเข้าฝั่งเพราะพายุลมฝนมีความรุนแรงมากเกินไป
ทว่าในไม่ช้า เรือลำน้อยที่บรรทุกยอดฝีมือผู้มีพลังอยู่ในระดับยอดปรมาจารย์จำนวนมาก ก็ทยอยเคลื่อนออกจากท่าเรือและมุ่งหน้าตรงออกไปสู่ท้องทะเล!
นี่คือการต่อสู้ระหว่างยอดมือกระบี่สองท่านที่ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วมณฑล
มีมือกระบี่อาวุโสนับไม่ถ้วนเดินทางมาที่นี่
พวกเขาอยากจะรับชมการประลองที่มีชีวิตเป็นเดิมพันระหว่างยอดฝีมือทั้งสองท่านด้วยตาของตนเอง
แต่ย่อมไม่มีใครรู้ว่าบุคคลเหล่านั้นมีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝงหรือไม่
เพราะนี่นับเป็นการรวมตัวของบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดและงูพิษในยุทธภพโดยปริยาย
บนท้องทะเลในขณะนี้ เรือใหญ่ที่มีขนาดเท่ากับเรือรบหลวงลำหนึ่งกำลังลอยลำอยู่บนผิวน้ำ
จูปี้ฉียืนตากฝนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ดวงตาจ้องมองไปยังท้องทะเลอันเวิ้งว้างว่างเปล่า
เวลาแห่งความตายได้ดำเนินมาถึงแล้ว!!